One Year 365 วัน บ้านฉัน บ้านเธอ (Jirassaya Wongsutin / 2020)
SCORE : 10/10
เรื่องราวเกี่ยวกับ “มุก” แม่เลี้ยงเดี่ยวที่ใช้ชีวิตอยู่กับลูกสาว 5 คนมานานเกือบสิบปี พบรักกับ “ตั้ม” พ่อหม้ายลูกสองสุดอบอุ่น จนตัดสินใจว่าจะแต่งงานกัน แต่มุกกลับไม่กล้าตอบรับ เพราะไม่แน่ใจนักว่าลูกๆ จะโอเคกับการตัดสินใจครั้งนี้หรือไม่ โดยเฉพาะ “เพชร” ลูกสาวคนโตที่ไม่อยากเห็นแม่เสียใจเพราะความรักแบบที่เธอเคยเห็นมาก่อนอีกแล้ว ในขณะที่ “บูม” อยากให้พ่อที่เศร้ากับการสูญเสียแม่มานาน ได้มีความสุขกับความรักครั้งใหม่เสียที เมื่อพ่อแม่อยากอยู่ด้วยกัน แต่ไม่รู้ว่าลูกเราจะเข้ากันได้หรือไม่ สองครอบครัวจึงเกิดข้อตกลงที่จะทดลองอยู่ร่วมบ้านกัน โดยมีเงื่อนไขว่าภายในระยะเวลา 1 ปี ถ้ามีใครในบ้านแม้แต่คนเดียวที่ไม่มีความสุขกับการอยู่ร่วมกัน พ่อกับแม่จะต้องยอมเลิกกัน
.
ยอมรับว่าตอนแรกไม่มีความรู้สึกอยากดูซีรีส์เรื่องนี้เลย ยิ่งช่วงที่โปรโมทแรงๆ นี่ไม่สนใจเลยนะ เพราะเราไม่ใช่แฟน BNK48 ขนาดที่อยากจะรู้สาวๆ BNK เยอะขนาดนั้น แถมยิ่งมาใน way หนังตลกครอบครัว (จาก ตย.ที่ได้ดูในเวลานั้น) ยิ่งเต็มไปด้วยความไม่อยากดูเลย แต่เหตุผลที่ทำให้ได้ดูเรื่องนี้คือ เราคิดว่าจบแล้ว (ตอนที่ดูคือถึง EP.4 ถึงว่าจะเท่า Stay Saga ที่เป็น original line tv เรื่องแรก) ซึ่งการที่เราได้ดูเรื่องนั้นเลยทำให้ค้นพบว่า ไม่น่าหลงมาดูเลย พลาดแล้วสินะ…
.
คำว่าพลาดในย่อหน้าก่อนไม่ได้หมายความว่ามันแย่ที่เราพลาดมาดู แต่มันแย่ที่มันยังไม่จบและเราต้องเฝ้าภาวนาให้วัน พฤ มาถึงไวๆ กลายเป็นว่าติดงอมแงมตั้งแต่ EP.1 เลย ความสนุกของมันนอกจากเส้นความรักของสองตัวละครหลัก ปัญหาครอบครัวและปมของแต่ละตัวละครยังน่าสนใจอีก ทีมบททำการบ้านกันดีมากนะ ที่หยิบเอาเคสต่างๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องได้ เราค้นพบว่าเหตุผลต่างๆ ภายในเรื่องไม่มีอะไรที่เหนือจากความเป็นจริงเลย (ซึ่งเดี๋ยวเราจะเขียนวิเคราะห์แต่ละตัวละครในย่อหน้าหลังจากนี้) พอมันสนุกที่ต้องมาลุ้นว่าเรื่องจะเดินไปในทางไหน ปัญหาตัวละครจะแก้ยังไง จากที่ไม่อยากดูๆ กลายเป็น อยากดูแบบอ้อนวอน พฤ สักทีเถอะ เราอยากดูตอนต่อไปแล้ว
.
