เหล่าพืชมหัศจรรย์ที่สวยงาม

แม็กโนเลีย - พืชมหัศจรรย์แห่งกาลเวลา



แมกโนเลียเป็นพืชที่มีต้นกำเนิดโบราณ ในประเทศทางตะวันออกนั้นเป็นสัญลักษณ์ของพรหมจรรย์ฤดูใบไม้ผลิเสน่ห์และความงาม ดอกแมกโนเลียเติบโตในตอนเหนือของประเทศจีนรวมถึงในภาคกลางและตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา ในป่าพวกเขาพบส่วนใหญ่ในเขตร้อนในป่าหนาแน่นหนาแน่นซึ่งมีดินที่อุดมไปด้วยฮิวมัส
ดอกไม้แมกโนเลียหอมและสวยงามมาก  มีสีที่หลากหลายมากทั้ง ชมพู, ขาว, ส้มทอง, สีแดงเข้ม ความสูงของพืชอาจแตกต่างกันไปตั้งแต่หนึ่งถึงยี่สิบเมตรแล้วแต่พันธ์

แม็กโนเลียเป็นดอกไม้ที่มีรูปลักษณ์ภายนอกงามละมุนตา แต่เมื่อเข้าไปสัมผัสใกล้ชิดจะรู้ว่ากลีบดอกแข็งหนานั้นไม่อาจถูกลมพายุทำให้บอบช้ำได้โดยง่าย จะร่วงหล่นไปก็ต่อเมื่อถึงกาลเวลาของมันเท่านั้น 

มีภาพยนตร์ดังเรื่องหนึ่งชื่อ “Steel Magnolia” ซึ่งฉายภาพสายใยความรักของแม่กับลูก และความผูกพันอันแน่นแฟ้นระหว่างเพื่อนกับเพื่อน ตัวเอกในภาพยนตร์เรื่องนี้ล้วนเป็นหญิงที่มีนิสัยใจคอและมุมมองต่อชีวิตแตกต่างกันไป แต่ทั้งหมดหลอมรวมเข้าหากันด้วยคำว่ามิตรภาพ ที่พร้อมจะยืนหยัดอยู่เคียงข้างกันเสมอแม้ในวันที่พายุร้ายโหมกระหน่ำชีวิต เหมือนดอกแม็กโนเลียเหล็กที่แม้ภายนอกจะดูอ่อนไหวบอบบาง แต่กลับแฝงความแข็งแกร่งทรหด ต้านทานอุปสรรคและความทุกข์ได้ด้วยกำลังใจอันมุ่งมั่นและแรงปรารถนาที่จะใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า

นักพฤกษศาสตร์จะชี้ว่าไม้ชนิดนี้ไม่ค่อยปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงในสภาพธรรมชาติ ทำให้หลายชนิดตกอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธ์ในปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตามดอกแม็กโนเลียนี้ก็มีมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ได้ผ่านความเปลี่ยนแปลงสำคัญทางธรณีวิทยา เช่นการเกิดของยุคน้ำแข็ง การก่อตัวของภูเขา และการเคลื่อนที่ของแผ่นทวีปมาแล้ว ถือเป็นไม้ที่เกิดขึ้นก่อนจะมีผึ้งบนโลก

จึงมีวิวัฒนาการให้สามารถขยายพันธุ์ด้วยการผสมเกสรโดยแมลงปีกแข็ง ทำให้เกสรตัวเมียของดอกแม็กโนเลียมีความแข็งเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกทำลายโดยตัวแมลง การขุดพบซากฟอสซิลทำให้ทราบว่าไม้ในวงศ์แม็กโนเลียนี้เจริญเติบโตบนโลกราว 95 ล้านปีมาแล้ว ลักษณะพิเศษที่บ่งชี้ถึงความเป็นพันธุ์ไม้เก่าแก่โบราณของแม็กโนเลียคือ มีกลีบที่ไม่สามารถแยกออกเป็นกลีบเลี้ยง (sepal) และกลีบดอก (petal) ได้อย่างชัดเจน กลีบที่ว่านี้เรียกว่า tepal และเรียกรวมๆ ว่า perianth แต่ในภาษาไทยนั้นก็อนุโลมให้ใช้คำว่ากลีบดอกแทนได้
 ชื่อ Magnolia นี้ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่ศาสตราจารย์ Pierre Magnol อดีตผู้อำนวยการสวนพฤกษศาสตร์แห่งมงต์เปลลิเยร์ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มการจำแนกวงศ์ของพืช
ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก http://www.en.wikipedia.org
ขอบคุณภาพจาก https://www.earth.com/earthpedia/plant/th/magnolia-sieboldii-japonica/
Cr.https://sangkae.wordpress.com/2011/05/11/แม็กโนเลีย…สัญลักษณ์ขอ/  Posted by sangkae 

