คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 54
เห็นมีคนมาตอบกระทู้เราเพิ่มเยอะเลย ตกใจเหมือนกันเพราะเราตั้งกระทู้นี้มานาน 6 เดือนแล้วค่ะ ไม่มีคนมาตอบนานแล้ว เพิ่งเห็นว่ามันไปเป็นกระทู้แนะนำใน facebook ตอนนี้ลูกเราไปทำงานแล้วค่ะเป็นสถาปนิกมนุษย์เงินเดือนนี่แหละ สรุปเค้าพักอยู่บ้านไป 1 ปีกับอีกเดือนกว่าค่ะ พัก 1 ปี หางานอีกเกือบเดือน และเพิ่งเริ่มงานเดือนนี้เอง ตอนแรกเจอโควิดกลัวว่าจะหางานยากต้องอยู่บ้านเพิ่มแล้วเหมือนกัน แต่เค้าหาของเค้าได้ก็โอเคค่ะ
ลูกเราเล่าให้ฟังตอนสัมภาษณ์ทั้ง 2 บริษัทเค้าก็ถามนะคะว่าทำไมเพิ่งมาทำงาน ลูกเราก็บอกไปตามจริงว่าหยุดอยู่บ้านมา คนสัมภาษณ์ก็ไม่ได้ถามอะอะไรต่อนะคะ ลูกเราบอกว่าเค้าเน้นถามถึงแต่งานใน portfolio แต่ลูกเราก็สัมภาษณ์ผ่านได้งานทั้ง 2 ที่นะคะ
ลูกเราเล่าให้ฟังตอนสัมภาษณ์ทั้ง 2 บริษัทเค้าก็ถามนะคะว่าทำไมเพิ่งมาทำงาน ลูกเราก็บอกไปตามจริงว่าหยุดอยู่บ้านมา คนสัมภาษณ์ก็ไม่ได้ถามอะอะไรต่อนะคะ ลูกเราบอกว่าเค้าเน้นถามถึงแต่งานใน portfolio แต่ลูกเราก็สัมภาษณ์ผ่านได้งานทั้ง 2 ที่นะคะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 14
อ่านเรื่องลูกสาวคุณเหมือนอ่านชีวิตตัวเองเลยครับ ผมเองก็เรียนจบจากคณะสถาปัตย์เหมือนกันครับ เรียนจบก็ขอที่บ้านพัก 1 ปีเหมือนกัน ระหว่างพักก็ไปเรียนและหัดโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพให้ชำนาญเหมือนลูกคุณครับ เวลาทำพอร์ทจะได้มีงานสวยๆ เพิ่มครับ นอกจากหัดโปรแกรมพวกนั้นแล้วผมก็นั่งเล่นเกมส์อยู่บ้านครับ
ปัจจุบันผมทำงานมาซักพักพักแล้วเป็นสถาปนิกมีความสุขกับชีวิตดี ย้อนกลับไปผมว่าผมคิดไม่ผิดนะที่วันนั้นขอที่บ้านพัก 1ปี เพราะวันนั้นผมรู้สึกยังไม่พร้อมที่จะทำงานจริงๆมันหมดไฟไปเลยหลังส่ง thesis ไม่ใช่ไม่รักงานสถาปัตยกรรมแล้วนะครับ แต่ขอเวลาหยุดพักเติมไฟให้กับตัวเองซักนิดนึงก่อนค่อยกลับไปทำมันใหม่ เพราะถ้าวันนั้นผมไปทำงานเลยหลังเรียนจบผมว่าจะมีสภาพเป็นคนทำงานที่ไม่มีความสุขครับพาลจะไม่ชอบอาชีพสถาปนิกไปเลยด้วย และถ้าเป็นเป็นแบบนั้นผมว่าผมคงพลาดสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตผมไปอย่างนึงเลย