‘ไทยแลนด์เวย์’ หนทางสู่อนาคตของวงการฟุตบอลไทยที่ไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว

ผมอ่านแล้วรู้สึกว่ามันได้เข้าใจเสียที ว่า Thailand Way มันหน้าตายังไง จากคำถามที่พวกเราตามหามาตลอด

มาวันนี้มันเริ่มแล้ว และหวังว่าจะเดินตามทางนี้ให้ดีไปตลอด

บทความอาจจะยาวแต่มันเกิดประโยชน์ต่อชาติแน่ๆ

Reference: https://thestandard.co/thailand-way/


ผลงานการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชียรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ในช่วงต้นปี 2020 ที่ผ่านมา อาจเป็นหนึ่งในผลงานที่ดีที่สุดสำหรับตัวแทนทีมชาติไทยในกีฬาฟุตบอล หากไม่นับย้อนไปถึงการผ่านเข้าไปเล่นโอลิมปิก 2 ครั้งที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ 
 
สิ่งที่เราตั้งเป้าหมายไว้ที่ผ่านมาคือ การเข้าร่วมแข่งขันระดับสูงสุดทั้งมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งโอลิมปิกและฟุตบอลโลก 
 
แต่การก่อร่างสร้างฐานของฟุตบอลไทยที่ผ่านมา ดำเนินการอย่างไรบ้างให้เราเดินหน้าไปถึงจุดนั้น เมื่อย้อนกลับมาดูอาจพบว่า ที่ผ่านมาเรายังไม่ได้เข้าใจภาพรวมของการสร้างและวิธีการพัฒนาฟุตบอลไทยไป
สู่อนาคต 
 
THE STANDARD พูดคุยกับสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ถึงการเดินทางของเด็กคนหนึ่งที่มีความฝันเป็นนักฟุตบอลทีมชาติไทย จนถึงการพยายามสร้างมาตรฐานใหม่ภายใต้ความได้เปรียบและเสียเปรียบที่นักเตะไทยมี เพื่อไปสู่เป้าหมายของฟุตบอลที่เรียกว่า ‘ไทยแลนด์เวย์’ 
 
ก้าวแรก การเดินทางของเด็กไทย สู่ตัวแทนของประเทศ (วัย 8-16 ปี) 
 

 
การเริ่มต้นของเยาวชนไทยกับฟุตบอล ถือจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะนำพาเด็กคนหนึ่งผ่าน เส้นทางสู่ความฝันในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพหรือนักฟุตบอลทีมชาติไทย 
 
แต่ปัญหาของแวดวงฟุตบอลไทยในปัจจุบันคือการยังไม่มีทรัพยากรหรือเส้นทางที่ชัดเจน ซึ่งจะปูทางไปสู่ความฝันของพวกเขา ภารกิจนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญสำหรับการปูพื้นฐานวงการฟุตบอลไทยที่สมาคมต้องเข้ามาวางระบบที่ชัดเจน ซึ่งข้อดีของประเทศไทยคือ กีฬาฟุตบอลเป็นที่นิยมเป็นอันดับ 1 คนที่มีความชื่นชอบในฟุตบอล เวลาเลิกงาน เลิกเรียน ก็มาเตะฟุตบอล ดังนั้นข้อดีของไทยคือคนไทยค่อนข้างให้ความสนใจกับกีฬานี้เยอะ ทุกโรงเรียนทั้งในเมืองและชนบทมีแค่เสาโกลสองข้างทางก็สามารถเล่นฟุตบอลได้
 
“เราจะเห็นหลายคนเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่เด็ก แต่ปัญหาที่ผ่านมาคือ เรายังไม่มีเส้นทางที่ชัดเจนให้พวกเขา ซึ่งถือเป็นหน้าที่ของสมาคมฯ ในการสร้างแพลตฟอร์ม และแรงจูงใจให้เด็กและครอบครัว รวมถึงการขึ้นทะเบียน
อคาเดมี หรือแม้แต่การหาครูคนแรกให้กับพวกเขา ซึ่งอาจจะเริ่มต้นจากคนในครอบครัว หรือแม้แต่ครูพละที่โรงเรียน”
 
เป้าหมายสำคัญที่สมาคมฯ ชุดนี้ที่กำลังสานต่อคือระบบการเก็บสถิติและข้อมูลต่างๆ ของนักฟุตบอลไทย
ในอดีต พอผ่านพ้นระบบของทีมชาติไทยแล้วก็จะไม่มีข้อมูลถูกบันทึกไว้ ซึ่งปัจจุบันสมาคมได้เริ่มเก็บข้อมูลแล้วกว่า 8,000 คน เมื่อเทียบกับญี่ปุ่นที่มีถึง 900,000 คน 
 
