ดวงจันทร์ของดาวอังคาร
(ดาวอังคารและดวงจันทร์ทั้งสองดวง Credit: NASA/JPL-Caltech/GSFC/Univ. of Arizona)
ดาวอังคารมีดวงจันทร์โคจรอยู่โดยรอบ 2 ดวง ได้แก่ โฟบอส และไดมอส ที่ชื่อโฟบอสแปลว่า “ความหวาดกลัว” ส่วนชื่อไดมอสหมายถึง “ความน่ากลัว” ดวงจันทร์ทั้งสองถูกตั้งชื่อให้สอดคล้องกับ “มาร์ส” ชื่อของดาวอังคารและเทพเจ้าแห่งสงครามของโรมัน
ดวงจันทร์ 2 ดวงนี้ถูกค้นพบในปี ค.ศ.1877 และยังคงเป็นที่โต้แย้งกันอยู่ว่าดวงจันทร์พวกนี้มีที่มาจากไหน การที่โฟบอสและไดมอสดูคล้ายกับดาวเคราะห์น้อยมาก ทำให้หลายคนคิดว่าทั้งสองดวงเคยอยู่ในแถบดาวเคราะห์น้อย ก่อนที่จะถูกความโน้มถ่วงของดาวอังคารจับไว้เป็นบริวาร อีกส่วนหนึ่งคิดว่าเคยมีวัตถุขนาดเล็กแบบโฟบอสกับไดมอสจำนวนมากอยู่รอบดาวอังคาร ในช่วงที่ดาวเคราะห์ดวงนี้เพิ่งกำเนิดขึ้นมา แต่เมื่อเวลาผ่านไปตามวิวัฒนาการของระบบสุริยะ วัตถุขนาดเล็กเหล่านี้ส่วนใหญ่หลุดออกจากวงโคจรรอบดาวอังคาร จนเหลือแต่โฟบอสกับไดมอส
ดวงจันทร์โฟบอส มีวงโคจรที่ค่อนข้างใกล้ชิดกับตัวดาวอังคาร และโคจรเร็วจนหากคุณยืนอยู่บนดาวอังคาร จะเห็นดวงจันทรืโฟบอสขึ้นและตกลับขอบฟ้าสองครั้งในรอบวัน ดวงจันทร์ดวงนี้สะท้อนแสงอาทิตย์ได้ไม่มากนัก ทำให้ดวงจันทร์โฟบอสไม่ค่อยสว่างขณะที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้าเหนือพื้นผิวดาวอังคาร
ดวงจันทร์ไดมอส โคจรรอบดาวอังคารในระยะห่างกว่าดวงจันทร์โฟบอสมาก และยังมีขนาดเล็กราวครึ่งหนึ่งของดวงจันทร์โฟบอส ทั้งสองปัจจัยนี้ส่งผลให้ดวงจันทร์ไดมอสปรากฏริบหรี่มากบนท้องฟ้าเหนือพื้นผิวดาวอังคาร ถึงแม้ดวงจันทร์ไดมอสจะประกอบจากวัสดุชนิดใกล้เคียงกับดวงจันทร์โฟบอสและดาวเคราะห์น้อยดวงอื่นๆ แต่ก็มีหลุมอุกกาบาตบนพื้นผิวน้อยกว่ามาก แสดงว่าดวงจันทร์ไดมอสเคยถูกอุกกาบาตพุ่งชนน้อยครั้งกว่า
Cr.