ในพาร์ท production ก็ยังคงคุณภาพงานของ GDH ได้ดีเหมือนเดิม การลำดับภาพและการถ่ายทำยังคงออกมาเนียบตามสไตล์ ทีมกำกับก็น่าสนใจเหมือนกันนะ เต็มไปด้วยคนเก่งๆ ทั้งนั้นเลย อีกสิ่งที่จะไม่ถูกถึงไม่ได้เลยคือเพลงประกอบของเรื่อง ซึ่งนอกจากเพลง “สายซับ” และ “มปร” ที่ร้องโดย BNK จะเป็นเพลงที่เราชอบที่สุดของ BNK ณ เวลานี้แล้ว เพลงประกอบจาก หัวลำโพงริดดิม ก็ยังคงการันตีคุณภาพเหมือนเดิม ซีรีส์เรื่องนี้จะไม่มีสเนห์มากขนาดนี้นะ ถ้าขนาดเพลงประกอบเพราะๆ และติดหู แถมยังบิวท์อารมณ์ได้ดีขนาดนี้อะ
.
ก่อนจะไปวิเคราะห์ตัวละคร เราขอพูดถึงการแสดงของสาวๆ BNK ก่อน สำหรับเรื่องนี้ นักแสดงอย่าง เณอปราง ซึ่งเคยผ่านงานแสดงหินๆ มาแล้วอย่าง Homestay ไม่มีปัญหาแน่นอน ส่วนสาวๆ คนอื่นๆ ถึงแม้ในพาร์ทการแสดงอาจจะยังไม่ได้ดีมากมาย แต่เราก็สัมผัสได้ถึงความพยายามของทุกคนอย่างเต็มร้อยนะ เล่นซีรีส์เรื่องแรกแสดงได้ขนาดนี้ดีกว่านักแสดงบางคนอีกนะบอกเลย (ตอกย้ำความคิดที่ว่า สาวๆ BNK48 มีทักษะที่หลากหลายได้ชัดเจนสุดๆ) ทั้งนี้คนที่เราขอชื่นชมเป็นพิเศษและคว้าหัวใจเราไป (ขออวยเหอะ) ก็คือ จูเน่ จูเน่แสดงได้ยอดเยี่ยมแบบ ยอดเยี่ยมจนชวนให้หลงรักอะ ทั้งสายตา การหัวเราะ ทุกอย่างทำให้เราลืมไปแล้วว่านี่คือเรื่องแรกนะ อยากให้ จูเน่ มีงานแสดงเยอะๆ นะ เป็น 1 ในคนที่น่าจับตามองมากๆ (รอดู Bad Genius ต่อเลย ตอนแรกว่าจะไม่ดูละนะ โอเคดูเพราะจูเน่นี่แหละ) / นักแสดงคนอื่นที่เราไม่พูดถึง ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าแสดงดีสมคุณภาพแน่นอน (แต่แค่ต้องเขียนถึงสาวๆ BNK เป็นหลัก เผื่อคนที่อคติไม่ดูเรื่องนี้เพราะ BNK ได้มาอ่านจะได้ตัดสินใจดูได้อย่างสบายใจ)
.
แม่มุก คือตัวแทนของผู้หญิงที่ไม่ประสบความสำเร็จในความรักแต่ก็ยังโหยหารักที่ดีอยู่เสมอ เส้นเรื่องไม่ได้บอกว่าแม่มุกไม่ดีเพราะอะไรผู้ชายถึงทิ้งไปมีใหม่อยู่เรื่อย แต่ส่วนหนึ่งเราก็คิดว่าคงเพราะการที่แม่มุกเป็น “แม่หม้าย” การจะหาผู้ชายดีๆ ที่จะรักแม่มุกและยอมเปลี่ยนตัวเองเพื่อแม่มุกจริงๆ ก็คงยาก ทั้งนี้สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ ผู้หญิงที่ไม่ประสบความสำเร็จในความรัก ไม่ใช่ว่าจะดูแลลูกไม่ดีเสมอไป แม่มุกคือตัวแทนของแม่หม้ายลูกติดที่ประสบความสำเร็จในการเป็นแม่ที่ดีและทำให้ลูกๆ เติบโตมาเป็นคนดีได้สำเร็จ ถึงแม้อาจจะดูโลกสวยไปสักหน่อย แต่ในสังคมก็ไม่ใช่ว่าไม่มีคุณแม่แบบนี้สักหน่อยนี่นา
.
