อีกบันทึกหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย-ฝรั่งเศส 16 Feb 2020

     
16 FEB 2020
ย้อนความหลังกลับไปในสมัยที่ผมยังเรียนมัธยมปลาย
มาสเตอร์สุรศักดิ์ ผู้ซึ่งเป็นครูหัวหน้าฝ่ายปกครองในตอนนั้นกล่าวต่อหน้านักเรียนทุกคนว่า ตั้งแต่โรงเรียนก่อตั้งมาร้อยกว่าปี ยังไม่เคยมีปีไหนที่จัดงานวันคืนสู่เหย้าอย่างเป็นทางการเลย
จริงอยู่ที่อาจจะมีจัดงานฉลองครบรอบวันก่อตั้งโรงเรียนบ้าง เช่น งานฉลองครบรอบ 100 ปี หรือ 108ปี แต่ก็เป็นการจัดงานฉลองที่นานๆที ถึงจะมีจัดกันสักหน แต่ว่างานฉลองวันรำลึกวันเกิดโรงเรียนนั้น มาสเตอร์ท่านนี้เป็นผู้ที่ริเริ่มจะให้จัดขึ้นในปีนั้นเป็นปีแรก
ผมยังจำวันนั้นได้ดี มาสเตอร์สุรศักดิ์บอกทุกคนว่า นับแต่นี้เป็นต้นไป ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ของทุกปี พวกเธอทุกคนต้องกลับมาที่โรงเรียน ที่โรงเรียนจะจัดงานเลี้ยงศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันในช่วงเย็นจนถึงดึก
พวกเราเรียกวันสำคัญวันนี้ว่า AC HOME COMING DAY ก็คืองานคืนสู่เหย้าในทุกๆปีนั่นแหละ และมาสเตอร์หวังว่าทุกคนๆจะจดจำวันนี้ได้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีวัน AC HOME COMING DAY ตลอดไปทุกปี
--------------------------------------
ด้วยความที่ยังเด็กในตอนนั้น ความสุขของการมีวันคืนสู่เหย้าดูจะมีเพียงแค่การเดินกินของฟรีที่ศิษย์เก่าเป็นสปอนเซอร์ และได้พูดคุยเฮฮากับเพื่อนๆ ตามประสาวัยรุ่น ที่อาจจะไม่ได้รู้สึกอินกับงานรำลึกอดีตอะไรมากมาย
พอวันเวลาผ่านไปแต่ละปี แต่ละปี ทุกวันที่ 16 กพ. ผมก็ยังแวะเวียนกลับไปโรงเรียนเช่นเดิมในเกือบจะทุกๆปี
การได้กลับไปอยู่ในสถานที่ที่คุ้นเคยตั้งแต่เด็ก ทำให้มุมมองความคิดแบบผู้ใหญ่ค่อยๆปรากฎชัดเจนขึ้น
ตึกอาคารเรียนต่างๆ แม้ว่าจะเก่าแก่ทรุดโทรมไปบ้างตามกาลเวลา แต่กลิ่นอายแห่งอดีตยังคงเย้ายวนอยู่เสมอ
ผมได้ลองกลับมาศึกษาประวัติของโรงเรียนอย่างจริงจังเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง (ทั้งที่ตอนเรียนไม่เคยอิน ไม่เคยสนใจ)
มันทำให้ผมมองเห็นภาพความงดงามของเรื่องราวในอดีตที่เป็นส่วนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์แห่งสยามประเทศ
เลยอยากมาแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ที่อาจเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายคนที่ยังมีชีวิตอยู่
--------------------------------------

ย้อนกลับไปเมื่อราว 135 ปีก่อน เป็นยุครุ่งเรืองของการแผ่ขยายอิทธิพลและการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก
สยามก็นับว่าเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของมหาอำนาจชาติตะวันตกหลายประเทศที่หมายปอง
ซึ่งรูปแบบของการแผ่อิทธิพลเข้ามานั้นก็มีทั้งเข้ามาแบบการเมืองและเข้ามาในแบบของการเผยแผ่ศาสนา
ซึ่งผมเชื่อว่าผู้ที่มีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ไม่ว่าจะอยู่ในศาสนาใดก็ตาม ย่อมเป็นคนที่มีจิตใจดี และมีเจตนาดี
ดังเช่นบุรุษที่กำลังจะกล่าวถึงผู้นี้ บาทหลวง เอมิล กอลมเบต์ (Piere Emile Colombet) นักบวชคาทอลิกชาวฝรั่งเศส
ผู้เดินทางรอนแรมมาไกลกว่าหมื่นลี้เพื่อมาปฎิบัติภารกิจสำคัญที่ได้รับจากพระผู้เป็นเจ้า นั่นคือการเผยแผ่ศาสนา
บาทหลวงเอมิล กอลมเบต์ หรือที่พวกเราเรียกกันว่า คุณพ่อกอลมเบต์เดินทางโดยสารมาทางเรือจากฝรั่งเศสผ่านมหาสมุทร
และทะเลอันบ้าคลั่งนานนับหลายเดือน
ท่านมาตัวคนเดียวลำพัง มีแค่กระเป๋าเดินทางใบเดียวกับคัมภีร์ไบเบิ้ล มาขึ้นท่าเรือริมแม่น้ำเจ้าพระยาแถวบางรัก มายังดินแดนที่ไม่เคยรู้จักว่าอยู่ตรงส่วนไหนของแผนที่โลก อีกทั้งยังพูดภาษาไทยไม่ได้แม้แต่คำเดียว เรียกว่า มาด้วยแรงศรัทธาในพระเจ้าอย่างแท้จริง