บางทีการหยุดเดินเพื่อจะก้าวต่อไปอย่างมั่นคงไม่ใช่เรื่องผิดอะไรครับถ้าครอบครัวพอมีกำลังที่จะซัพพอร์ท ผมขอยืมคำพูดของอาจารย์ที่ปรึกษา thesis ผมมาบอกนะครับ แกบอกผมตอนผมไปปรึกษาแกเรื่องที่ผมหมดไฟทุกอย่างหลังส่ง thesis ครับว่า "ถ้าวิ่งมาเหนื่อยแล้วจนรู้สึกวิ่งต่อจะไม่ไหว แล้วฝืนที่จะวิ่งต่อไปจนแข้งขาอ่อน หกล้มเป็นแผล ถ้าเป็นแบบนั้นเราอาจจะวิ่งไปถึงเส้นชัยไม่ได้เลยและอาจจะเกลียดการวิ่งไปเลยด้วย สู้หยุดพักกินน้ำก่อนแล้วค่อยวิ่งต่อไปดีกว่าอย่างน้อยก็วิ่งไปถึงเส้นชัยแน่นอน อย่าให้การตัดสินใจที่เร่งรีบเพียงไม่กี่ครั้งมาทำลายสิ่งที่เราสร้างมาก่อนหน้านี้ทั้งหมด" และอีกอย่างไม่ต้องไปสนใจคนอื่นครับว่าคนอื่นจบแล้วทำไมทำงานเลย ทำไมคนอื่นไม่ต้องพัก ผมอยากจะบอกว่าแต่ละคนมีลักษณะนิสัย ความเข้มแข็ง อะไรต่างๆไม่เหมือนกันครับ และไม่จำเป็นต้องมีเหมือนกันด้วย ฉะนั้นโฟกัสที่ลูกตัวเองพอครับคุณแม่
จากที่อ่านผมมองว่าที่เจ้าของกระทู้ให้ลูกพักได้เพราะคงมองแล้วใช่รึเปล่าครับว่าที่ผ่านมาลูกคุณเป็นเด็กดีมาตลอดน่าจะมีความรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือไว้ใจเค้าครับว่าเค้าจะไม่ทำให้ช่วงเวลานี้สูญไปโดยเปล่าประโยชน์ เค้าจะใช้มันอย่างคุ้มค่าที่สุดกับตัวเค้า และถ้าวันนึงเค้ามาบ่นว่าเค้าคิดผิดไม่น่าเสียเวลา gap year เลยก็ตอบเค้าไปเลยว่านี่เป็นผลจากการตัดสินใจของลูก ลูกต้องรับผิดชอบมันเอง ลูกเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ถ้าครบกำหนด gap year แล้วเขายังผลัดวันประกันพรุ่งโดยไม่มีเหตุผลที่ดีพออีก คุณก็ต้องเข้มงวดกับเขานะครับ เพราะการรักษาสัญญาก็เป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่ดีของคนที่จะก้าวไปเป็นผู้ใหญ่
ปล. บาง comment ก็นะพูดซะเหมือนกับว่าน้องเค้าจะเกาะพ่อแม่กินไปตลอดชีวิตเลย น้องเค้าแค่ขอพักปีเดียว แล้วนี่ยังไม่ครบปีเลย รอครบปีก่อนมั่ยถ้าน้องมันไม่ยอมทำอะไรค่อยว่า ก่อน comment อะไรช่วยอ่านหน่อย