แพรวพราว กับ เบบี้ น้องเล็กสุดของบ้านทั้งสอง ปัญหาหลักของช่วงอายุนี้คือความเข้ากันได้และการหวงในพื้นที่ของตนเอง (สภาพทางสังคม) แพรวพราวที่โตมากับพี่ๆ อยู่มาวันหนึ่งก็มีเด็กที่ไหนไม่รู้เข้ามาอยู่ในบ้านด้วย จากที่พี่ๆ ต้องให้ความสำคัญแค่ตัวเอง ก็ต้องให้ความสำคัญคนอื่นเพิ่ม หรืออย่างการที่คนๆ นี้เข้ามามีผลกับสภาพทางสังคม จากที่ตนมีเพื่อนสนิทมีสภาพสังคมที่เป็นปกติ อาจจะไม่มีใครโดดเด่นขึ้นมา แต่ก็ไม่มีใครแย่งอะไรจากตัวเองไป จนกระทั่งวันหนึ่งที่ตนโดนแย่งอะไรบางอย่างไป นั่นจึงทำให้ความไม่พอใจก่อตัวขึ้นและสะสมจนเป็นปัญหาหลักที่ต้องรีบแก้ไขโดยด่วน ซึ่งวิธีแก้ไขของเรื่องนี้ก็ simple มากๆ แถมยังเป็นไปได้ในความเป็นจริง 100% เลยด้วย
.
พลอย คือตัวแทนของสาวๆ ทุกคนในสังคมที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง เพราะค่านิยมของสังคมถูกออกแบบมาให้เกิดความคิดอย่าง “คนดังก็ต้องคบกับคนดัง คนหน้าตาดีก็ต้องคบคนหน้าตาดี” นั่นจึงทำให้ปมหลักของพลอยคือความมั่นใจในตัวเองที่มีต่อคนรักและมีต่อความรักที่เกิดขึ้น สุดท้ายแล้ว ความรักมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับอะไรทั้งนั้นหรอก มันก็แค่ความรู้สึกของคนสองที่ที่รู้สึกเหมือนกันเท่านั้นเอง
.
ไพลิน คือตัวแทนของเด็กวัยรุ่นที่ต้องกลัวการโดนแทนที่ ซึ่งเป็นปัญหาโดยพื้นฐานของครอบครัว เด็กคนหนึ่งที่โตมากับครอบครัวรูปแบบหนึ่ง โตมากับพ่อแท้ๆ อยู่ๆ จะมีคนเข้ามาใช้สถานะ “พ่อ” กับตัวเอง ความกลัวที่จะถูกแทนที่และทำให้คนที่ตนเคยรักหายไปจากครอบครัวก็ก่อตัวขึ้นทันที ซึ่งลึกๆ แล้ว สิ่งที่กลัวนอกจากการถูกแทนที่คือ “ความรัก” ตนไม่มั่นใจว่าคนที่เข้ามาแทนที่พ่อของเธอ จะรักเธอได้เท่าที่พ่อเธอรักเธอและแม่เธอไหม
.
เพชร กับ ตะวัน คือตัวแทนของคนสองขั้วที่ตรงข้ามกันอย่างชัดเจน เพชร คือ คนที่ยอมเสียสละและทำทุกอย่างให้กับคนที่ตนรักได้เสมอ ทั้งจากสิ่งที่ร้องขอและไม่ได้ร้องขอก็ตาม ด้วยความที่เพชรเป็นพี่คนโต นั่นจึงทำให้เพชรต้องคิดอะไรไปก่อนเพื่อปกป้องน้องๆ ซึ่งการคิดอะไรไปก่อนนี่ที่มากเกินไปนี่แหละ จะนำมาซึ่งปัญหาในอนาคต ในขณะที่ ตะวัน คือคนที่ทำทุกอย่างตามใจตัวเอง อยากคุยกับใครก็คุย อยากเทใครก็เท อยากได้อะไรก็ต้องเอามาให้ได้ ซึ่งปัญหาหลักของมันจริงๆ นอกจากความแตกต่างทางนิสัยพื้นฐาน ยังแตกต่างในเรื่องของ “ทัศนคติ” ซึ่งเราค้นพบว่า พี่น้องทุกคนบนโลกนี้ก็มาใน way นี้เหมือนกันนะ
.