--------------------------------------


แรกเริ่มท่านก็อาศัยนอนวัด ก่อนที่จะค่อยๆเก็บหอมรอมริบเงินที่ได้จากการรับบริจาคมาสร้างโบสถ์เล็กๆ ในย่านบางรัก (ซึ่งปัจจุบันคืออาสนวิหารอัสสัมชัญ)
คุณพ่อท่านมาสยามช่วงแรกๆ ท่านก็สังเกตเห็นเด็กๆตัวเล็กๆ วันๆเอาแต่เที่ยววิ่งเล่น อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ท่านก็รู้สึกกลุ้มใจแทนผู้นำประเทศยิ่งนัก เห็นว่าแบบนี้ดูท่าจะไม่ดีต่ออนาคตของมวลมนุษยชาติเป็นแน่แท้
ภารกิจช่วงแรกๆ ท่านจึงต้องบากหน้าเดินไปเคาะประตูตามบ้าน เพื่อขอรับเด็กๆมาเรียนหนังสือที่โบสถ์ แต่ด้วยความเป็นฝรั่งแปลกหน้าในชุดดำ แถมหนวดเครายาวรุงรัง พอไปเคาะประตูบ้านไหน ก็โดนปิดประตูใส่แบบไม่ต้องคิด และบางทีก็โดนหมาไล่กัด แถมบางบ้านเอาไม้กวาดไล่ตี เพราะคุยกันไม่รู้เรื่องอีกต่างหาก
เป็นแบบนี้อยู่หลายเดือน ลองจินตนาการดูว่าถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป คงล้มเลิกความตั้งใจ และกลับไปนอนอยู่บ้านดีกว่า
แต่ไม่ใช่กับมหาบุรุษที่ชื่อ "กอลมเบต์"

--------------------------------------

พอคุณพ่อพอจะสื่อสารภาษาไทยได้บ้าง อะไรๆก็ดูจะง่ายขึ้น และในที่สุดคุณพ่อก็ได้นักเรียนคนแรกของโรงเรียนซะที
ด.ช. เซียวเม่งเต็ก
(เลขประจำตัว หมายเลข 1)
เด็กหนุ่มชาวจีน นักเรียนคนแรกที่ยอมเข้ามาเรียนหนังสือ ด้วยความที่คุณพ่อแจกขนมฟรี (นั่นไง ต้องมีการตลาด)
ท่านก็สอนทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส สอนบวกลบคูณหาร สอนวิชาความรู้เท่าที่คนๆหนึ่งจะถ่ายทอดให้ได้
จนต่อมา นักเรียนก็ค่อยเพิ่มขึ้นวันละคนสองคน และในที่สุดก็ได้เวลาขยับขยายเสียที
คุณพ่อได้สร้างโรงเรียนของท่านขึ้นบริเวณใกล้ๆโบสถ์อัสสัมชัญ และได้เริ่มเปิดเรียนวันแรกในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2428 และตั้งชื่อโรงเรียนว่า "อาซมซานกอเล็ศ" (Le Collège de l'Assomption) ซึ่งมีความหมายว่า สถานที่สำหรับระงับบาปและหาวิชาความรู้ ซึ่งในขณะนั้นมีนักเรียน 33 คน
ปีต่อมามีนักเรียนเพิ่มขึ้นเป็น 130 คน และเมื่อจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สถานที่จึงคับแคบลง คุณพ่อกอลมเบต์ปรารถนาที่จะสร้างอาคารใหม่ ท่านจึงได้ออกเรี่ยไรเงินไปตามบ้านผู้มีจิตศรัทธาต่าง ๆ และได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาไปถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ซึ่งทั้งสองพระองค์ก็ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้กับคุณพ่อกอลมเบต์ 50 ชั่ง (4,000 บาท) และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระราชทาน 25 ชั่ง (2,000 บาท)
และในเดือนเมษายน ปี 2430 อาคารหลังแรกที่สร้างขึ้นจากเงินบริจาคของประชาชนและทรัพย์ส่วนพระองค์ ก็ได้สร้างเสร็จสมดังใจหมาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินมาเป็นประธานในพิธีเปิดอาคาร และทรงจับฆ้อนเคาะแผ่นศิลาแล้วดำรัสว่า "ให้ที่นี้ถาวรมั่นคงสืบไป"
--------------------------------------