ปัจจุบันผมทำงานมาซักพักพักแล้วเป็นสถาปนิกมีความสุขกับชีวิตดี ย้อนกลับไปผมว่าผมคิดไม่ผิดนะที่วันนั้นขอที่บ้านพัก 1ปี เพราะวันนั้นผมรู้สึกยังไม่พร้อมที่จะทำงานจริงๆมันหมดไฟไปเลยหลังส่ง thesis ไม่ใช่ไม่รักงานสถาปัตยกรรมแล้วนะครับ แต่ขอเวลาหยุดพักเติมไฟให้กับตัวเองซักนิดนึงก่อนค่อยกลับไปทำมันใหม่ เพราะถ้าวันนั้นผมไปทำงานเลยหลังเรียนจบผมว่าจะมีสภาพเป็นคนทำงานที่ไม่มีความสุขครับพาลจะไม่ชอบอาชีพสถาปนิกไปเลยด้วย และถ้าเป็นเป็นแบบนั้นผมว่าผมคงพลาดสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตผมไปอย่างนึงเลย บางทีการหยุดเดินเพื่อจะก้าวต่อไปอย่างมั่นคงไม่ใช่เรื่องผิดอะไรครับถ้าครอบครัวพอมีกำลังที่จะซัพพอร์ท ผมขอยืมคำพูดของอาจารย์ที่ปรึกษา thesis ผมมาบอกนะครับ แกบอกผมตอนผมไปปรึกษาแกเรื่องที่ผมหมดไฟทุกอย่างหลังส่ง thesis ครับว่า "ถ้าวิ่งมาเหนื่อยแล้วจนรู้สึกวิ่งต่อจะไม่ไหว แล้วฝืนที่จะวิ่งต่อไปจนแข้งขาอ่อน หกล้มเป็นแผล ถ้าเป็นแบบนั้นเราอาจจะวิ่งไปถึงเส้นชัยไม่ได้เลยและอาจจะเกลียดการวิ่งไปเลยด้วย สู้หยุดพักกินน้ำก่อนแล้วค่อยวิ่งต่อไปดีกว่าอย่างน้อยก็วิ่งไปถึงเส้นชัยแน่นอน อย่าให้การตัดสินใจที่เร่งรีบเพียงไม่กี่ครั้งมาทำลายสิ่งที่เราสร้างมาก่อนหน้านี้ทั้งหมด" และอีกอย่างไม่ต้องไปสนใจคนอื่นครับว่าคนอื่นจบแล้วทำไมทำงานเลย ทำไมคนอื่นไม่ต้องพัก ผมอยากจะบอกว่าแต่ละคนมีลักษณะนิสัย ความเข้มแข็ง อะไรต่างๆไม่เหมือนกันครับ และไม่จำเป็นต้องมีเหมือนกันด้วย ฉะนั้นโฟกัสที่ลูกตัวเองพอครับคุณแม่
จากที่อ่านผมมองว่าที่เจ้าของกระทู้ให้ลูกพักได้เพราะคงมองแล้วใช่รึเปล่าครับว่าที่ผ่านมาลูกคุณเป็นเด็กดีมาตลอดน่าจะมีความรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือไว้ใจเค้าครับว่าเค้าจะไม่ทำให้ช่วงเวลานี้สูญไปโดยเปล่าประโยชน์ เค้าจะใช้มันอย่างคุ้มค่าที่สุดกับตัวเค้า และถ้าวันนึงเค้ามาบ่นว่าเค้าคิดผิดไม่น่าเสียเวลา gap year เลยก็ตอบเค้าไปเลยว่านี่เป็นผลจากการตัดสินใจของลูก ลูกต้องรับผิดชอบมันเอง ลูกเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ถ้าครบกำหนด gap year แล้วเขายังผลัดวันประกันพรุ่งโดยไม่มีเหตุผลที่ดีพออีก คุณก็ต้องเข้มงวดกับเขานะครับ เพราะการรักษาสัญญาก็เป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่ดีของคนที่จะก้าวไปเป็นผู้ใหญ่
ปล. บาง comment ก็นะพูดซะเหมือนกับว่าน้องเค้าจะเกาะพ่อแม่กินไปตลอดชีวิตเลย น้องเค้าแค่ขอพักปีเดียว แล้วนี่ยังไม่ครบปีเลย รอครบปีก่อนมั่ยถ้าน้องมันไม่ยอมทำอะไรค่อยว่า ก่อน comment อะไรช่วยอ่านหน่อย