สุดท้ายแล้ว ซีรีส์เรื่องนี้ก็นำเสนอเรื่องของ “การเปิดใจ” เป็นหลัก ปมของทุกตัวละครในเรื่องคลายเพราะคำๆ นี้ มันอาจไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกที่จะทำได้ แต่หากวันไหนก็ตามที่เราสามารถทำได้ วันนั้นแหละ ปมภายในใจเรามันก็จะคลายได้ไวและดีขึ้นเอง ซึ่งเรื่องราวที่ดำเนินมา 10 EP. ก็เพียงพอที่จะนำเสนอการเปิดใจเพื่อคลายปมของแต่ละตัวละครได้อย่างลงตัวและเต็มอิ่ม
.
ยังเหลือความสัมพันธ์ระหว่าง บูม-เพชร ที่เราไม่ได้พูดถึง เราค้นพบว่าประเด็นความสัมพันธ์ของสองตัวละครนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจและอยากให้ทุกคนที่ได้อ่านรีวิวนี้ ได้สัมผัสด้วยตัวเอง รวมไปถึงตัวละคร มาร์ค ทราย จิ๊บบี้ ที่มีเอกลักษณ์และเรื่องราวของตัวเอง ซึ่งถึงแม้จะไม่ใช่ตัวละครหลักที่โดดเด่นมากมาย แต่ก็นับว่าน่าสนใจเหมือนกัน ซึ่งเราอยากให้ผู้ชมไปสัมผัสเรื่องและตัวละครเหล่านี้ด้วยตัวเองจริงๆ นะ บางอย่างเราก็รู้สึกว่าเขียนบอกได้ แต่บางอย่างก็เขียนถึงไม่ได้จริงๆ (เรื่องนี้โดนสปอยล์ทีจะดูไม่สนุกเลย)
.
ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าเรารักตัวละครในเรื่องนี้มากแค่ไหน มันมีมิติมากจนรู้ว่าทีมเขียนบทต้องรักเช่นเดียวกัน นี่คือซีรีส์ครอบครัวที่เราหลงรักแบบหมดหัวใจ เป็นซีรีส์ที่เราพร้อมจะหยิบกลับมาดูซ้ำๆ อีกหลายๆ รอบเลย
.
ตอนนี้ซีรีส์เรื่องนี้มีให้ดูรวดเดียวจบ 10 EP. ทาง LineTV แล้ว ใครอ่านรีวิวนี้จบแล้วอยากดู ไปจัดเลยได้จ้า .
[SR] Series Review : One Year 365 วัน บ้านฉัน บ้านเธอ (10/10)
SCORE : 10/10
เรื่องราวเกี่ยวกับ “มุก” แม่เลี้ยงเดี่ยวที่ใช้ชีวิตอยู่กับลูกสาว 5 คนมานานเกือบสิบปี พบรักกับ “ตั้ม” พ่อหม้ายลูกสองสุดอบอุ่น จนตัดสินใจว่าจะแต่งงานกัน แต่มุกกลับไม่กล้าตอบรับ เพราะไม่แน่ใจนักว่าลูกๆ จะโอเคกับการตัดสินใจครั้งนี้หรือไม่ โดยเฉพาะ “เพชร” ลูกสาวคนโตที่ไม่อยากเห็นแม่เสียใจเพราะความรักแบบที่เธอเคยเห็นมาก่อนอีกแล้ว ในขณะที่ “บูม” อยากให้พ่อที่เศร้ากับการสูญเสียแม่มานาน ได้มีความสุขกับความรักครั้งใหม่เสียที เมื่อพ่อแม่อยากอยู่ด้วยกัน แต่ไม่รู้ว่าลูกเราจะเข้ากันได้หรือไม่ สองครอบครัวจึงเกิดข้อตกลงที่จะทดลองอยู่ร่วมบ้านกัน โดยมีเงื่อนไขว่าภายในระยะเวลา 1 ปี ถ้ามีใครในบ้านแม้แต่คนเดียวที่ไม่มีความสุขกับการอยู่ร่วมกัน พ่อกับแม่จะต้องยอมเลิกกัน
.
ยอมรับว่าตอนแรกไม่มีความรู้สึกอยากดูซีรีส์เรื่องนี้เลย ยิ่งช่วงที่โปรโมทแรงๆ นี่ไม่สนใจเลยนะ เพราะเราไม่ใช่แฟน BNK48 ขนาดที่อยากจะรู้สาวๆ BNK เยอะขนาดนั้น แถมยิ่งมาใน way หนังตลกครอบครัว (จาก ตย.ที่ได้ดูในเวลานั้น) ยิ่งเต็มไปด้วยความไม่อยากดูเลย แต่เหตุผลที่ทำให้ได้ดูเรื่องนี้คือ เราคิดว่าจบแล้ว (ตอนที่ดูคือถึง EP.4 ถึงว่าจะเท่า Stay Saga ที่เป็น original line tv เรื่องแรก) ซึ่งการที่เราได้ดูเรื่องนั้นเลยทำให้ค้นพบว่า ไม่น่าหลงมาดูเลย พลาดแล้วสินะ…
.