Mosses พืชจิ๋วมหัศจรรย์ในป่า


พืชจิ๋ว หรือที่ศัพท์ทางวิชาการเขาเรียกกันว่า พืชกลุ่มไบรโอไฟต์ (bryophyte) มีอยู่ 3 กลุ่ม คือ มอสส์ (Moss) ลิเวอร์เวิร์ต (Loverwort) และฮอร์นเวิร์ต (Hornwort) เป็นกลุ่มพืชที่ถือกำเนิดขึ้นมานานมากกว่า 400 ล้านปี ตั้งแต่ยุคที่บรรยากาศโลกยังไม่คงที่ มีก๊าซชนิดต่างๆ มีความร้อนสูง จึงต้องพัฒนากลไกพิเศษขึ้นเพื่อการอยู่รอด อย่างการมีโครงสร้างที่สามารถดูดซับความชื้นและน้ำได้อย่างรวดเร็วถึง 200 – 500% ของน้ำหนักแห้ง จึงเปรียบเหมือนเป็นฟองน้ำของป่า อีกทั้งยังเป็นดัชนีชี้วัดทางชีวภาพ (Bioindicator) เพราะสามารถดูดซับน้ำและแร่ธาตุจากสิ่งแวดล้อมได้โดยตรง

ถึงแม้ว่า “มอสส์” จะมีวิวัฒนาการน้อยกว่าพืชกลุ่มอื่นๆ เพราะไม่มีราก ลำต้น และใบที่แท้จริง แต่กลับมีกลไกพิเศษมากมายที่ช่วยให้สามารถอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้  เช่น มอสส์บางชนิดมีการสร้างแวกซ์ (Wax) เคลือบบนผิวเซลล์ เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำออกจากเซลล์ จึงเป็นเหมือนกาวที่คอยดักจับฝุ่นในอากาศ และฝุ่นเหล่านี้จะไม่ฟุ้งกระจายกลับสู่สิ่งแวดล้อม แต่จะถูกย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยให้กับมอสส์

Mosses พืชขนาดเล็กที่สามารถเจริญเติบโตได้โดยไม่ต้องอาศัยแสงแดด วิวัฒนาการมาจากพืชน้ำประมาณ 400 กว่าปีมาแล้ว ขึ้นปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณในป่า มองดูเขียวขจี แต่มีบางแห่งที่เป็นสีแดงกำมะหยี่สวยงาม เมื่อเดินไปเหยียบรู้สึกถึงความหยุ่นและนิ่มมากเหมือนเดินอยู่บนพรมที่หนานุ่ม 

Mosses มีหลายชนิดส่วนใหญ่จะมีสีเขียวอ่อนบ้างแก่บ้าง และสีน้ำตาล แต่ที่พบเป็นสีเขียวมีชื่อว่า Scouleria และ Sphagnum จะเป็นสีแดง Mosses หากพบในบริเวณหนองน้ำที่ตื้นและเฉอะแฉะจะถูกเรียกว่า Muskeg
ความมหัศจรรย์ของ Mosses ก็คือหากพืชชนิดนี้แห้งตาย จะสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ในเวลาอันรวดเร็วเมื่อได้รับน้ำ และที่สำคัญประโยชน์ของ Mosses คือช่วยให้ป่ามีความอุดมสมบูรณ์ เพราะการขึ้นปกคลุมพื้นที่ป่าเป็นการช่วยกักเก็บน้ำและความชุ่มชื้นไว้ในดินและต้นไม้ให้มีน้ำหล่อเลี้ยงตลอดทุกฤดูกาล
จากการศึกษาในห้องปฏิบัติการในต่างประเทศที่สังเกตเห็นว่า ไม่มีแมลงหรือสัตว์อื่นๆ มากิน และยังไม่มีเชื้อราหรือโรคพืชต่างๆ ในพืชกลุ่มนี้ จึงได้พบสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ สารต้านเชื้อรา แบคทีเรีย และเซลล์มะเร็ง อยู่ในพืชกลุ่มนี้อีกด้วย
แหล่งข้อมูล :
- ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ
- สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้
ภาพ : คุณธิษณะ สมใจดี
Cr.https://hi-in.facebook.com/thairakpaofficial/posts/1166286393579614 / โดย มูลนิธิไทยรักษ์ป่า
Cr http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000057090
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย Pojana Yeamnaiyana Ed.D. ใน ภาพถ่าย...ที่ไม่มีลายเซนต์