ความคิดเห็นที่ 13
ขอตอบตามนี้นะคะ
1. ลูกเรียนจบแล้วทำไมยังไม่ให้ลูกไปทำงาน ทำอย่างงี้จะทำให้ลูกเสียนิสัยว่าไม่ต้องทำงานพ่อแม่ก็เลี้ยง
- คุณแม่ตกลงกับน้องเรื่องค่าใช้จ่ายแถมมีกำหนดกรอบระยะเวลาชัดเจนแล้ว ตัดสินใจให้เค้าทำตามนั้นแล้ว อย่าลังเลค่ะ ถ้าเค้าไม่เป็นไปตามที่ตกลง คุณแม่ค่อยกังวลและจัดการตามขั้นตอนค่ะ
2. เราใจดีกับลูกมากเกินไปมีที่ไหนไม่ทำงานตั้ง 1 ปี ลูกเห็นเราใจดีเดี๋ยวก็มาขอพักเพิ่มเป็น 2 ปี 3 ปี
- ตามข้อ 1
3. กว่าลูกเราจะเริ่มทำงานเพื่อนรุ่นเดียวกับลูกเราเขาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ลูกเราเริ่มต้นช้าเสียเปรียบหลายอย่างบลาๆๆ
- ไม่ต้องกังวลว่าใครจะไปถึงไหนหรือยังไงค่ะ วัดผลแค่ตัวน้องคนเดียวก็พอ ไม่จำเป็นต้องเทียบกับใครเลย อีกอย่างคือการทำงานเพียงแค่ปีเดียวไม่มีผลขนาดนั้นหรอกค่ะ ถ้าคุณแม่มีกำลังพอจะซัพพอร์ตลูกได้ เราคนนึงที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางรีบเรียนจบรีบทำงาน จนไม่มีเวลาค้นหาตัวเองหรือใช้ชีวิตด้านอื่นๆ ยิ่งเรียนพรีดีกรีหรือสอบเทียบข้ามชั้นเรายิ่งไม่เห็นด้วย ทำตามสเต็ปไปเรื่อยๆไม่ต้องเร่งรีบ เพราะแต่ละช่วงชีวิตมันมีความสวยงามให้ค้นหานะคะ เค้าเกิดมาไม่ได้ลำบากก็อย่าผลักดันให้เค้าเครียดจนเกินไป เราว่าเลี้ยงลูกให้สบายใจและสุขภาพจิตดีจะดีกว่าฟังใครมาแล้วกดดันลูก
เราเข้าใจคุณแม่ว่ากลัวคนอื่นจะมองว่าลูกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ดูไม่ดีในสายตาคนอื่น ต้องหนักแน่นเข้าไว้ค่ะ เมื่อตัดสินใจอนุญาตแล้วก็อย่าฟังเสียงใคร เวลาของบางคนไม่เท่ากันแล้วแต่ว่าใครสะดวกแบบไหนมากกว่า บ้านแต่ละบ้านมีวัฒนธรรมไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะชอบตัดสินคนอื่นด้วยทัศนคติมุมมองของเค้า ถ้ามัน toxic มากแนะนำให้หลีกเลี่ยงเพื่อสุขภาพจิตใจของคุณแม่เองค่ะ
1. ลูกเรียนจบแล้วทำไมยังไม่ให้ลูกไปทำงาน ทำอย่างงี้จะทำให้ลูกเสียนิสัยว่าไม่ต้องทำงานพ่อแม่ก็เลี้ยง
- คุณแม่ตกลงกับน้องเรื่องค่าใช้จ่ายแถมมีกำหนดกรอบระยะเวลาชัดเจนแล้ว ตัดสินใจให้เค้าทำตามนั้นแล้ว อย่าลังเลค่ะ ถ้าเค้าไม่เป็นไปตามที่ตกลง คุณแม่ค่อยกังวลและจัดการตามขั้นตอนค่ะ
