สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
3 ศพที่ว่าเป็นความแค้นน่าจะจริง
แต่หลังจากนั้นผมว่าโลกโซเชี่ยลเป็นตัวกระตุ้นอย่างดี ดูจากการโพสต์ภาพ,
แคปชั่น, คลิป, ไลฟ์สด + จิตใจเปราะบาง + อาจจะมีปมในใจวัยเด็ก
ไหนๆ ก็ล้างแค้นไปแล้ว หนีไปก็มีโอกาสตาย
ขอใช้ทักษะที่มีติดตัวปล้นปืนทำการใหญ่ไปเลยดีกว่า
คนป่วยทางจิต + โลกโซเชี่ยล = บรรลัย 😞😞
แต่หลังจากนั้นผมว่าโลกโซเชี่ยลเป็นตัวกระตุ้นอย่างดี ดูจากการโพสต์ภาพ,
แคปชั่น, คลิป, ไลฟ์สด + จิตใจเปราะบาง + อาจจะมีปมในใจวัยเด็ก
ไหนๆ ก็ล้างแค้นไปแล้ว หนีไปก็มีโอกาสตาย
ขอใช้ทักษะที่มีติดตัวปล้นปืนทำการใหญ่ไปเลยดีกว่า
คนป่วยทางจิต + โลกโซเชี่ยล = บรรลัย 😞😞
ความคิดเห็นที่ 14
จาก คห 13 อีกครั้ง
//
เคยมีกระทู้หัวเรื่อง " ทำไมเด็กต่างประเทศถึงรู้ว่าตัวเองอยากทำงานอะไร เมื่อเรียนจบ "
ลิ้งค์ https://pantip.com/topic/37632703/comment10
เราเคยไปตอบเอาไว้ที่ คห 10 ดังนี้ ...
//
" ตอบของเฉพาะ ปท ที่พัฒนาแล้วโดยทั่วๆ ไป และ ของครอบครัวปกติทั่วๆ ไป และ ของคนปกติทั่วๆ ไป ที่เป็นคนมีคุณภาพ
เพราะหลายสาเหตุ จากปัจจัยหลายด้านของเขา ที่หล่อหลอมให้เขาคิดเป็น กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ มีความมั่นใจในตัวเอง มีความเคารพตนเอง
รู้จักตนเอง ไม่ขี้กลัว ไม่ขี้ขลาด ไม่ขี้ตกใจ ไม่อาฆาต ไม่ผูกใจเจ็บ ไม่มีลับลมคมใน ไม่ปากหนัก ไม่เก็บกด ไม่เครียด ไม่ต้องแอ๊บ
ไม่ต้องพูดอย่างคิดอย่าง สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ ตัดสินใจชีวิตเองได้ มีความรับผิดชอบต่อตนเองและส่วนรวมสูง อาทิเช่น
1. ระบบครอบครัว ระบบเครือญาติ
• พ่อ แม่ ลูก สามารถคุยกันได้ มีความเคารพในความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน
• พ่อแม่ไม่บังคับกดขี่ข่มเหงลูก
• พ่อแม่ไม่คิดว่าตนเองเป็นเจ้าของชีวิตลูก
• พ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงลูกเพื่อเอาลูกไว้กับตัวตลอดชีวิต ไม่ได้หวังพึ่งลูก
• ทุกคนในครอบครัวมีสิทธิมีเสียงแทบจะเท่าเทียมกัน รับฟังกัน
• ญาติไม่เข้ามาก้าวก่ายเรื่องในครอบครัว โดยเฉพาะญาติผู้ใหญ่
• ไม่เอาการศึกษามาคุยอวดข่มแข่งขันเปรียบเทียบกันในหมู่เครือญาติ
2. ระบบการศึกษา
• เด็กๆ ถูกสอนให้คิดเองเป็น
• ถูกสอนให้รู้จักค้นคว้า
• ถูกสอนให้ลงมือปฏิบัติจริง
• ถูกสอนให้แสดงความคิดเห็น โดยที่ไม่ต้องคิดไม่ต้องเห็นเหมือนกับผู้อื่น
• เด็กๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกบังคับให้แต่งตัวเหมือนกัน ไม่ได้ถูกบังคับเรื่องทรงผม
• สามารถซักถามครูได้ หากสงสัย
• สามารถโต้แย้งครูได้ ด้วยเหตุผล
• ไม่ต้องเรียนในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ เพียงเพราะว่าต้องเรียนตามผู้อื่น หรือ เพียงเพราะว่าต้องเรียนตามใจผู้ปกครอง
• ไม่มีความกดดันว่าจะต้องมีรูปถ่ายในชุดครุยรับปริญญา เพื่อที่จะเอามาติดฝาบ้าน หรือ โพสท์ลงโซเชี่ยลเพื่อความมีหน้ามีตาหรือเพื่อดราม่ากตัญญู
• เด็กๆ ถูกสอนให้ใช้ระบบขนส่งสาธารณะเป็น