ต้นแปะก๊วย พืชมหัศจรรย์ที่มีอายุเก่าแก่เป็นพันปี 


เป็นพันธุ์ไม้ชนิดหนึ่งที่สามารถทำให้ตัวเองกลายเป็น “ผู้รอดชีวิต” มาได้ยาวนานกว่า 1,000 ปี พืชชนิดนี้ มีชื่อเรียกคุ้นหูว่า “ต้นแปะก๊วย”  พืชนี้เป็นพืชระดับประวัติศาสตร์ เพราะมันสามารถอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง มีสารเคมีสำหรับต้านความแห้งแล้งหรือโรคผจญพืชต่างๆได้ และที่น่าทึ่งกว่านั้นคือ มันเป็นพืชที่ล้มตายตามอายุขัยจำกัดเหมือนพืชชนิดอื่นๆ นั่นคือมันไม่แก่ลง ซึ่งต้นแปะก๊วยปัจจุบันพบเห็นตามป่าธรรมชาติได้น้อยมาก
 
ริชาร์ด แห่งมหาวิทยาลัย North Texas  กล่าวไว้ว่า “จริงๆแล้วแปะก๊วยมันมีอายุขัยเพิ่มตามกาลเวลา เพียงแต่มันไม่ตายง่ายๆ เพราะมีระบบภายในตัวมันเองที่ป้องกันตัวเองจากความชรา”
.“แปะก๊วย”  เป็นต้นไม้ระดับตำนานที่มีถิ่นฐานมาจากประเทศจีน   และถูกจัดให้เป็นพืชที่เสี่ยงสูญพันธุ์ในอเมริกาและจีน

ในช่วงอายุขัยของแปะก๊วยตั้งแต่ 15 ปีแรก ไปจนถึง 667 ปีนั้น พืชชนิดนี้จะผลิตสารต้านอนุมูลอิสระ,ฮอร์โมนป้องกันความแห้งแล้ง และต้านจุรินทรีย์ ถ้าหากเราวิจัยจากเซลล์,ใบไม้ และเมล็ดของมัน
แต่ในความเป็นจริงหากเวลาผ่านไปเป็นร้อยเป็นพันปี ใช่ว่ามันจะยังคงสภาพเดิม เพราะเวลายิ่งผ่านไป สิ่งแวดล้อม,สภาพอากาศก็เปลี่ยนแปลง มันก็จะดูโทรมไปตามกาลเวลาตามสภาพอากาศ แต่เชื่อหรือไม่ว่ามันยังสามารถเติบโตได้อย่างหน้าอัศจรรย์
ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.bbc.com/news/science-environment-51063469
Cr.http://johjaionline.com/on-looker/ginkgo-trees-are-thousands-of-years-old/ โดย ON LOOKER 

บัวพืชมหัศจรรย์ ราชินีแห่งไม้น้ำ


บัวเป็นพืชชนิดหนึ่งที่อยู่คู่คนไทยมาช้านาน บัวไม่ได้เป็นเพียงพืชธรรมดาที่ให้ประโยชน์ได้เฉพาะการนำไปใช้ไหว้พระ นำไปรับประทาน หรือนำไปปลูกไว้เพื่อประดับให้สวยงามเท่านั้น บัวยังสามารถใช้เป็นพืชสมุนไพรได้ นอกจากนี้บัวยังมีคุณลักษณะเด่นอื่นๆ และให้อรรถประโยชน์ได้อีกหลายด้าน

พืชบัวถูกค้นพบว่ามีมานานแล้วหว่า 3000-4000 ปี จากภาพเขียนสี และซากสถาปัตยกรรมโบราณของชาวอียิปต์บัวได้ถูกใช้พิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์มากมาย ในทุกศาสนาและทุกลัทธิต่างมีการกล่าวถึงเทพเจ้าหลายองค์กับบัว ดอกบัวจะถูกใช้ในพิธีกรรมและพิธีมงคลต่างๆ 

โดยเฉพาะศาสนาพุทธ จะมีที่กล่าวถึงบัวไว้ทั้งในพุทธประวัติ พุทธสุภาษิต และบทสวดมนต์ บัวยังมีความเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต วัฒนธรรม และประเพณีของหลายชาติ โดยเฉพาะชาติไทย ได้แก่ การนำไปใช้ตั้งชื่อหรือเรียกคนสถานที่ สิ่งของ อาทิ จังหวัดปทุมธานี อุบลราชธานี “กระทรวงบัวแก้ว” ซึ่งหมายถึงกระทรวงการต่างประเทศ และประเพณีโยนบัวรับบัว เป็นต้น ความสวยงามของบัวที่เป็นสากลยังได้ถูกถ่ายทอดไปสู่วรรณกรรมและศิลปกรรมในรูปแบบต่างๆมากมายเช่น คำกลอน สุภาษิต ระบำดอกบัว ลวดลายบนหัวเสา