2. เราใจดีกับลูกมากเกินไปมีที่ไหนไม่ทำงานตั้ง 1 ปี ลูกเห็นเราใจดีเดี๋ยวก็มาขอพักเพิ่มเป็น 2 ปี 3 ปี
- ตามข้อ 1
3. กว่าลูกเราจะเริ่มทำงานเพื่อนรุ่นเดียวกับลูกเราเขาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ลูกเราเริ่มต้นช้าเสียเปรียบหลายอย่างบลาๆๆ
- ไม่ต้องกังวลว่าใครจะไปถึงไหนหรือยังไงค่ะ วัดผลแค่ตัวน้องคนเดียวก็พอ ไม่จำเป็นต้องเทียบกับใครเลย อีกอย่างคือการทำงานเพียงแค่ปีเดียวไม่มีผลขนาดนั้นหรอกค่ะ ถ้าคุณแม่มีกำลังพอจะซัพพอร์ตลูกได้ เราคนนึงที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางรีบเรียนจบรีบทำงาน จนไม่มีเวลาค้นหาตัวเองหรือใช้ชีวิตด้านอื่นๆ ยิ่งเรียนพรีดีกรีหรือสอบเทียบข้ามชั้นเรายิ่งไม่เห็นด้วย ทำตามสเต็ปไปเรื่อยๆไม่ต้องเร่งรีบ เพราะแต่ละช่วงชีวิตมันมีความสวยงามให้ค้นหานะคะ เค้าเกิดมาไม่ได้ลำบากก็อย่าผลักดันให้เค้าเครียดจนเกินไป เราว่าเลี้ยงลูกให้สบายใจและสุขภาพจิตดีจะดีกว่าฟังใครมาแล้วกดดันลูก
เราเข้าใจคุณแม่ว่ากลัวคนอื่นจะมองว่าลูกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ดูไม่ดีในสายตาคนอื่น ต้องหนักแน่นเข้าไว้ค่ะ เมื่อตัดสินใจอนุญาตแล้วก็อย่าฟังเสียงใคร เวลาของบางคนไม่เท่ากันแล้วแต่ว่าใครสะดวกแบบไหนมากกว่า บ้านแต่ละบ้านมีวัฒนธรรมไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะชอบตัดสินคนอื่นด้วยทัศนคติมุมมองของเค้า ถ้ามัน toxic มากแนะนำให้หลีกเลี่ยงเพื่อสุขภาพจิตใจของคุณแม่เองค่ะ
แสดงความคิดเห็น
เราคิดถูกรึเปล่าที่อนุญาตให้ลูกใช้ gap year หลังเรียนจบ
แต่คนรอบตัวเราหลายคนแล้วที่เห็นลูกเรายังไม่ทำงาน จะชอบมาทักเราค่ะประมาณว่า
1. ลูกเรียนจบแล้วทำไมยังไม่ให้ลูกไปทำงาน ทำอย่างงี้จะทำให้ลูกเสียนิสัยว่าไม่ต้องทำงานพ่อแม่ก็เลี้ยง
2. เราใจดีกับลูกมากเกินไปมีที่ไหนไม่ทำงานตั้ง 1 ปี ลูกเห็นเราใจดีเดี๋ยวก็มาขอพักเพิ่มเป็น 2 ปี 3 ปี
3. กว่าลูกเราจะเริ่มทำงานเพื่อนรุ่นเดียวกับลูกเราเขาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ลูกเราเริ่มต้นช้าเสียเปรียบหลายอย่างบลาๆๆ
เราเลยสับสนค่ะว่าที่เราอนุญาตให้เขาได้พักได้เนี่ยเราคิดถูกหรือคิดผิดคะ เพื่อนๆมีความคิดยังไงกับเรื่องนี้