http://nso.narit.or.th/index.php/2017-11-25-10-50-19/2017-12-07-04-56-44/2017-12-09-02-59-16/2017-12-09-11-00-27/196-2017-12-09-11-19-59
ดวงจันทร์ของดาวเนปจูน
(ดวงจันทร์ไทรทันกับดาวเนปจูน Credit: NASA/JPL/USGS)
ดาวเนปจูนมีดวงจันทร์ที่ค้นพบแล้ว 14 ดวง ซึ่งดวงจันทร์เหล่านี้ถูกตั้งชื่อตามเทพหรือสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวกับน้ำในเทพปกรณัมกรีกโบราณ-โรมัน
ดวงจันทร์ไทรทัน (Triton) เป็นดวงจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดของดาวเนปจูน ตั้งชื่อตามเทพแห่งทะเลผู้เป็นบุตรของเทพโพไซดอนในตำนานเทพของกรีกโบราณ
ดวงจันทร์ดวงนี้ถูกค้นพบในระยะเวลาเพียง 17 วันหลังจากที่ดาวเนปจูนถูกค้นพบในปี ค.ศ.1846 ดวงจันทร์ไทรทันมีขนาดใหญ่พอที่จะมีชั้นบรรยากาศบางๆของตนเอง และนักวิทยาศาสตร์คิดว่าดวงจันทร์ไทรทันเคลื่อนเข้าใกล้ดาวเนปจูนเมื่อระบบสุริยะเพิ่งถือกำเนิดขึ้นมา จนถูกความโน้มถ่วงของดาวเนปจูนจับมาเป็นบริวาร ไม่ได้ก่อตัวขึ้นมาจากเศษที่หลงเหลือจากการก่อตัวของดาวเนปจูน
นักวิทยาศาสตร์ยังคิดว่าในช่วงที่ดาวเนปจูนดึงดูดดวงจันทร์ไทรทันมาเป็นบริวารนั้น ดวงจันทร์ขนาดเล็กบางดวงที่โคจรรอบดาวเนปจูนอยู่ในช่วงนั้นถูกรบกวนจนพุ่งชนกันเอง เกิดเป็นระบบวงแหวนรอบดาวเนปจูน
ดวงจันทร์รอบนอกสุดของดาวเนปจูน 2 ดวง ได้แก่ แซมาธี (Psamathe) และนีโซ (Neso) เป็นดวงจันทร์ที่โคจรอยู่ห่างจากดาวเคราะห์ดวงแม่มากที่สุดในระบบสุริยะ ดวงจันทร์ขนาดเล็กทั้ง 13 ดวงของดาวเนปจูนมีมวลรวมกันแล้วยังไม่ถึง 1% ของมวลดวงจันทร์ไทรทัน
ดวงจันทร์ของดาวยูเรนัส
(พื้นผิวน้ำแข็งบนดวงจันทร์มิแรนดาของดาวยูเรนัส Credit: NASA/JPL-Caltech)
ดาวยูเรนัสมีดวงจันทร์ที่ค้นพบแล้ว 27 ดวง โดยชื่อของดวงจันทร์เหล่านี้ถูกตั้งตามชื่อตัวละครในงานวรรณกรรมของวิลเลียม เชกสเปียร์ และอเล็กซานเดอร์ โปป กวีชาวอังกฤษ ซึ่งแตกต่างจากวัตถุอื่นๆในระบบสุริยะที่มักถูกตั้งชื่อตามเทพของกรีกโบราณ-โรมัน
ดวงจันทร์ของดาวยูเรนัสดวงใหญ่ที่สุด 5 ดวง (เรียงลำดับจากดวงที่มีมวลมากไปมวลน้อย) ได้แก่ ทิทาเนีย, โอเบอรอน, แอเรียล, อุมเบรียล และมิแรนดา ดวงจันทร์เหล่านี้อาจได้เป็นสมาชิกในกลุ่ม “ดาวเคราะห์แคระ” หากโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นหลัก แทนที่จะโคจรรอบดาวยูเรนัส
นอกจากดวงจันทร์ทั้ง 27 ดวงแล้ว ดาวยูเรนัสยังมีระบบวงแหวนของตนเอง ถึงวงแหวนของดาวยูเรนัสจะไม่โดดเด่นเท่าวงแหวนของดาวเสาร์ แต่ก็ปรากฏชัดเจนกว่าวงแหวนของดาวพฤหัสบดีและดาวเนปจูน
ดวงจันทร์ของดาวเสาร์
(ดวงจันทร์ของดาวเสาร์ Credit: NASA/JPLe)
ดาวเสาร์มีดวงจันทร์โคจรอยู่โดยรอบ 62 ดวง แต่ละดวงมีขนาดที่หลากหลายตั้งแต่ก้อนหินขนาดเล็กที่มีความกว้างราว 1 กิโลเมตร ไปจนถึงดวงจันทร์ที่มีมวลมากอย่างดวงจันทร์ไททัน ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าดาวพุธ ดวงจันทร์ของดาวเสาร์บางดวงก็เล็กมากจนยังไม่ถูกตั้งชื่อ ซึ่งดาวเสาร์มีดวงจันทร์ 53 ดวงที่ได้รับการตั้งชื่อแล้ว
ดาวเสาร์ยังมีระบบวงแหวนที่ประกอบด้วยน้ำแข็ง ฝุ่นและหินก้อนเล็กๆ วัสดุส่วนใหญ่ในวงแหวนดาวเสาร์มีขนาดเพียงไม่กี่ไมครอน (พอๆกับความกว้างของเส้นผมมนุษย์) แต่ก็มีอีกส่วนหนึ่งที่มีขนาดไม่กี่เมตรไปจนถึงหลายร้อยเมตร
ดวงจันทร์ของโลก
(Cr.