คำว่าพลาดในย่อหน้าก่อนไม่ได้หมายความว่ามันแย่ที่เราพลาดมาดู แต่มันแย่ที่มันยังไม่จบและเราต้องเฝ้าภาวนาให้วัน พฤ มาถึงไวๆ กลายเป็นว่าติดงอมแงมตั้งแต่ EP.1 เลย ความสนุกของมันนอกจากเส้นความรักของสองตัวละครหลัก ปัญหาครอบครัวและปมของแต่ละตัวละครยังน่าสนใจอีก ทีมบททำการบ้านกันดีมากนะ ที่หยิบเอาเคสต่างๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องได้ เราค้นพบว่าเหตุผลต่างๆ ภายในเรื่องไม่มีอะไรที่เหนือจากความเป็นจริงเลย (ซึ่งเดี๋ยวเราจะเขียนวิเคราะห์แต่ละตัวละครในย่อหน้าหลังจากนี้) พอมันสนุกที่ต้องมาลุ้นว่าเรื่องจะเดินไปในทางไหน ปัญหาตัวละครจะแก้ยังไง จากที่ไม่อยากดูๆ กลายเป็น อยากดูแบบอ้อนวอน พฤ สักทีเถอะ เราอยากดูตอนต่อไปแล้ว
.
ในพาร์ท production ก็ยังคงคุณภาพงานของ GDH ได้ดีเหมือนเดิม การลำดับภาพและการถ่ายทำยังคงออกมาเนียบตามสไตล์ ทีมกำกับก็น่าสนใจเหมือนกันนะ เต็มไปด้วยคนเก่งๆ ทั้งนั้นเลย อีกสิ่งที่จะไม่ถูกถึงไม่ได้เลยคือเพลงประกอบของเรื่อง ซึ่งนอกจากเพลง “สายซับ” และ “มปร” ที่ร้องโดย BNK จะเป็นเพลงที่เราชอบที่สุดของ BNK ณ เวลานี้แล้ว เพลงประกอบจาก หัวลำโพงริดดิม ก็ยังคงการันตีคุณภาพเหมือนเดิม ซีรีส์เรื่องนี้จะไม่มีสเนห์มากขนาดนี้นะ ถ้าขนาดเพลงประกอบเพราะๆ และติดหู แถมยังบิวท์อารมณ์ได้ดีขนาดนี้อะ
.
ก่อนจะไปวิเคราะห์ตัวละคร เราขอพูดถึงการแสดงของสาวๆ BNK ก่อน สำหรับเรื่องนี้ นักแสดงอย่าง เณอปราง ซึ่งเคยผ่านงานแสดงหินๆ มาแล้วอย่าง Homestay ไม่มีปัญหาแน่นอน ส่วนสาวๆ คนอื่นๆ ถึงแม้ในพาร์ทการแสดงอาจจะยังไม่ได้ดีมากมาย แต่เราก็สัมผัสได้ถึงความพยายามของทุกคนอย่างเต็มร้อยนะ เล่นซีรีส์เรื่องแรกแสดงได้ขนาดนี้ดีกว่านักแสดงบางคนอีกนะบอกเลย (ตอกย้ำความคิดที่ว่า สาวๆ BNK48 มีทักษะที่หลากหลายได้ชัดเจนสุดๆ) ทั้งนี้คนที่เราขอชื่นชมเป็นพิเศษและคว้าหัวใจเราไป (ขออวยเหอะ) ก็คือ จูเน่ จูเน่แสดงได้ยอดเยี่ยมแบบ ยอดเยี่ยมจนชวนให้หลงรักอะ ทั้งสายตา การหัวเราะ ทุกอย่างทำให้เราลืมไปแล้วว่านี่คือเรื่องแรกนะ อยากให้ จูเน่ มีงานแสดงเยอะๆ นะ เป็น 1 ในคนที่น่าจับตามองมากๆ (รอดู Bad Genius ต่อเลย ตอนแรกว่าจะไม่ดูละนะ โอเคดูเพราะจูเน่นี่แหละ) / นักแสดงคนอื่นที่เราไม่พูดถึง ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าแสดงดีสมคุณภาพแน่นอน (แต่แค่ต้องเขียนถึงสาวๆ BNK เป็นหลัก เผื่อคนที่อคติไม่ดูเรื่องนี้เพราะ BNK ได้มาอ่านจะได้ตัดสินใจดูได้อย่างสบายใจ)
.