โรงเรียนอัสสัมชัญก็เจริญเติบโตด้วยดีเรื่อยมาเป็นเวลา 15 ปีหลังการก่อตั้ง โรงเรียนก็ขยับขยายเรื่อยมา อีกทั้งจำนวนนักเรียนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คุณพ่อกอลมเบต์ก็เห็นทีจะดูแลเองคนเดียวไม่ไหว
คุณพ่อจึงต้องเดินทางกลับไปยังประเทศฝรั่งเศสเพื่อไปขอเข้าพบกับอัคราธิการประจำคณะเซนต์คาเบรียล ณ เมืองแซนต์ลอลังค์ เพื่อขอความช่วยเหลือด้านบุคคลากรมาจากคณะภราดาเซนต์คาเบรียล (คณะเซนต์คาเบรียล คือ คณะบาทหลวงที่ก่อตั้งโดยนักบุญหลุยส์ มารี กรียอง เดอ มงฟอร์ต ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปูชนียบุคคลของโลก ซึ่งจะกล่าวในตอนต่อไป)
ในที่สุดทางคณะเซนต์คาเบรียลตอบตกลงที่จะช่วยเหลือ
และในเดือนตุลาคม ปี พ.ศ. 2444 คณะเซนต์คาเบรียลก็ได้ส่งคณะบาทหลวงมาช่วยดูแลกิจการ ซึ่งชุดแรกมากัน 5 คน
1. ภราดามาร์ติน เดอ ตูรส์ (หัวหน้าคณะ)
2. ภราดาอาแบล
3. ภราดาออกุสต์
4. ภราดากาเบรียล เฟอร์เร็ตตี
5. ภราดาฮีแลร์ (รู้จักกันในนาม ฟ.ฮีแลร์ ซึ่งขณะนั้นอายุเพียง 20 ปี เด็กสุดในคณะ และ ผมจะเล่าแยกออกมาในตอนพิเศษตอนต่อไปเพราะท่านถือเป็น 1 ในสุดยอดปรมาจารย์ด้านภาษาไทยของสยาม)
ทั้งหมดได้เดินทางถึงกรุงเทพมหานคร และเข้ารับช่วงงานและสานต่องานด้านการศึกษาจากบาทหลวงกอลมเบต์ ทำให้โรงเรียนอัสสัมชัญกลายเป็นโรงเรียนแห่งแรกในมูลนิธิคณะเซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทย
(* คำว่าภราดา แปลว่า พี่ชาย ซึ่งในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ใช้เรียกนักบวชชาย หรือแปลเป็นภาษาอังกฤษก็คำว่า Brother นั่นเอง)

--------------------------------------


และนับตั้งแต่ที่คณะเซนต์คาเบรียลเข้ามาสืบทอดกิจการด้านต่างๆของโรงเรียน ก็ได้มีการก่อตั้งโรงเรียนในเครืออีกมากมาย
และขยับขยายสาขาไปยังทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทย ทำให้ปัจจุบันมีโรงเรียนต่างๆในเครือเซนต์คาเบรียลกว่า 18 สถาบัน
ซึ่งล้วนแต่เป็นกำลังหลักในการผลิตบุคคลากรที่มีคุณภาพให้กับประเทศไทยมาอย่างยาวนาน
กว่า 135 ปี หลังจากวันแรกที่คุณพ่อกอลมเบต์ได้ก้าวเท้าขึ้นจากเรือ และเหยียบลงบนแผ่นดินสยาม
ประเทศไทยได้เป็นหนี้บุญคุณอย่างมากมายมหาศาล จากชายนักบวชชาวฝรั่งเศสที่ได้อุทิศตนให้กับแผ่นดินที่อยู่อีกซีกโลกของบ้านเกิด
และโรงเรียนอัสสัมชัญได้กลายมาเป็นต้นแบบของการดำเนินกิจการโรงเรียนเอกชนมากมายของไทยในปัจจุบัน
 
--------------------------------------
ธันวาคม 2465 คุณพ่อกอลมเบต์ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ (La Legion d'Honneur) จากรัฐบาลฝรั่งเศส ในฐานะที่คุณพ่อได้ประกอบคุณงามความดี ทำชื่อเสียงให้แก่ประเทศ นอกจากนี้คุณพ่อยังเคยได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เบญจมาภรณ์ช้างเผือกจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในฐานะที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศสยาม

หลังการอุทิศตนรับใช้พระเจ้ามาอย่างยาวนาน คุณพ่อกอลมเบต์ก็ได้จากไปอย่างสงบในวันที่ 23 สิงหาคม 2476 ณ โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ กรุงเทพมหานคร รวมอายุขัย 84 ปี





นี่เป็นเรื่องราวเพียงบางส่วนที่ถ่ายทอดออกมาจากชีวิตจริงของชายคนหนึ่งที่ก้าวข้ามทุกอุปสรรคในโลกนี้ได้ด้วยคำเพียงคำเดียว
นั่นคือคำว่า "ศรัทธา"

AC116
(38744)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่