https://trollmoon.com/the-moon-ดาวบริวารดวงเดียวของโ/)
“ดวงจันทร์” เป็นดาวบริวารตามธรรมชาติเพียงหนึ่งเดียวของโลก และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ในบรรดาดาวบริวารทั้งหลายในระบบสุริยะ และยังเป็นวัตถุนอกโลกเพียงวัตถุเดียวที่มนุษย์ได้ไปเหยียบมาแล้ว
โดยในปี ค.ศ.1969 นีล อาร์มสตรอง นักบินอวกาศชาวสหรัฐฯ ได้ปีนลงจากยานอพอลโล 11 มาเหยียบดวงจันทร์ ดวงจันทร์ต่างจากโลกตรงที่ดวงจันทร์มีบรรยากาศที่เบาบางมาก ซึ่งเบาบางเกินกว่าที่มนุษย์จะหายใจได้ และเมื่อพิจารณาร่วมกับอุณหภูมิพื้นผิวดวงจันทร์ที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ระหว่างด้านกลางวันกับด้านกลางคืน (ประมาณ -170 ถึง 120 องศาเซลเซียส) จะเข้าใจได้ว่าทำไมนักบินอวกาศที่ลงสำรวจบนดวงจันทร์ ถึงต้องใส่ชุดมนุษย์อวกาศที่เทอะทะ
ดวงจันทร์มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3,474 กิโลเมตร ซึ่งสั้นกว่า 1/4 ของขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางโลกเล็กน้อย ขณะที่ระยะห่างเฉลี่ยระหว่างโลกกับดวงจันทร์อยู่ที่ 384,403 กิโลเมตร หรือราว 30 เท่าของขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางโลก และจากการที่ดวงจันทร์มีขนาดและมวลน้อยกว่าโลก ทำให้ความโน้มถ่วงบนพื้นผิวดวงจันทร์มีแค่ 17% ของความโน้มถ่วงที่พื้นผิวโลก
วงโคจรและการหมุนรอบตัวเองของดวงจันทร์ค่อยๆเปลี่ยนแปลง เนื่องด้วยดวงจันทร์ได้รับผลกระทบจากแรงไทดัลอย่างต่อเนื่องหลายล้านปี จนดวงจันทร์หันพื้นผิวด้านเดียวเข้าหาโลกเสมอ หมายความว่าวิธีการเดียวที่จะเห็นพื้นผิวดวงจันทร์ฝั่งที่หันออกจากโลก คือ การส่งยานอวกาศไปยังดวงจันทร์แล้วถ่ายภาพกลับมา
พื้นผิวของดวงจันทร์ จะเต็มไปด้วยหลุมอุกกาบาตและเทือกเขา หลุมอุกกาบาตเหล่านี้เป็นผลจากการพุ่งชนของอุกกาบาตนับไม่ถ้วนต่อเนื่องกันหลายล้านปี และยังมีพื้นที่กว้างใหญ่ที่มีสีคล้ำและค่อนข้างราบเรียบ มีหลุมอุกกาบาตน้อยกว่า พื้นที่กว้างใหญ่ดังกล่าวเรียกว่า “ทะเลบนดวงจันทร์” หรือ “Maria” (คำพหูพจน์ในภาษาละตินแปลว่า “ทะเล” คำเอกพจน์จะเป็น Mare)
เนื่องจากนักดาราศาสตร์ในสมัยก่อนคิดว่าพื้นที่พวกนี้เป็นมหาสมุทรบนดวงจันทร์ ปัจจุบันเราทราบว่า “ทะเลบนดวงจันทร์” เป็นพื้นที่ที่ถูกลาวาจากภายในตัวดวงจันทร์เอ่อขึ้นมากลบ ก่อนจะเย็นตัวและแข็งตัว ถือเป็นลักษณะภูมิประเทศที่หลงเหลือจากช่วงที่ดวงจันทร์เพิ่งเกิดใหม่และภายในตัวดาวยังร้อนอยู่
ดวงจันทร์ของพลูโต
พลูโตมีดวงจันทร์บริวารอยู่ทั้งหมด 5 ดวงด้วยกัน ได้แก่ คารอน (Charon) ซึ่งมีการระบุครั้งแรกในปี พ.ศ. 2521 โดย เจมส์ คริสตี นักดาราศาสตร์, นิกซ์ (Nix) และไฮดรา (Hydra) ซึ่งถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2548 ทั้งคู่, เคอเบอรอส (Kerberos) ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2554 และสติกซ์ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2555