แม่มุก คือตัวแทนของผู้หญิงที่ไม่ประสบความสำเร็จในความรักแต่ก็ยังโหยหารักที่ดีอยู่เสมอ เส้นเรื่องไม่ได้บอกว่าแม่มุกไม่ดีเพราะอะไรผู้ชายถึงทิ้งไปมีใหม่อยู่เรื่อย แต่ส่วนหนึ่งเราก็คิดว่าคงเพราะการที่แม่มุกเป็น “แม่หม้าย” การจะหาผู้ชายดีๆ ที่จะรักแม่มุกและยอมเปลี่ยนตัวเองเพื่อแม่มุกจริงๆ ก็คงยาก ทั้งนี้สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ ผู้หญิงที่ไม่ประสบความสำเร็จในความรัก ไม่ใช่ว่าจะดูแลลูกไม่ดีเสมอไป แม่มุกคือตัวแทนของแม่หม้ายลูกติดที่ประสบความสำเร็จในการเป็นแม่ที่ดีและทำให้ลูกๆ เติบโตมาเป็นคนดีได้สำเร็จ ถึงแม้อาจจะดูโลกสวยไปสักหน่อย แต่ในสังคมก็ไม่ใช่ว่าไม่มีคุณแม่แบบนี้สักหน่อยนี่นา
.
แพรวพราว กับ เบบี้ น้องเล็กสุดของบ้านทั้งสอง ปัญหาหลักของช่วงอายุนี้คือความเข้ากันได้และการหวงในพื้นที่ของตนเอง (สภาพทางสังคม) แพรวพราวที่โตมากับพี่ๆ อยู่มาวันหนึ่งก็มีเด็กที่ไหนไม่รู้เข้ามาอยู่ในบ้านด้วย จากที่พี่ๆ ต้องให้ความสำคัญแค่ตัวเอง ก็ต้องให้ความสำคัญคนอื่นเพิ่ม หรืออย่างการที่คนๆ นี้เข้ามามีผลกับสภาพทางสังคม จากที่ตนมีเพื่อนสนิทมีสภาพสังคมที่เป็นปกติ อาจจะไม่มีใครโดดเด่นขึ้นมา แต่ก็ไม่มีใครแย่งอะไรจากตัวเองไป จนกระทั่งวันหนึ่งที่ตนโดนแย่งอะไรบางอย่างไป นั่นจึงทำให้ความไม่พอใจก่อตัวขึ้นและสะสมจนเป็นปัญหาหลักที่ต้องรีบแก้ไขโดยด่วน ซึ่งวิธีแก้ไขของเรื่องนี้ก็ simple มากๆ แถมยังเป็นไปได้ในความเป็นจริง 100% เลยด้วย
.
พลอย คือตัวแทนของสาวๆ ทุกคนในสังคมที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง เพราะค่านิยมของสังคมถูกออกแบบมาให้เกิดความคิดอย่าง “คนดังก็ต้องคบกับคนดัง คนหน้าตาดีก็ต้องคบคนหน้าตาดี” นั่นจึงทำให้ปมหลักของพลอยคือความมั่นใจในตัวเองที่มีต่อคนรักและมีต่อความรักที่เกิดขึ้น สุดท้ายแล้ว ความรักมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับอะไรทั้งนั้นหรอก มันก็แค่ความรู้สึกของคนสองที่ที่รู้สึกเหมือนกันเท่านั้นเอง
.