ซึ่งปัจจุบันข้อมูลของทีมชาติมีการแบ่งปันและถูกบันทึกเป็นวงกว้าง ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่ เบนจามิน เดวิส 
นักเตะดาวรุ่งของไทยจากฟูแลม มาลงแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชียรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ทางฟูแลมได้ขอข้อมูลระหว่างที่เดวิสลงแข่งขันให้กับทีมชาติไทย เพื่อนำไปพัฒนาและต่อยอดหลังจากที่เดวิสเดินทางกลับเข้าสู่สโมสร ขณะที่สโมสรชั้นนำของโลกในปัจจุบันเอง เช่น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีการบันทึกข้อมูลโภชนาการอาหารที่สามารถบอกได้ว่า นักเตะคนไหนขาดสารอาหารอะไรในแต่ละวัน เพื่อช่วยในการออกแบบอาหารการกินให้กับนักฟุตบอลแต่ละคนในสโมสร ซึ่งสมาคมเองก็มองเห็นความสำคัญถึงการทำระบบการเก็บข้อมูลนี้เป็นอย่างดี เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์นักเตะทีมชาติในอนาคต 
 
แต่ในปัจจุบันนักเตะสามารถขึ้นทะเบียบกับสมาคมฯ ผ่านระบบ FA Thailand Football Management Platform ได้ตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อเป็นฐานข้อมูล เหมือน ID ประจำตัวที่จะสามารถเข้าสู่แพลตฟอร์มของสมาคมและของฟีฟ่า เพื่อเป็นการบันทึกประวัติการเดินทางตั้งแต่วัยเด็ก สมมติวัย 6 ขวบ เขาเริ่มต้นตั้งแต่อคาเดมีไหน ผ่านสโมสรอะไรมาบ้าง ยิงประตูไปกี่ลูก ย้ายไปต่อที่โรงเรียนไหน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ที่อยู่ในการแข่งขันของสมาคมทั้งหมด และถูกบันทึกไว้ 
 
“พอข้อมูลทั้งหมดถูกบันทึกได้มากเพียงพอ ที่นี้ก็จะสามารถนำตัวเลขต่างๆ มาทำเป็นข้อมูลเป็นรายงานออกมาได้ เช่น นักกีฬาที่อยู่ในช่วงวัย 6 ขวบ มีจำนวนที่สมัครเข้ามามาก พอถึงจุดที่เข้าสู่อาชีพในวัย 18 ปี นักเตะเหล่านี้มีจำนวนน้อยลง จนถึงวันที่ก้าวขึ้นเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ก็อาจจะเหลือน้อยลงไปอีก เราจะสามารถหาตัวเลขที่หายไปในแต่ละช่วงวัย เพื่อหาคำตอบว่า การหายไปของนักเตะเยาวชนในแต่ละวัยเกิดจากอะไร และบ่งบอกอะไรถึงพัฒนาการของฟุตบอลภายในประเทศ 
 
ครูคนแรกถือเป็นบุคคลสำคัญที่จะปูพื้นฐานการเรียนรู้ และส่งผลต่อการพัฒนาทักษะการเล่นฟุตบอลในอนาคต 
 
“หน้าที่สมาคมฯ ข้อแรกเลย ต้องวางระบบและให้ความรู้พื้นฐาน กับครูคนแรกนั่นคือ ผู้ปกครองและครูพละ ให้เข้าใจว่า ควรเริ่มต้นฝึกแบบไหน หรือทำให้เขาสามารถหา ‘ครูคนแรก’ ของเขาเจอ ซึ่งเส้นทางหนึ่งคือ การส่งไปเรียนกับอคาเดมี ส่วนอีกเส้นทางคือ การหาช่องทางเข้าสู่ทีมโรงเรียน โดยจุดที่สำคัญที่เราเข้าไปมีส่วนร่วมได้คือ การทำให้มีความชัดเจนในเรื่องการแข่งขันฟุตบอลระดับโรงเรียน และส่งเสริมรายการการแข่งขันต่างๆ ให้เป็นรูปธรรมตั้งแต่เด็กๆ อายุยังน้อย 
 

 
หนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจมากๆ ยกตัวอย่างที่ประเทศเยอรมัน เด็กๆ ต้องเข้าระบบอคาเดมีตั้งแต่อายุ 8 ขวบ เพื่อฝึกทักษะตั้งแต่ขั้นพื้นฐานแล้ว มุ่งสู่ความเป็นเลิศตั้งแต่เด็กอายุ 11-12 ด้วยศูนย์ฝึก 366 แห่งและ scout staff 1,300 คนทั่วประเทศเพื่อปั้นและขัดเกลาเด็กเยาวชนชั้นยอดสู่นักเตะอาชีพในอนาคต 
  
ถัดจากครูคนแรก เมื่อนักฟุตบอลตัวน้อยเริ่มเติบโตขึ้นพร้อมทักษะพื้นฐานที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก เพื่อเตรียมพร้อมในการพัฒนาต่อ สเตปต่อไปคือ การเดินเข้าสู่สโมสรฟุตบอลด้วยการเป็น ‘เด็กฝึกหัดของสโมสร’ 
 
ในปัจจุบันโครงการต่างๆ ของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยได้มีการให้ความรู้กับ first teacher หรือครูคนแรก ผ่านคู่มือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเช่น FA Thailand Introductory Course (เปิดให้เข้าอบรมฟรี), C-license และ โครงการพิเศษที่สมาคมร่วมกับ การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ที่เปิดอบรมการฝึกสอนให้กับครูพละ โดยให้คำอธิบายถึงสิ่งสำคัญที่ต้องเรียนรู้ในแต่ละช่วงอายุ ตลอดการเดินทางของเด็กคนหนึ่งสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพในอนาคต
 
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่