แต่ดวงจันทร์ที่เป็นที่รู้จักและได้รับความสนใจมากที่สุด คือ คารอน ดวงจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดของพลูโต ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1,270 กิโลเมตร เรียกว่าใหญ่มากกว่าครึ่งหนึ่งของขนาดดาวพลูโตเสียอีก ด้วยขนาดที่ใหญ่เมื่อเทียบกับพลูโตเช่นนี้ อาจกล่าวได้ว่า คารอนไม่ใช่แค่ดาวบริวารของพลูโตเท่านั้น แต่คารอนกับพลูโตเป็นดาวเคราะห์แคระคู่ ที่โคจรรอบกันและกัน ส่วนดวงจันทร์อีก 4 ดวงนั้น มีขนาดเล็กมาก หากเทียบกับดวงจันทร์คารอน
ดาวบริวารของดาวพลูโตถูกสันนิษฐานว่าก่อตัวจากการปะทะของดาวพลูโตกับวัตถุขนาดเดียวกันชิ้นหนึ่ง ในช่วงยุคแรก ๆ ของระบบสุริยะ การปะทะได้ปลดปล่อยวัสดุที่ซึ่งภายหลังได้รวมตัวกันก่อเป็นดาวบริวารรอบ ๆ ดาวพลูโต ถึงอย่างนั้น เคอร์เบอรอสมีความสะท้อนแสงต่ำกว่าดาวบริวารดวงอื่นมาก ซึ่งยากต่อการอธิบายด้วยการปะทะครั้งใหญ่
ล่าสุดมีภาพจากกล้องฮับเบิ้ลที่ทำเอาเหล่านักดาราศาสตร์ทั่วโลกหันมามองกันเป็นแถว เริ่มจากรูปร่างที่ดูแปลกเหมือนลูกหนำเลี๊ยบของดวงจันทร์นิกซ์ Nix และรูปทรงไข่ของดวงจันทร์ไฮดรา Hydra ดวงจัทร์เคอบีรอส ดวงจันทร์ทั้ง 2 นี้ยังหมุนกลิ้งแบบคาดเดาทิศทางไม่ได้ ดวงจันทร์ Kerberos ก็แปลกไม่แพ้กัน คือมีความมืดดำจากองค์ประกอบคาร์บอนของผิวดาว นอกจากนั้นยังมีเรื่องของวงโคจรและการยืนยันการเป็นระบบดาวเคราะห์คู่
ดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดี
ดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์ถูกล้อมรอบด้วยดวงจันทร์มากกว่า 53 ดวง (รอการยืนยันอีก 16 ดวง) โดยเฉพาะรวมทั้งหมด 69 ดวง เป็นวงโคจร ที่ซับซ้อนและน่าปวดหัว และมี 4 ดวงจันทร์ ขนาดใหญ่ที่สำรวจพบโดย กาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei) ในปี ค.ศ. 1610 เรียกชื่อเป็นเกียรติแก่กาลิเลโอ ฉายาว่าดวงจันทร์กาลิเลียน (Galilean Moons)
ประกอบด้วย 1.ดวงจันทร์ไอโอ (Io) ฉายาคือราชาแห่งภูเขาไฟ 2.ดวงจันทร์ยูโรปา (Europa) ฉายาคือราชินีแห่งมหาสุมทรน้ำแข็ง 3.ดวงจันทร์กานีมีด (Ganymede) ฉายาคือ ราชาแห่งขนาดที่ยิ่งใหญ่เป็นดวงจันทร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ และ 4.ดวงจันทร์แคลลิสโต (Callisto) ฉายาคือราชินีแห่งความมืด ยับย่น
ภาพจาก tragicocomedia.com, NASA, New Horizons
Cr.
https://hilight.kapook.com/view/123412
Cr.
https://stem.in.th/ดวงจันทร์ของดาวพลูโต-มี/
Cr.Cr.
http://nso.narit.or.th/index.php/2017-11-25-10-50-19/2017-12-07-04-56-44/2017-12-09-02-59-16/2017-12-09-11-00-27/196-2017-12-09-11-19-59
Cr.