ไพลิน คือตัวแทนของเด็กวัยรุ่นที่ต้องกลัวการโดนแทนที่ ซึ่งเป็นปัญหาโดยพื้นฐานของครอบครัว เด็กคนหนึ่งที่โตมากับครอบครัวรูปแบบหนึ่ง โตมากับพ่อแท้ๆ อยู่ๆ จะมีคนเข้ามาใช้สถานะ “พ่อ” กับตัวเอง ความกลัวที่จะถูกแทนที่และทำให้คนที่ตนเคยรักหายไปจากครอบครัวก็ก่อตัวขึ้นทันที ซึ่งลึกๆ แล้ว สิ่งที่กลัวนอกจากการถูกแทนที่คือ “ความรัก” ตนไม่มั่นใจว่าคนที่เข้ามาแทนที่พ่อของเธอ จะรักเธอได้เท่าที่พ่อเธอรักเธอและแม่เธอไหม
.
เพชร กับ ตะวัน คือตัวแทนของคนสองขั้วที่ตรงข้ามกันอย่างชัดเจน เพชร คือ คนที่ยอมเสียสละและทำทุกอย่างให้กับคนที่ตนรักได้เสมอ ทั้งจากสิ่งที่ร้องขอและไม่ได้ร้องขอก็ตาม ด้วยความที่เพชรเป็นพี่คนโต นั่นจึงทำให้เพชรต้องคิดอะไรไปก่อนเพื่อปกป้องน้องๆ ซึ่งการคิดอะไรไปก่อนนี่ที่มากเกินไปนี่แหละ จะนำมาซึ่งปัญหาในอนาคต ในขณะที่ ตะวัน คือคนที่ทำทุกอย่างตามใจตัวเอง อยากคุยกับใครก็คุย อยากเทใครก็เท อยากได้อะไรก็ต้องเอามาให้ได้ ซึ่งปัญหาหลักของมันจริงๆ นอกจากความแตกต่างทางนิสัยพื้นฐาน ยังแตกต่างในเรื่องของ “ทัศนคติ” ซึ่งเราค้นพบว่า พี่น้องทุกคนบนโลกนี้ก็มาใน way นี้เหมือนกันนะ
.
สุดท้ายแล้ว ซีรีส์เรื่องนี้ก็นำเสนอเรื่องของ “การเปิดใจ” เป็นหลัก ปมของทุกตัวละครในเรื่องคลายเพราะคำๆ นี้ มันอาจไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกที่จะทำได้ แต่หากวันไหนก็ตามที่เราสามารถทำได้ วันนั้นแหละ ปมภายในใจเรามันก็จะคลายได้ไวและดีขึ้นเอง ซึ่งเรื่องราวที่ดำเนินมา 10 EP. ก็เพียงพอที่จะนำเสนอการเปิดใจเพื่อคลายปมของแต่ละตัวละครได้อย่างลงตัวและเต็มอิ่ม
.
ยังเหลือความสัมพันธ์ระหว่าง บูม-เพชร ที่เราไม่ได้พูดถึง เราค้นพบว่าประเด็นความสัมพันธ์ของสองตัวละครนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจและอยากให้ทุกคนที่ได้อ่านรีวิวนี้ ได้สัมผัสด้วยตัวเอง รวมไปถึงตัวละคร มาร์ค ทราย จิ๊บบี้ ที่มีเอกลักษณ์และเรื่องราวของตัวเอง ซึ่งถึงแม้จะไม่ใช่ตัวละครหลักที่โดดเด่นมากมาย แต่ก็นับว่าน่าสนใจเหมือนกัน ซึ่งเราอยากให้ผู้ชมไปสัมผัสเรื่องและตัวละครเหล่านี้ด้วยตัวเองจริงๆ นะ บางอย่างเราก็รู้สึกว่าเขียนบอกได้ แต่บางอย่างก็เขียนถึงไม่ได้จริงๆ (เรื่องนี้โดนสปอยล์ทีจะดูไม่สนุกเลย)
.
ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าเรารักตัวละครในเรื่องนี้มากแค่ไหน มันมีมิติมากจนรู้ว่าทีมเขียนบทต้องรักเช่นเดียวกัน นี่คือซีรีส์ครอบครัวที่เราหลงรักแบบหมดหัวใจ เป็นซีรีส์ที่เราพร้อมจะหยิบกลับมาดูซ้ำๆ อีกหลายๆ รอบเลย
.
ตอนนี้ซีรีส์เรื่องนี้มีให้ดูรวดเดียวจบ 10 EP. ทาง LineTV แล้ว ใครอ่านรีวิวนี้จบแล้วอยากดู ไปจัดเลยได้จ้า .
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้