นักพฤษศาสตร์ได้จัดสกุล (genus) ของไม้น้ำที่คนไทยเรียกว่า “บัว” หรืออุบลชาติ ไว้ในวงศ์Nymphaeaceae เพราะลักษณะของใบและดอกที่ชูช่ออยู่เหนือน้ำ และ ความงามของดอกบัวที่เบ่งบานประดุจความงามของหญิงสาวหรือเจ้าสาว คำว่า“Nymph” มาจากรากศัพท์ภาษาอังกฤษแปลว่า “สาวน้อย” (A BEAUTIFUL YOUNG WOMAN) หรือ “แม่เทพธิดาที่อยู่ในน้ำ”และจากลักษณะเด่นอื่นๆ นอกเหนือจากความงามของบัว อาทิ บัวมีหลากสีหลายพันธุ์ ดอกมีสารพัดสี บางพันธุ์มีดอกสีน้ำเงิน

ดอกบัวยังไม่เหมือนพืชชนิดอื่นอีกที่เมื่อดอกบานแล้วก็บานเลย แต่ดอกบัวจะบานแล้วก็หุบเมื่อหุบแล้วก็บานได้ใหม่อีก ดอกบัวบางพันธุ์ยังมีกลิ่นหอม นอกจากนี้บัวยังเป็นพืชที่ปลูกได้ง่ายและดูแลง่าย สามารถขึ้นเองได้ตามธรรมชาติ สมญาของบัวที่ได้รับว่าเป็น “ราชินีแห่งไม้น้ำ” ทั้งมวล 
Cr.https://moonkerd.wordpress.com/บัวพืชมหัศจรรย์/ โดย monmada   พิพิธภัณฑ์บัว มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
Cr.https://www.facebook.com/arisaHerb/posts/539413882803204:0 / เพจสมุนไพร Arisa
ขอบคุณภาพจาก http://www.lotus.rmutt.ac.th/?p=5965

Yareta พืชมหัศจรรย์แห่งเทือกเขาแอนดีส



เทือกเขาแอนดีส (Andes Mountain Range) คือ "เทือกเขาที่ยาวที่สุดในโลก" โดยยอดเขาที่สูงที่สุด คือ ยอดเขาอากอนกากวา หรือ อะ คองกากัว (Aconcagua) ยอดเขาที่มีความสูง ประมาณ 6,959 เมตร และเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในทวีปอเมริกาอีกด้วย

 Yareta หรือ Llareta คืออีกหนึ่งตัวอย่างความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติในเขตเทือกเขาแอนดีส เพราะหากมองผิวเผินแล้วหลายคนๆอาจมอง ว่าเป็น
มอสหรือตะไคร่น้ำเขียวชะอุ่มที่เกาะอยู่ตามโขดหิน ทว่าในความเป็นจริงแล้วมันคือกลุ่มพืชในตระกูลไม้ดอกขนาดเล็กที่ชอบขึ้นบนก้อนหินในเขต ทะเลทรายอาตากามา (Atacama Desert) ทะเลทรายที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเปรูไปถึงตอนเหนือของประเทศชิลี และยังขึ้นชื่อว่าเป็นทะเลทรายแห้งแล้งที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอีกด้วย

 Yareta หรือ Llareta เป็นพืชมหัศจรรย์ที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี ความพิเศษของพืชชนิดนี้ก็คือมันจะขึ้นเฉพาะในทะเลทรายเท่านั้น และที่สำคัญคือจะสามารถพบเห็นพืชชนิดนี้ได้ที่ระดับความสูงตั้งแต่ 3,200 - 4,500 เมตร ในบริเวณที่มีลมโกรกหรือกรรโชกตลอดเวลา ปัจจุบันพืชดังกล่าวยังถูกจัดให้เป็นพืชสงวนใกล้สูญพันธุ์ พวกมันจะมีดอกเล็กๆ และถูกผสมเกสรโดยแมลง สำหรับการเจริญเติบโตนั้นแต่ละปีจะสูงเพียง 1.5 เซนติเมตร 
Cr.https://www.flagfrog.com/yareta/ โดย ManoshFiz
Cr.https://travel.thaiza.com/amaze/291614/

ขอขอบคุณที่มาข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่