http://www.sunflowercosmos.org/A00-07-solar_system_jupiter.html
อ้างอิง
http://solarsystem.nasa.gov/news/display.cfm?News_ID=49265
เรียบเรียงโดย @MrVop
ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา
ดวงจันทร์ดาวบริวารของดาวเคราะห์
(ดาวอังคารและดวงจันทร์ทั้งสองดวง Credit: NASA/JPL-Caltech/GSFC/Univ. of Arizona)
ดาวอังคารมีดวงจันทร์โคจรอยู่โดยรอบ 2 ดวง ได้แก่ โฟบอส และไดมอส ที่ชื่อโฟบอสแปลว่า “ความหวาดกลัว” ส่วนชื่อไดมอสหมายถึง “ความน่ากลัว” ดวงจันทร์ทั้งสองถูกตั้งชื่อให้สอดคล้องกับ “มาร์ส” ชื่อของดาวอังคารและเทพเจ้าแห่งสงครามของโรมัน
ดวงจันทร์ 2 ดวงนี้ถูกค้นพบในปี ค.ศ.1877 และยังคงเป็นที่โต้แย้งกันอยู่ว่าดวงจันทร์พวกนี้มีที่มาจากไหน การที่โฟบอสและไดมอสดูคล้ายกับดาวเคราะห์น้อยมาก ทำให้หลายคนคิดว่าทั้งสองดวงเคยอยู่ในแถบดาวเคราะห์น้อย ก่อนที่จะถูกความโน้มถ่วงของดาวอังคารจับไว้เป็นบริวาร อีกส่วนหนึ่งคิดว่าเคยมีวัตถุขนาดเล็กแบบโฟบอสกับไดมอสจำนวนมากอยู่รอบดาวอังคาร ในช่วงที่ดาวเคราะห์ดวงนี้เพิ่งกำเนิดขึ้นมา แต่เมื่อเวลาผ่านไปตามวิวัฒนาการของระบบสุริยะ วัตถุขนาดเล็กเหล่านี้ส่วนใหญ่หลุดออกจากวงโคจรรอบดาวอังคาร จนเหลือแต่โฟบอสกับไดมอส
ดวงจันทร์โฟบอส มีวงโคจรที่ค่อนข้างใกล้ชิดกับตัวดาวอังคาร และโคจรเร็วจนหากคุณยืนอยู่บนดาวอังคาร จะเห็นดวงจันทรืโฟบอสขึ้นและตกลับขอบฟ้าสองครั้งในรอบวัน ดวงจันทร์ดวงนี้สะท้อนแสงอาทิตย์ได้ไม่มากนัก ทำให้ดวงจันทร์โฟบอสไม่ค่อยสว่างขณะที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้าเหนือพื้นผิวดาวอังคาร
ดวงจันทร์ไดมอส โคจรรอบดาวอังคารในระยะห่างกว่าดวงจันทร์โฟบอสมาก และยังมีขนาดเล็กราวครึ่งหนึ่งของดวงจันทร์โฟบอส ทั้งสองปัจจัยนี้ส่งผลให้ดวงจันทร์ไดมอสปรากฏริบหรี่มากบนท้องฟ้าเหนือพื้นผิวดาวอังคาร ถึงแม้ดวงจันทร์ไดมอสจะประกอบจากวัสดุชนิดใกล้เคียงกับดวงจันทร์โฟบอสและดาวเคราะห์น้อยดวงอื่นๆ แต่ก็มีหลุมอุกกาบาตบนพื้นผิวน้อยกว่ามาก แสดงว่าดวงจันทร์ไดมอสเคยถูกอุกกาบาตพุ่งชนน้อยครั้งกว่า
Cr.http://nso.narit.or.th/index.php/2017-11-25-10-50-19/2017-12-07-04-56-44/2017-12-09-02-59-16/2017-12-09-11-00-27/196-2017-12-09-11-19-59
ดวงจันทร์ของดาวเนปจูน
(ดวงจันทร์ไทรทันกับดาวเนปจูน Credit: NASA/JPL/USGS)
ดาวเนปจูนมีดวงจันทร์ที่ค้นพบแล้ว 14 ดวง ซึ่งดวงจันทร์เหล่านี้ถูกตั้งชื่อตามเทพหรือสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวกับน้ำในเทพปกรณัมกรีกโบราณ-โรมัน
ดวงจันทร์ไทรทัน (Triton) เป็นดวงจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดของดาวเนปจูน ตั้งชื่อตามเทพแห่งทะเลผู้เป็นบุตรของเทพโพไซดอนในตำนานเทพของกรีกโบราณ