• เด็กๆ ถูกสอนให้รับผิดชอบดูแลช่วยเหลือตนเองได้ หิ้วกระเป๋าเองได้ ทำอาหารง่ายๆ ได้ ซักผ้าเป็น
• เด็กๆ ถูกสอนให้เล่นกีฬาต่างๆ ให้อภิเชษฐ์ธรรมชาติ รักธรรมชาติ มีน้ำใจเป็นนักกีฬา
• ถูกสอนให้มีจิตสาธารณะ
3. ระบบความคิดของคน
• ไม่งมงาย ไม่ไสยศาสตร์ ไม่พิธีกรรม
• สามารถคิดแบบมีตรรกะที่ดีมีเหตุผลได้
• ไม่เพ้อฝัน ไม่เพ้อเจ้อ ไม่เวิ่นเว้อ
• ไม่คิดซับซ้อน คิดตรงๆ ทำตรงๆ
• คนไม่ได้ถูกควบคุมทางความคิด ร่างกาย จิตใจ
• ไม่ถูกครอบงำไม่ถูกชักจูงได้ง่าย โดนสะกดจิตหมู่ยาก
4. . ระบบสังคม ระบบชุมชน เพื่อนบ้าน
• คนเคารพในความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน
• คนเคารพส่วนรวม เคารพสิ่งของที่เป็นของสาธารณะ
• คนเคารพในอาชีพของผู้อื่น (เช่น หมอ อาจจะมีเพื่อนบ้านเป็นคนขับแท็กซี่, ตำรวจ พยาบาล มีเพื่อนบ้านเป็นคนทำงานโรงงาน,
หรือ อาจารย์มหาวิทยาลัยดังที่เป็น ดร อาจจะมีเพื่อนบ้านเป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงแกะ แต่คนในชุมชน ในหมู่บ้าน
สามารถช่วยเหลือ สังสรรค์ พูดคุย ทักทาย ไปมาหาสู่กันได้ แบบปกติธรรมดา หรือ ปิ้งบาร์บีคิวกินด้วยกันได้ ตามประสาเพื่อนบ้าน เป็นต้น)
• ระบบชนชั้นวรรณะไม่มี หรือ ถ้าหากมีก็มีน้อยมาก และ ไม่แรง ไม่ชัดเจน
• คนไม่ตัดสินกันที่เสื้อผ้า รถ นาฬิกา เครื่องประดับ
• คนสามารถไปไหนมาไหน ทำอะไรคนเดียวได้ โดยที่ไม่มีใครมานินทาว่าร้ายว่าเป็นคนไม่มีเพื่อนไม่มีสังคม
• เยาวชนถูกส่งเสริมให้ทำงานพาร์ทไทม์ตั้งแต่อายุยังน้อยๆ แค่วัยมัธยมต้น วัยมัธยมปลายก็ต้องเริ่มรู้จักทำงานแล้ว
• เยาวชนสามารถแยกจากครอบครัวออกมาอยู่ด้วยตนเองได้ โดยไม่มีใครมานินทาว่าร้ายอะไร
• เยาวชนถูกส่งเสริมให้เดินทาง โดยเฉพาะเมื่อเรียนจบชั้นมัธยม ก็ต้องเดินทาง ก่อนทำงานจริงๆ จังๆ หรือ ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย
และ มักจะเป็นการเดินทางไป ตปท หลายเมือง หลายทวีป บ้างก็เดินทางแค่ไม่กี่เดือน หรือบ้างก็เดินทางเป็นปี
5. ระบบเศรษฐกิจ การเมือง ระบบราชการ การคมนาคม
• คนไม่ถูกกดค่าแรง มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ
• คนมีสวัสดิการสังคมในด้านต่างๆ ที่ดี ซึ่งได้มาจากภาษีที่ทุกคนจ่ายในรูปแบบต่างๆ แล้วถูกจัดสรรแบ่งปันคืนสู่สังคมอย่างเป็นธรรม
• ระบบการเมืองเสถียร โปร่งใส นักการเมืองมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ สังคม
• ระบบราชการ มีมาตรฐาน
• กฏหมายแข็งแรง ใช้ได้จริง คนเคารพกฏหมาย
• การคมนาคมทางด้านขนส่งสาธารณะดี ครอบคลุม แต่ถ้าจะมีรถ ก็คือมีเอาไว้ใช้งาน ใช้เป็นพาหนะ ไม่ใช่เอาไว้ประดับบารมี
หรือไม่ใช่เอาไว้แสดงสถานะทางเศรษฐกิจ แต่มีเอาไว้ใช้งานจริงๆ
• สภาพแวดล้อมดี
• คนพิการก็สามารถมีงานทำ มีสวัสดิการสังคม สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ นาๆ
6. ระบบการทำงาน
• คนเคารพกันที่ผลงาน
• จะจบที่ไหนมาไม่สำคัญ ไม่มีปริญญาก็ได้ แต่ต้องมีศักยภาพ มีความสามารถในการทำงาน
• การเมืองในที่ทำงานไม่มี หรือ ถ้าหากมีก็มีน้อย ไม่ใช่แบบร้ายลึก ไม่ใช่แบบซับซ้อน
• คนไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของเพื่อนร่วมงาน