ดวงจันทร์ดวงนี้ถูกค้นพบในระยะเวลาเพียง 17 วันหลังจากที่ดาวเนปจูนถูกค้นพบในปี ค.ศ.1846 ดวงจันทร์ไทรทันมีขนาดใหญ่พอที่จะมีชั้นบรรยากาศบางๆของตนเอง และนักวิทยาศาสตร์คิดว่าดวงจันทร์ไทรทันเคลื่อนเข้าใกล้ดาวเนปจูนเมื่อระบบสุริยะเพิ่งถือกำเนิดขึ้นมา จนถูกความโน้มถ่วงของดาวเนปจูนจับมาเป็นบริวาร ไม่ได้ก่อตัวขึ้นมาจากเศษที่หลงเหลือจากการก่อตัวของดาวเนปจูน
นักวิทยาศาสตร์ยังคิดว่าในช่วงที่ดาวเนปจูนดึงดูดดวงจันทร์ไทรทันมาเป็นบริวารนั้น ดวงจันทร์ขนาดเล็กบางดวงที่โคจรรอบดาวเนปจูนอยู่ในช่วงนั้นถูกรบกวนจนพุ่งชนกันเอง เกิดเป็นระบบวงแหวนรอบดาวเนปจูน
ดวงจันทร์รอบนอกสุดของดาวเนปจูน 2 ดวง ได้แก่ แซมาธี (Psamathe) และนีโซ (Neso) เป็นดวงจันทร์ที่โคจรอยู่ห่างจากดาวเคราะห์ดวงแม่มากที่สุดในระบบสุริยะ ดวงจันทร์ขนาดเล็กทั้ง 13 ดวงของดาวเนปจูนมีมวลรวมกันแล้วยังไม่ถึง 1% ของมวลดวงจันทร์ไทรทัน
ดวงจันทร์ของดาวยูเรนัส
(พื้นผิวน้ำแข็งบนดวงจันทร์มิแรนดาของดาวยูเรนัส Credit: NASA/JPL-Caltech)
ดาวยูเรนัสมีดวงจันทร์ที่ค้นพบแล้ว 27 ดวง โดยชื่อของดวงจันทร์เหล่านี้ถูกตั้งตามชื่อตัวละครในงานวรรณกรรมของวิลเลียม เชกสเปียร์ และอเล็กซานเดอร์ โปป กวีชาวอังกฤษ ซึ่งแตกต่างจากวัตถุอื่นๆในระบบสุริยะที่มักถูกตั้งชื่อตามเทพของกรีกโบราณ-โรมัน
ดวงจันทร์ของดาวยูเรนัสดวงใหญ่ที่สุด 5 ดวง (เรียงลำดับจากดวงที่มีมวลมากไปมวลน้อย) ได้แก่ ทิทาเนีย, โอเบอรอน, แอเรียล, อุมเบรียล และมิแรนดา ดวงจันทร์เหล่านี้อาจได้เป็นสมาชิกในกลุ่ม “ดาวเคราะห์แคระ” หากโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นหลัก แทนที่จะโคจรรอบดาวยูเรนัส
นอกจากดวงจันทร์ทั้ง 27 ดวงแล้ว ดาวยูเรนัสยังมีระบบวงแหวนของตนเอง ถึงวงแหวนของดาวยูเรนัสจะไม่โดดเด่นเท่าวงแหวนของดาวเสาร์ แต่ก็ปรากฏชัดเจนกว่าวงแหวนของดาวพฤหัสบดีและดาวเนปจูน
ดวงจันทร์ของดาวเสาร์
(ดวงจันทร์ของดาวเสาร์ Credit: NASA/JPLe)
ดาวเสาร์มีดวงจันทร์โคจรอยู่โดยรอบ 62 ดวง แต่ละดวงมีขนาดที่หลากหลายตั้งแต่ก้อนหินขนาดเล็กที่มีความกว้างราว 1 กิโลเมตร ไปจนถึงดวงจันทร์ที่มีมวลมากอย่างดวงจันทร์ไททัน ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าดาวพุธ ดวงจันทร์ของดาวเสาร์บางดวงก็เล็กมากจนยังไม่ถูกตั้งชื่อ ซึ่งดาวเสาร์มีดวงจันทร์ 53 ดวงที่ได้รับการตั้งชื่อแล้ว
ดาวเสาร์ยังมีระบบวงแหวนที่ประกอบด้วยน้ำแข็ง ฝุ่นและหินก้อนเล็กๆ วัสดุส่วนใหญ่ในวงแหวนดาวเสาร์มีขนาดเพียงไม่กี่ไมครอน (พอๆกับความกว้างของเส้นผมมนุษย์) แต่ก็มีอีกส่วนหนึ่งที่มีขนาดไม่กี่เมตรไปจนถึงหลายร้อยเมตร
ดวงจันทร์ของโลก
(Cr.https://trollmoon.com/the-moon-ดาวบริวารดวงเดียวของโ/)
“ดวงจันทร์” เป็นดาวบริวารตามธรรมชาติเพียงหนึ่งเดียวของโลก และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ในบรรดาดาวบริวารทั้งหลายในระบบสุริยะ และยังเป็นวัตถุนอกโลกเพียงวัตถุเดียวที่มนุษย์ได้ไปเหยียบมาแล้ว
โดยในปี ค.ศ.1969 นีล อาร์มสตรอง นักบินอวกาศชาวสหรัฐฯ ได้ปีนลงจากยานอพอลโล 11 มาเหยียบดวงจันทร์ ดวงจันทร์ต่างจากโลกตรงที่ดวงจันทร์มีบรรยากาศที่เบาบางมาก ซึ่งเบาบางเกินกว่าที่มนุษย์จะหายใจได้ และเมื่อพิจารณาร่วมกับอุณหภูมิพื้นผิวดวงจันทร์ที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ระหว่างด้านกลางวันกับด้านกลางคืน (ประมาณ -170 ถึง 120 องศาเซลเซียส) จะเข้าใจได้ว่าทำไมนักบินอวกาศที่ลงสำรวจบนดวงจันทร์ ถึงต้องใส่ชุดมนุษย์อวกาศที่เทอะทะ
ดวงจันทร์มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3,474 กิโลเมตร ซึ่งสั้นกว่า 1/4 ของขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางโลกเล็กน้อย ขณะที่ระยะห่างเฉลี่ยระหว่างโลกกับดวงจันทร์อยู่ที่ 384,403 กิโลเมตร หรือราว 30 เท่าของขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางโลก และจากการที่ดวงจันทร์มีขนาดและมวลน้อยกว่าโลก ทำให้ความโน้มถ่วงบนพื้นผิวดวงจันทร์มีแค่ 17% ของความโน้มถ่วงที่พื้นผิวโลก
วงโคจรและการหมุนรอบตัวเองของดวงจันทร์ค่อยๆเปลี่ยนแปลง เนื่องด้วยดวงจันทร์ได้รับผลกระทบจากแรงไทดัลอย่างต่อเนื่องหลายล้านปี จนดวงจันทร์หันพื้นผิวด้านเดียวเข้าหาโลกเสมอ หมายความว่าวิธีการเดียวที่จะเห็นพื้นผิวดวงจันทร์ฝั่งที่หันออกจากโลก คือ การส่งยานอวกาศไปยังดวงจันทร์แล้วถ่ายภาพกลับมา
พื้นผิวของดวงจันทร์ จะเต็มไปด้วยหลุมอุกกาบาตและเทือกเขา หลุมอุกกาบาตเหล่านี้เป็นผลจากการพุ่งชนของอุกกาบาตนับไม่ถ้วนต่อเนื่องกันหลายล้านปี และยังมีพื้นที่กว้างใหญ่ที่มีสีคล้ำและค่อนข้างราบเรียบ มีหลุมอุกกาบาตน้อยกว่า พื้นที่กว้างใหญ่ดังกล่าวเรียกว่า “ทะเลบนดวงจันทร์” หรือ “Maria” (คำพหูพจน์ในภาษาละตินแปลว่า “ทะเล” คำเอกพจน์จะเป็น Mare)
เนื่องจากนักดาราศาสตร์ในสมัยก่อนคิดว่าพื้นที่พวกนี้เป็นมหาสมุทรบนดวงจันทร์ ปัจจุบันเราทราบว่า “ทะเลบนดวงจันทร์” เป็นพื้นที่ที่ถูกลาวาจากภายในตัวดวงจันทร์เอ่อขึ้นมากลบ ก่อนจะเย็นตัวและแข็งตัว ถือเป็นลักษณะภูมิประเทศที่หลงเหลือจากช่วงที่ดวงจันทร์เพิ่งเกิดใหม่และภายในตัวดาวยังร้อนอยู่
ดวงจันทร์ของพลูโต
พลูโตมีดวงจันทร์บริวารอยู่ทั้งหมด 5 ดวงด้วยกัน ได้แก่ คารอน (Charon) ซึ่งมีการระบุครั้งแรกในปี พ.ศ. 2521 โดย เจมส์ คริสตี นักดาราศาสตร์, นิกซ์ (Nix) และไฮดรา (Hydra) ซึ่งถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2548 ทั้งคู่, เคอเบอรอส (Kerberos) ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2554 และสติกซ์ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2555