• คนไม่ต้องแกล้งถ่อมตัว ไม่ต้องลดคุณค่าของตนเอง
• หากไปประชุม/สัมนา ที่ ตปท เพื่อนร่วมงานไม่อิจฉา ไม่ฝากซื้อของ ไม่คาดหวังของฝาก
• ไม่ต้องคอยหาพวกหาก๊วนหาแก๊งค์ ไม่ต้องคอยเกาะกลุ่ม
• ไปกินทานอาหารกลางวันคนเดียวได้ หรือ ไปกับใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีกลุ่ม หรือ ถ้าสะดวกไปคนเดียว กินคนเดียวก็ไม่มีใครมานินทาว่าร้าย
• เลิกงานแล้วกลับบ้านได้เลย ไม่ต้องทำเป็นว่ายังยุ่งอยู่หลังเลิกงาน หรือ หากหัวหน้ายังอยู่ แต่ถ้าคุณเลิกงานแล้ว คุณสามารถกลับบ้านได้
ไม่จำเป็นต้องกลับหลังหัวหน้าหรือเจ้านาย
• สามารถลาหยุดได้ตามสิทธิ โดยที่ไม่ต้องมีดราม่า ไม่มีใครมาจิกมาตามในช่วงที่หยุด ไม่มีใครมาโน้มน้าวกดดันให้ยกเลิกแผนการเดินทางพักผ่อน
• ไม่โทรจิก ไม่วุ่นวายนอกเวลางาน
• เคารพเวลาส่วนตัว
• ไม่ต้องถูกเกณฑ์ หรือ ไม่ต้องถูกกึ่งบังคับแบบไม่เต็มใจ ให้ไปร่วมงานต่างๆ ของคนที่ตนเองไม่รู้จัก ไม่ต้องคอยรับซองงานแต่ง งานบวช งานศพ
งานกฐิน งานผ้าป่า งานบริจาคเอาหน้า
• ไม่ต้องมาคอยทำความเคารพใครรอบออฟฟิส แต่แค่ทักทาย ก้มๆ ให้กันเป็นเชิงทัก หรือ ยิ้มๆ กัน หรือ โบกมือให้กัน ก็พอแล้ว
• สามารถแสดงความคิดเห็นได้ในที่ประชุม
_______
ตอนนี้นึกออกแค่นี้นะ
ที่แจกแจงเป็นข้อๆ เพราะทุกๆ อย่างเกี่ยวข้องกันหมดเป็นวงจร เป็นธรรมชาติ เป็นปกติ
สิ่งเหล่านี้แหละ ที่เป็นปัจจัยที่ทำให้คนในแต่ละ ปท แตกต่างกัน
และ เขียนมาในมุมกว้างๆ ทั่วๆ ไปนะ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ยังมีคนใน ปท ที่พัฒนาแล้วส่วนหนึ่ง
ที่อาจจะมีนิสัยบางอย่าง หรือ การกระทำบางอย่าง ที่เหมือน หรือ คล้ายกับคนใน ปท ที่กำลังพัฒนาแล้วได้
เอาเป็นว่า ที่เขียนมาใน คห นี้ เขียนถึงคนในระดับที่มีคุณภาพโดยทั่วๆ ไป
บ้านเมืองไหนก็แล้วแต่ จะสามารถจะพัฒนาได้ ก็ต้องมีการสร้างคนพัฒนาคนก่อน
เมื่อคุณภาพของคนส่วนใหญ่ดี สังคม สภาพแวดล้อม ประเทศ ก็จะดีไปตามคุณภาพของประชากรนั่นเอง
แล้วบ้านเมืองที่ดี ไม่จำเป็นต้องมีคนที่จบปริญญาเยอะๆ เพราะบางบ้านเมืองมีคนจบปริญญาเยอะมาก แต่เมื่อมองไปรอบๆ
ไม่สามารถหาปัญญาชนเจอเลย หรือ หาปัญญาชนเจอยากมาก "
//
ระบบการทำงานที่เมืองไทย เท่าที่เคยเห็น เคยได้ยิน เคยอ่านๆ ตามกระทู้ เคยฟังคนใกล้ชิดเพื่อนฝูงคนในครอบครัวบ่นให้ฟัง หรือ
ที่เคยสัมผัสมาเอง
เห็นว่า ต่อให้เก่งแค่ไหน ต่อให้จบดีแค่ไหน ต่อให้จบโท จบเอกมาจากเมืองนอก หรือ จบมหาวิทยาลัยชั้นนำในไทย
แต่ก็แทบจะถูกกลืนหมด เพราะต้องอยู่ในกรอบ ในระบบแบบไทยๆ ถึงจะรอด และ ถูกกดค่าแรงมาก สังคมในที่ทำงานก็เป็นไปตามวัฒนธรรม
ตามระบบความคิดของคนส่วนใหญ่
นอกจากจะถูกกดค่าแรงแล้ว ค่าครองชีพก็สูง ระบบการคมนาคมในการเดินทางไปทำงานก็ไม่ค่อยดีนัก สังคมในที่ทำงานก็ไม่ค่อยดี
สวัสดิการก็ไม่ค่อยดี ลาไปพักผ่อนยาวๆ ก็ยากมาก
อยากเห็นคนไทยส่วนใหญ่มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่านี้ โดยเฉพาะคนในระดับปัญญาชน เพื่อให้สมกับที่เรียนๆ กันมา
คนไทยบางคน มีปริญญาหลายใบ ลงทุนลงเงินลงเวลากับการเรียนไปเยอะมาก ทำงานก็หนัก แต่เงินเดือนนิดเดียว ไม่สมดุลย์กับค่าครองชีพเลย
คุณภาพชีวิตก็ไม่ค่อยดี ความเครียดสะสมสูง การแข่งขันสูง บางครั้งก็ใช้เวลากับเรื่องการเมืองในที่ทำงาน มากกว่าจะใช้เวลาในการทำงานให้
มีคุณภาพ และ ประสิทธิภาพ
//
คุณ จขกท ถามถึงเรื่องระบบการศึกษา แต่ขอยกเรื่องระบบการทำงาน และ ระบบสังคมมาด้วย เพราะมันเกี่ยวข้องกันหมด
และ อีกทั้งเห็นคุณ จขกท พูดถึงโพรไฟล์ของตนเองในเรื่องงาน เรื่องของระดับของสถานศึกษา รวมไปถึงเรื่องเงินเดือนด้วย
จึงยกในจุดอื่นๆ นี้ขึ้นมาด้วย
คุณ จขกท ลองสำรวจตนเองดูในรายละเอียดนะ ว่าตรงกับข้อไหนบ้าง จุดไหนบ้าง ที่เราพิมพ์มาเป็นข้อๆ ที่ด้านบน
แล้วลองถามตัวเองว่า เรียนมาขนาดนี้ ทำงานขนาดนี้ แต่คุณภาพชีวิตโดยรวมเป็นอย่างไรบ้าง ทั้งชีวิตในการทำงาน และ ชีวิตโดยทั่วๆ ไป
โดยเทียบกับในไทย (ไทยแลนด์ โอนลี่) แต่อย่าลืมเทียบคิดเทียบกับในระดับโลก (โกอินเตอร์, ไทยแลนด์สี่จุดศูนย์ )
โดยเฉพาะกับ ปท ที่พัฒนาแล้ว ที่นอกแผนที่ ปท ไทยด้วย
//
เคยมีกระทู้หัวเรื่อง " ทำไมเด็กต่างประเทศถึงรู้ว่าตัวเองอยากทำงานอะไร เมื่อเรียนจบ "
ลิ้งค์ https://pantip.com/topic/37632703/comment10
เราเคยไปตอบเอาไว้ที่ คห 10 ดังนี้ ...
//
" ตอบของเฉพาะ ปท ที่พัฒนาแล้วโดยทั่วๆ ไป และ ของครอบครัวปกติทั่วๆ ไป และ ของคนปกติทั่วๆ ไป ที่เป็นคนมีคุณภาพ
เพราะหลายสาเหตุ จากปัจจัยหลายด้านของเขา ที่หล่อหลอมให้เขาคิดเป็น กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ มีความมั่นใจในตัวเอง มีความเคารพตนเอง
รู้จักตนเอง ไม่ขี้กลัว ไม่ขี้ขลาด ไม่ขี้ตกใจ ไม่อาฆาต ไม่ผูกใจเจ็บ ไม่มีลับลมคมใน ไม่ปากหนัก ไม่เก็บกด ไม่เครียด ไม่ต้องแอ๊บ
ไม่ต้องพูดอย่างคิดอย่าง สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ ตัดสินใจชีวิตเองได้ มีความรับผิดชอบต่อตนเองและส่วนรวมสูง อาทิเช่น
1. ระบบครอบครัว ระบบเครือญาติ
• พ่อ แม่ ลูก สามารถคุยกันได้ มีความเคารพในความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน
• พ่อแม่ไม่บังคับกดขี่ข่มเหงลูก
• พ่อแม่ไม่คิดว่าตนเองเป็นเจ้าของชีวิตลูก
• พ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงลูกเพื่อเอาลูกไว้กับตัวตลอดชีวิต ไม่ได้หวังพึ่งลูก
• ทุกคนในครอบครัวมีสิทธิมีเสียงแทบจะเท่าเทียมกัน รับฟังกัน
• ญาติไม่เข้ามาก้าวก่ายเรื่องในครอบครัว โดยเฉพาะญาติผู้ใหญ่
• ไม่เอาการศึกษามาคุยอวดข่มแข่งขันเปรียบเทียบกันในหมู่เครือญาติ
2. ระบบการศึกษา
• เด็กๆ ถูกสอนให้คิดเองเป็น
• ถูกสอนให้รู้จักค้นคว้า
• ถูกสอนให้ลงมือปฏิบัติจริง
• ถูกสอนให้แสดงความคิดเห็น โดยที่ไม่ต้องคิดไม่ต้องเห็นเหมือนกับผู้อื่น
• เด็กๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกบังคับให้แต่งตัวเหมือนกัน ไม่ได้ถูกบังคับเรื่องทรงผม
• สามารถซักถามครูได้ หากสงสัย
• สามารถโต้แย้งครูได้ ด้วยเหตุผล
• ไม่ต้องเรียนในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ เพียงเพราะว่าต้องเรียนตามผู้อื่น หรือ เพียงเพราะว่าต้องเรียนตามใจผู้ปกครอง
• ไม่มีความกดดันว่าจะต้องมีรูปถ่ายในชุดครุยรับปริญญา เพื่อที่จะเอามาติดฝาบ้าน หรือ โพสท์ลงโซเชี่ยลเพื่อความมีหน้ามีตาหรือเพื่อดราม่ากตัญญู
• เด็กๆ ถูกสอนให้ใช้ระบบขนส่งสาธารณะเป็น
• เด็กๆ ถูกสอนให้รับผิดชอบดูแลช่วยเหลือตนเองได้ หิ้วกระเป๋าเองได้ ทำอาหารง่ายๆ ได้ ซักผ้าเป็น
• เด็กๆ ถูกสอนให้เล่นกีฬาต่างๆ ให้อภิเชษฐ์ธรรมชาติ รักธรรมชาติ มีน้ำใจเป็นนักกีฬา
• ถูกสอนให้มีจิตสาธารณะ
3. ระบบความคิดของคน
• ไม่งมงาย ไม่ไสยศาสตร์ ไม่พิธีกรรม
• สามารถคิดแบบมีตรรกะที่ดีมีเหตุผลได้
• ไม่เพ้อฝัน ไม่เพ้อเจ้อ ไม่เวิ่นเว้อ
• ไม่คิดซับซ้อน คิดตรงๆ ทำตรงๆ
• คนไม่ได้ถูกควบคุมทางความคิด ร่างกาย จิตใจ
• ไม่ถูกครอบงำไม่ถูกชักจูงได้ง่าย โดนสะกดจิตหมู่ยาก
4. . ระบบสังคม ระบบชุมชน เพื่อนบ้าน
• คนเคารพในความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน
• คนเคารพส่วนรวม เคารพสิ่งของที่เป็นของสาธารณะ
• คนเคารพในอาชีพของผู้อื่น (เช่น หมอ อาจจะมีเพื่อนบ้านเป็นคนขับแท็กซี่, ตำรวจ พยาบาล มีเพื่อนบ้านเป็นคนทำงานโรงงาน,
หรือ อาจารย์มหาวิทยาลัยดังที่เป็น ดร อาจจะมีเพื่อนบ้านเป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงแกะ แต่คนในชุมชน ในหมู่บ้าน
สามารถช่วยเหลือ สังสรรค์ พูดคุย ทักทาย ไปมาหาสู่กันได้ แบบปกติธรรมดา หรือ ปิ้งบาร์บีคิวกินด้วยกันได้ ตามประสาเพื่อนบ้าน เป็นต้น)
• ระบบชนชั้นวรรณะไม่มี หรือ ถ้าหากมีก็มีน้อยมาก และ ไม่แรง ไม่ชัดเจน
• คนไม่ตัดสินกันที่เสื้อผ้า รถ นาฬิกา เครื่องประดับ
• คนสามารถไปไหนมาไหน ทำอะไรคนเดียวได้ โดยที่ไม่มีใครมานินทาว่าร้ายว่าเป็นคนไม่มีเพื่อนไม่มีสังคม
• เยาวชนถูกส่งเสริมให้ทำงานพาร์ทไทม์ตั้งแต่อายุยังน้อยๆ แค่วัยมัธยมต้น วัยมัธยมปลายก็ต้องเริ่มรู้จักทำงานแล้ว
• เยาวชนสามารถแยกจากครอบครัวออกมาอยู่ด้วยตนเองได้ โดยไม่มีใครมานินทาว่าร้ายอะไร
• เยาวชนถูกส่งเสริมให้เดินทาง โดยเฉพาะเมื่อเรียนจบชั้นมัธยม ก็ต้องเดินทาง ก่อนทำงานจริงๆ จังๆ หรือ ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย
และ มักจะเป็นการเดินทางไป ตปท หลายเมือง หลายทวีป บ้างก็เดินทางแค่ไม่กี่เดือน หรือบ้างก็เดินทางเป็นปี
5. ระบบเศรษฐกิจ การเมือง ระบบราชการ การคมนาคม
• คนไม่ถูกกดค่าแรง มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ
• คนมีสวัสดิการสังคมในด้านต่างๆ ที่ดี ซึ่งได้มาจากภาษีที่ทุกคนจ่ายในรูปแบบต่างๆ แล้วถูกจัดสรรแบ่งปันคืนสู่สังคมอย่างเป็นธรรม
• ระบบการเมืองเสถียร โปร่งใส นักการเมืองมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ สังคม
• ระบบราชการ มีมาตรฐาน
• กฏหมายแข็งแรง ใช้ได้จริง คนเคารพกฏหมาย
• การคมนาคมทางด้านขนส่งสาธารณะดี ครอบคลุม แต่ถ้าจะมีรถ ก็คือมีเอาไว้ใช้งาน ใช้เป็นพาหนะ ไม่ใช่เอาไว้ประดับบารมี
หรือไม่ใช่เอาไว้แสดงสถานะทางเศรษฐกิจ แต่มีเอาไว้ใช้งานจริงๆ
• สภาพแวดล้อมดี
• คนพิการก็สามารถมีงานทำ มีสวัสดิการสังคม สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ นาๆ
6. ระบบการทำงาน
• คนเคารพกันที่ผลงาน
• จะจบที่ไหนมาไม่สำคัญ ไม่มีปริญญาก็ได้ แต่ต้องมีศักยภาพ มีความสามารถในการทำงาน
• การเมืองในที่ทำงานไม่มี หรือ ถ้าหากมีก็มีน้อย ไม่ใช่แบบร้ายลึก ไม่ใช่แบบซับซ้อน
• คนไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของเพื่อนร่วมงาน
• คนไม่ต้องแกล้งถ่อมตัว ไม่ต้องลดคุณค่าของตนเอง
• หากไปประชุม/สัมนา ที่ ตปท เพื่อนร่วมงานไม่อิจฉา ไม่ฝากซื้อของ ไม่คาดหวังของฝาก
• ไม่ต้องคอยหาพวกหาก๊วนหาแก๊งค์ ไม่ต้องคอยเกาะกลุ่ม
• ไปกินทานอาหารกลางวันคนเดียวได้ หรือ ไปกับใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีกลุ่ม หรือ ถ้าสะดวกไปคนเดียว กินคนเดียวก็ไม่มีใครมานินทาว่าร้าย
• เลิกงานแล้วกลับบ้านได้เลย ไม่ต้องทำเป็นว่ายังยุ่งอยู่หลังเลิกงาน หรือ หากหัวหน้ายังอยู่ แต่ถ้าคุณเลิกงานแล้ว คุณสามารถกลับบ้านได้
ไม่จำเป็นต้องกลับหลังหัวหน้าหรือเจ้านาย
• สามารถลาหยุดได้ตามสิทธิ โดยที่ไม่ต้องมีดราม่า ไม่มีใครมาจิกมาตามในช่วงที่หยุด ไม่มีใครมาโน้มน้าวกดดันให้ยกเลิกแผนการเดินทางพักผ่อน
• ไม่โทรจิก ไม่วุ่นวายนอกเวลางาน
• เคารพเวลาส่วนตัว
• ไม่ต้องถูกเกณฑ์ หรือ ไม่ต้องถูกกึ่งบังคับแบบไม่เต็มใจ ให้ไปร่วมงานต่างๆ ของคนที่ตนเองไม่รู้จัก ไม่ต้องคอยรับซองงานแต่ง งานบวช งานศพ
งานกฐิน งานผ้าป่า งานบริจาคเอาหน้า
• ไม่ต้องมาคอยทำความเคารพใครรอบออฟฟิส แต่แค่ทักทาย ก้มๆ ให้กันเป็นเชิงทัก หรือ ยิ้มๆ กัน หรือ โบกมือให้กัน ก็พอแล้ว
• สามารถแสดงความคิดเห็นได้ในที่ประชุม
_______
ตอนนี้นึกออกแค่นี้นะ
ที่แจกแจงเป็นข้อๆ เพราะทุกๆ อย่างเกี่ยวข้องกันหมดเป็นวงจร เป็นธรรมชาติ เป็นปกติ
สิ่งเหล่านี้แหละ ที่เป็นปัจจัยที่ทำให้คนในแต่ละ ปท แตกต่างกัน
และ เขียนมาในมุมกว้างๆ ทั่วๆ ไปนะ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ยังมีคนใน ปท ที่พัฒนาแล้วส่วนหนึ่ง
ที่อาจจะมีนิสัยบางอย่าง หรือ การกระทำบางอย่าง ที่เหมือน หรือ คล้ายกับคนใน ปท ที่กำลังพัฒนาแล้วได้
เอาเป็นว่า ที่เขียนมาใน คห นี้ เขียนถึงคนในระดับที่มีคุณภาพโดยทั่วๆ ไป
บ้านเมืองไหนก็แล้วแต่ จะสามารถจะพัฒนาได้ ก็ต้องมีการสร้างคนพัฒนาคนก่อน
เมื่อคุณภาพของคนส่วนใหญ่ดี สังคม สภาพแวดล้อม ประเทศ ก็จะดีไปตามคุณภาพของประชากรนั่นเอง
แล้วบ้านเมืองที่ดี ไม่จำเป็นต้องมีคนที่จบปริญญาเยอะๆ เพราะบางบ้านเมืองมีคนจบปริญญาเยอะมาก แต่เมื่อมองไปรอบๆ
ไม่สามารถหาปัญญาชนเจอเลย หรือ หาปัญญาชนเจอยากมาก "
//
ระบบการทำงานที่เมืองไทย เท่าที่เคยเห็น เคยได้ยิน เคยอ่านๆ ตามกระทู้ เคยฟังคนใกล้ชิดเพื่อนฝูงคนในครอบครัวบ่นให้ฟัง หรือ
ที่เคยสัมผัสมาเอง
เห็นว่า ต่อให้เก่งแค่ไหน ต่อให้จบดีแค่ไหน ต่อให้จบโท จบเอกมาจากเมืองนอก หรือ จบมหาวิทยาลัยชั้นนำในไทย
แต่ก็แทบจะถูกกลืนหมด เพราะต้องอยู่ในกรอบ ในระบบแบบไทยๆ ถึงจะรอด และ ถูกกดค่าแรงมาก สังคมในที่ทำงานก็เป็นไปตามวัฒนธรรม
ตามระบบความคิดของคนส่วนใหญ่
นอกจากจะถูกกดค่าแรงแล้ว ค่าครองชีพก็สูง ระบบการคมนาคมในการเดินทางไปทำงานก็ไม่ค่อยดีนัก สังคมในที่ทำงานก็ไม่ค่อยดี
สวัสดิการก็ไม่ค่อยดี ลาไปพักผ่อนยาวๆ ก็ยากมาก
อยากเห็นคนไทยส่วนใหญ่มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่านี้ โดยเฉพาะคนในระดับปัญญาชน เพื่อให้สมกับที่เรียนๆ กันมา
คนไทยบางคน มีปริญญาหลายใบ ลงทุนลงเงินลงเวลากับการเรียนไปเยอะมาก ทำงานก็หนัก แต่เงินเดือนนิดเดียว ไม่สมดุลย์กับค่าครองชีพเลย
คุณภาพชีวิตก็ไม่ค่อยดี ความเครียดสะสมสูง การแข่งขันสูง บางครั้งก็ใช้เวลากับเรื่องการเมืองในที่ทำงาน มากกว่าจะใช้เวลาในการทำงานให้
มีคุณภาพ และ ประสิทธิภาพ
//
คุณ จขกท ถามถึงเรื่องระบบการศึกษา แต่ขอยกเรื่องระบบการทำงาน และ ระบบสังคมมาด้วย เพราะมันเกี่ยวข้องกันหมด
และ อีกทั้งเห็นคุณ จขกท พูดถึงโพรไฟล์ของตนเองในเรื่องงาน เรื่องของระดับของสถานศึกษา รวมไปถึงเรื่องเงินเดือนด้วย
จึงยกในจุดอื่นๆ นี้ขึ้นมาด้วย
คุณ จขกท ลองสำรวจตนเองดูในรายละเอียดนะ ว่าตรงกับข้อไหนบ้าง จุดไหนบ้าง ที่เราพิมพ์มาเป็นข้อๆ ที่ด้านบน
แล้วลองถามตัวเองว่า เรียนมาขนาดนี้ ทำงานขนาดนี้ แต่คุณภาพชีวิตโดยรวมเป็นอย่างไรบ้าง ทั้งชีวิตในการทำงาน และ ชีวิตโดยทั่วๆ ไป
โดยเทียบกับในไทย (ไทยแลนด์ โอนลี่) แต่อย่าลืมเทียบคิดเทียบกับในระดับโลก (โกอินเตอร์, ไทยแลนด์สี่จุดศูนย์ )
โดยเฉพาะกับ ปท ที่พัฒนาแล้ว ที่นอกแผนที่ ปท ไทยด้วย
ความคิดเห็นที่ 13
ในสังคมไทยยังมีเคสแบบนี้อีกเยอะมาก ที่รอวันปะทุ ปลดปล่อยออกมาอีกมากมาย
เพราะสภาพสังคมโดยรวม เป็นสังคมที่มีชนชั้น กดขี่ข่มเหงกันเป็นทอดๆ ไม่ว่าจะในสถาบันครอบครัว สถานศึกษา ในที่ทำงาน
และ ในสังคมทั่วๆ ไป
//
คนไทยหลายคน ใส่หน้ากากเข้าสังคม แอ๊บใส แอ๊บถ่อมตัว แอ๊บพูดน้อย แอ๊บไม่แสดงความคิดเห็น
แอ๊บเงียบ แอ๊บไหว้เก่งๆ แอ๊บนอบน้อม แอ๊บหัวอ่อน แอ๊บไร้เดียงสา ทำเป็นพูดจาอ้อมๆ แอ้มๆ แบ่งรับแบ่งสู้ เพราะไม่ได้พูดออกมาจากใจ
แต่จริงๆ แล้วหลายคนร้ายมาก มีลับลมคมในเยอะมาก
//
อยู่ยากมาก
นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนไทยหลายคน มักจะเรียก และ คิดว่า โลกโซเชี่ยล คือพื้นที่ส่วนตัวของตนเอง
เพราะคนส่วนใหญ่ไม่สามารถมีความเป็นส่วนตัวได้ในชีวิตจริงๆ
จะเป็นได้ แสดงออกได้ ก็แค่ในโซเชี่ยล
สภาพสังคมโดยรวมน่ากลัวมาก
เพราะสภาพสังคมโดยรวม เป็นสังคมที่มีชนชั้น กดขี่ข่มเหงกันเป็นทอดๆ ไม่ว่าจะในสถาบันครอบครัว สถานศึกษา ในที่ทำงาน
และ ในสังคมทั่วๆ ไป
//
คนไทยหลายคน ใส่หน้ากากเข้าสังคม แอ๊บใส แอ๊บถ่อมตัว แอ๊บพูดน้อย แอ๊บไม่แสดงความคิดเห็น
แอ๊บเงียบ แอ๊บไหว้เก่งๆ แอ๊บนอบน้อม แอ๊บหัวอ่อน แอ๊บไร้เดียงสา ทำเป็นพูดจาอ้อมๆ แอ้มๆ แบ่งรับแบ่งสู้ เพราะไม่ได้พูดออกมาจากใจ
แต่จริงๆ แล้วหลายคนร้ายมาก มีลับลมคมในเยอะมาก
//
อยู่ยากมาก
นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนไทยหลายคน มักจะเรียก และ คิดว่า โลกโซเชี่ยล คือพื้นที่ส่วนตัวของตนเอง
เพราะคนส่วนใหญ่ไม่สามารถมีความเป็นส่วนตัวได้ในชีวิตจริงๆ
จะเป็นได้ แสดงออกได้ ก็แค่ในโซเชี่ยล
สภาพสังคมโดยรวมน่ากลัวมาก
ความคิดเห็นที่ 1
"...นักวิชาการชี้เป็นพวกฆ่าได้ หยามไม่ได้ ?
โถ นักวิชาการวิเคราะห์ได้แค่นี้ เด็กประถมดูหนังจีนมันยังวิเคราะห์ได้เลย ฆ่าได้หยามไม่ได้ 10 ปีล้างแค้นยังไม่สาย ...? ทางที่ดีนักวิชาการอย่าออกมาพูดดีกว่า เพราะจะทำให้คนที่มีความคิดแบบนี้ จะหาทางทำเรื่องแบบนี้อีก และจะได้มีข้ออ้างว่าเพราะเป็นพวกฆ่าได้หยามไม่ได้ ซึ่งฟังดูเท่ (แต่เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง)
โถ นักวิชาการวิเคราะห์ได้แค่นี้ เด็กประถมดูหนังจีนมันยังวิเคราะห์ได้เลย ฆ่าได้หยามไม่ได้ 10 ปีล้างแค้นยังไม่สาย ...? ทางที่ดีนักวิชาการอย่าออกมาพูดดีกว่า เพราะจะทำให้คนที่มีความคิดแบบนี้ จะหาทางทำเรื่องแบบนี้อีก และจะได้มีข้ออ้างว่าเพราะเป็นพวกฆ่าได้หยามไม่ได้ ซึ่งฟังดูเท่ (แต่เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง)
แสดงความคิดเห็น
วิเคราะห์ “จ่าคลั่ง” โพสต์เฟซบุ๊กก่อนยิง 30 ศพ นักวิชาการชี้เป็นพวกฆ่าได้ หยามไม่ได้ ?
ในส่วนของกรณีที่ผู้ก่อเหตุยิงประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้อง จะเห็นว่ามีการเสียชีวิต 2 ช่วง คือ ผู้ก่อเหตุยิงผู้บังคับบัญชา และยิงเพื่อปล้นปืนของทหาร ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้ก่อเหตุเกิดอาการ “เตลิด” และอารมณ์พาไป ลืมตัวแล้วก่อเหตุอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ก่อเหตุไม่ได้ตั้งใจ แต่ผู้ก่อเหตุมีอาการคลุ้มคลั่งมากกว่า อีกทั้งจากโพสต์เชื่อว่า ผู้ก่อเหตุไม่ได้วางแผน แสดงให้เห็นว่าผู้ก่อเหตุรู้สึกกดดัน และรู้สึกคับแค้นใจ คนบางคนมีความคิดที่ว่า “ฆ่าได้ หยามไม่ได้” ประกอบกับผู้ก่อเหตุมีทักษะในการควบคุมอารมณ์ต่ำ
ผศ.ดร.ฐนันดร์ศักดิ์ บวรนันทกุล ประธานหลักสูตร ป.เอก (นานาชาติ) อาชญาวิทยา การบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงแรงจูงใจในการก่อเหตุของคนร้ายว่า แรงจูงใจจริง ๆ ไม่มีใครทราบ แต่จากพยานหลักฐานจากโพสต์ในเฟซบุ๊กของผู้ก่อเหตุ เชื่อว่ามีแรงจูงใจ 3 ประการ คือ ความกดดัน เพราะรู้สึกว่าถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม และความคุ้นเคยในการใช้อาวุธ รวมถึงบุคลิกลักษณะของผู้ก่อเหตุ โดยพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุจะสอดคล้องกับทฤษฎีความกดดัน (Strain theory) คือ 1.สิ่งที่คาดหวังไว้ ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง 2.ความสูญเสีย 3.ความกดดันจากการถูกทำร้าย ผู้ก่อเหตุรู้สึกว่าถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
เฟซบุ๊ก บริษัทผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์ ออกคำแถลงจากสำนักงานใหญ่ที่เมือง เมนโล่ พาร์ค ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐอเมริกา ยืนยันว่า ทางบริษัทเป็นผู้ลบบัญชีผู้ใช้งานของ ผู้ก่อเหตุ โดยทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายความปลอดภัยของเฟซบุ๊ก เป็นผู้ดำเนินการลบบัญชีออกจากระบบ หลังจากตรวจสอบพบว่าคนร้ายเป็นผู้ใช้เจ้าของบัญชีกระทำผิดกฏของบริษัทเรื่องการเผยแพร่การใช้ความรุนแรง
ที่มา : https://www.amarintv.com/news-update/news-26788/491250/