แต่ดวงจันทร์ที่เป็นที่รู้จักและได้รับความสนใจมากที่สุด คือ คารอน ดวงจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดของพลูโต ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1,270 กิโลเมตร เรียกว่าใหญ่มากกว่าครึ่งหนึ่งของขนาดดาวพลูโตเสียอีก ด้วยขนาดที่ใหญ่เมื่อเทียบกับพลูโตเช่นนี้ อาจกล่าวได้ว่า คารอนไม่ใช่แค่ดาวบริวารของพลูโตเท่านั้น แต่คารอนกับพลูโตเป็นดาวเคราะห์แคระคู่ ที่โคจรรอบกันและกัน ส่วนดวงจันทร์อีก 4 ดวงนั้น มีขนาดเล็กมาก หากเทียบกับดวงจันทร์คารอน
ดาวบริวารของดาวพลูโตถูกสันนิษฐานว่าก่อตัวจากการปะทะของดาวพลูโตกับวัตถุขนาดเดียวกันชิ้นหนึ่ง ในช่วงยุคแรก ๆ ของระบบสุริยะ การปะทะได้ปลดปล่อยวัสดุที่ซึ่งภายหลังได้รวมตัวกันก่อเป็นดาวบริวารรอบ ๆ ดาวพลูโต ถึงอย่างนั้น เคอร์เบอรอสมีความสะท้อนแสงต่ำกว่าดาวบริวารดวงอื่นมาก ซึ่งยากต่อการอธิบายด้วยการปะทะครั้งใหญ่
ล่าสุดมีภาพจากกล้องฮับเบิ้ลที่ทำเอาเหล่านักดาราศาสตร์ทั่วโลกหันมามองกันเป็นแถว เริ่มจากรูปร่างที่ดูแปลกเหมือนลูกหนำเลี๊ยบของดวงจันทร์นิกซ์ Nix และรูปทรงไข่ของดวงจันทร์ไฮดรา Hydra ดวงจัทร์เคอบีรอส ดวงจันทร์ทั้ง 2 นี้ยังหมุนกลิ้งแบบคาดเดาทิศทางไม่ได้ ดวงจันทร์ Kerberos ก็แปลกไม่แพ้กัน คือมีความมืดดำจากองค์ประกอบคาร์บอนของผิวดาว นอกจากนั้นยังมีเรื่องของวงโคจรและการยืนยันการเป็นระบบดาวเคราะห์คู่
ดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดี
ดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์ถูกล้อมรอบด้วยดวงจันทร์มากกว่า 53 ดวง (รอการยืนยันอีก 16 ดวง) โดยเฉพาะรวมทั้งหมด 69 ดวง เป็นวงโคจร ที่ซับซ้อนและน่าปวดหัว และมี 4 ดวงจันทร์ ขนาดใหญ่ที่สำรวจพบโดย กาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei) ในปี ค.ศ. 1610 เรียกชื่อเป็นเกียรติแก่กาลิเลโอ ฉายาว่าดวงจันทร์กาลิเลียน (Galilean Moons)
ประกอบด้วย 1.ดวงจันทร์ไอโอ (Io) ฉายาคือราชาแห่งภูเขาไฟ 2.ดวงจันทร์ยูโรปา (Europa) ฉายาคือราชินีแห่งมหาสุมทรน้ำแข็ง 3.ดวงจันทร์กานีมีด (Ganymede) ฉายาคือ ราชาแห่งขนาดที่ยิ่งใหญ่เป็นดวงจันทร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ และ 4.ดวงจันทร์แคลลิสโต (Callisto) ฉายาคือราชินีแห่งความมืด ยับย่น
ภาพจาก tragicocomedia.com, NASA, New Horizons
Cr.https://hilight.kapook.com/view/123412
Cr.https://stem.in.th/ดวงจันทร์ของดาวพลูโต-มี/
Cr.Cr.http://nso.narit.or.th/index.php/2017-11-25-10-50-19/2017-12-07-04-56-44/2017-12-09-02-59-16/2017-12-09-11-00-27/196-2017-12-09-11-19-59
Cr.http://www.sunflowercosmos.org/A00-07-solar_system_jupiter.html
อ้างอิง http://solarsystem.nasa.gov/news/display.cfm?News_ID=49265
เรียบเรียงโดย @MrVop
ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา