จาก “รอยฟกช้ำ” เพราะกระแทกถังไอศกรีม นำมาสู่ “การสูญเสีย” ด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย สังคมตั้งคำถาม “โรคประหลาด” เคสนักแสดงหนุ่ม ขากระแทกทำให้มะเร็งแพร่กระจายได้จริงหรือ!? และนี่คือคำตอบของผู้เชี่ยวชาญด้าน “มะเร็งวิทยา”
เพราะแรง “กระแทก” ทำมะเร็งแพร่กระจาย!?
“ขาบวม เยื้อหุ้มกล้ามเนื้ออักเสบ ถังไอติมกระแทกขาแล้วคิดว่ามันจะหายเอง สุดท้ายไม่ไปหาหมอช้ำหนักมาก ถึงกับต้องพักงาน เก็บเงินไว้นะครับ โชคดีที่ผมเป็นคนทำงานหนัก ยังพอมีกินใช้จ่ายเวลาช่วงที่พักงาน มันทำให้รู้ว่า ไม่มีอะไรแน่นอนนะ ดูแลสุขภาพกันด้วย อย่าประมาท”
ข้อความสุดสะเทือนใจที่ถูกเขียนไว้ก่อนการเสียชีวิตของ “กอล์ฟ - ธนภัทร พริ้งตระกูล” นักแสดงนำ วัย 24 ปี จากภาพยนตร์เรื่อง “Timeline เพราะรักไม่สิ้นสุด”
กลายเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงและสร้างความเศร้าใจ สำหรับการจากไปด้วยโรคมะเร็งผิวหนังระยะสุดท้าย เหตุเกิดจากขากระแทกถังไอศกรีมจนนำมาสู่การตรวจพบโรคมะเร็ง ย้อนกลับไปเมื่อเดือนตุลาคม ปี 62 กอล์ฟถูกถังไอศกรีมกระแทกขาจนเป็นรอยช้ำซึ่งในระยะแรกยังคิดว่าไม่เป็นอะไรมาก กระทั่งเวลาผ่านไปขาที่ถูกกระแทกเกิดอาการบวมเริ่มมีรอยดำคล้ายเลือดออกใต้ผิวหนังส่งผลต่อการเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างลำบาก
จนเข้าสู่เดือนพฤศจิกายน กอล์ฟมีอาการแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด ขาบวมอย่างหนักจึงตัดสินใจเข้ารักษาที่โรงพยาบาล หมอแจ้งว่ากล้ามเนื้ออักเสบหลังจากนั้นมีนัดตรวจที่โรงพยาบาลอีกหลายครั้งแต่เมื่อหมอได้ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจก็พบว่าเขาป่วยเป็นมะเร็งผิวหนังในระยะสุดท้ายและเสียชีวิตลงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
การสูญเสียในครั้งนี้สร้างความโศกเศร้ารวมถึงนำมาสู่การตั้งคำถามที่ว่าเพียงเพราะถังไอศกรีมกระแทกขาจะทำให้ทำให้มะเร็งลุกลามได้จริงหรือไม่ อีกทั้งยังเป็นเคสที่พบเจอได้ไม่บ่อยนัก
ทีมข่าว MGR Live ได้ตรวจสอบข้อมูลพบว่ากรณีลักษณะนี้เกิดขึ้นมาก่อนแล้วเช่นในกรณีของเด็กชายวัย 10 เดือนที่หัวกระแทกกระจก จากนั้นคุณแม่ได้สังเกตอาการลูกชายพบว่ามีอาการซึม ไม่ร่าเริง อีกทั้งยังอาเจียนออกมาด้วย ตนจึงตัดสินใจพาไปพบแพทย์ เมื่อทำ CT Scan จึงพบว่ามีเนื้องอกในสมอง ซึ่งผลการตรวจชิ้นเนื้อพบว่าคือมะเร็งหรืออีกกรณีหนึ่ง คือ เด็กชายวัย 4 ขวบ เกิดอุบัติเหตุขี่จักรยานล้มทำให้ไหล่บวม ตาของน้องเลยพาไปหาหมอพื้นบ้าน จากนั้นก็ไปโรงเรียนได้ตามปกติแต่มีช่วงหลังที่ขาดเรียนไปเพราะอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งกระดูกไหล่
จากตรงนี้ทำให้สังคมต่างพากันให้ความสนใจพร้อมทั้งแสดงความเห็นถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่า ถือว่าอุทาหรณ์เตือนใจเรื่องความไม่ประมาทเพราะจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นแสนธรรมดาอาจกลายเป็นเรื่องไม่คาดฝันได้หากไม่ได้พบแพทย์อย่างทันท่วงที
เพื่อยืนยันคำตอบของเรื่องนี้ “ศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร” หัวหน้าศูนย์วิจัยเป็นเลิศด้านการแพทย์แม่นยำ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เปิดใจกับทีมข่าว MGR Live ถึงประเด็นที่เกิดขึ้นว่าไม่มีความเชื่อมโยงหรือเป็นต้นตอที่ทำให้เกิดมะเร็ง เพียงแต่เป็นจุดเริ่มต้นของการสังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากนั้นมากกว่า
“ในวงการแพทย์ไม่มีทฤษฎีไหนรองรับตรงนี้เลย ไม่มีใครที่มีหลักฐานมายืนยันได้ว่าการกระทบกระแทกก่อให้เกิดมะเร็งได้แต่การกระทบกระแทกเป็นแค่จุดในการสังเกต ซึ่งทำให้นำมาสู่การวินิจฉัยในโรคที่หลบอยู่ หรือโรคที่ไม่มีอาการมากกว่า”
“โดยรวมมีอยู่ 2 ประเด็น อย่างแรกการกระทบกระแทกบาดเจ็บเช่น กรณีนี้ข่าวบอกว่ากระแทกถังไอศกรีม การบาดเจ็บไม่ก่อให้เกิดมะเร็งเช่นกระแทกทันที ขามีรอยบวม รอยช้ำ หลังจากนั้นก่อให้เกิดมะเร็ง ตรงนี้ไม่ทำให้เกิด ยิ่งถ้าบอกว่าหลังจากกระแทกไปไม่นานก็รุนแรงเลย ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นมะเร็ง
เพราะมะเร็งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงในเซลล์ใช้เวลาสะสมนานครับ กว่าจะเป็น น่าจะเป็นความบังเอิญในช่วงจังหวะเวลาเดียวกันมากกว่า ที่ว่าโรคมีอยู่เดิม แต่ว่าไม่มีอะไรก็ไม่ได้ใส่ใจหรือไม่ได้คิดถึง แต่พอมีกระทบกระแทกเกิดขึ้นไปตรวจก็เห็นว่าบริเวณใกล้เคียงเกิดมีปัญหาขึ้นมาด้วย
อย่างที่สอง ทำไมพอรู้ไม่นาน สุดท้ายกระจายเร็ว ถ้าเป็นมะเร็งผิวหนังส่วนใหญ่ อาการจะไม่รุนแรง จะไปช้าๆ บางคนเป็นแผลนานถึง7-8 ปีเลย โดยที่ไม่มีอะไร
แต่มะเร็งผิวหนังชนิดที่มีความรุนแรงสูงและกระจายเร็ว นั่นคือมะเร็งผิวหนังที่เกิดจากเม็ดสี ซึ่งในคนไทยพบไม่บ่อย จะพบบ่อยในคนต่างชาติที่มีผิวขาวซึ่งชอบอาบแดด
ฉะนั้นโอกาสมะเร็งเม็ดสีจะมากกว่าและมะเร็งชนิดนี้เป็นแล้วรุนแรงมาก กระจายเร็วโตเร็วในกรณีของกอล์ฟอาจจะไม่รู้ตอนนั้น ผมเชื่อว่าถ้าเป็นมะเร็ง เร็ว-ช้าก็ต้องรู้อยู่ดี อาการจะมาแต่เขาคงไม่ได้เอาไปเชื่อมเหตุและผลกับการกระแทกหรอก ถ้าไม่ได้กระแทกแล้วอยู่ๆ ขาโตขึ้นมาเฉยๆ ก็รู้อยู่ดี แล้วไปตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง”
เชื้อมะเร็งมีอยู่แล้ว แค่ยังไม่โผล่!
ส่วนคำถามที่หลายคนสงสัยว่าการที่ร่างกายได้รับการกระแทกจนบาดเจ็บ ในกรณีที่ผู้ได้รับบาดเจ็บมีเชื้อมะเร็งอยู่ก่อนแล้วจะมีส่วนในการกระตุ้นให้มะเร็งลุกลามหรือไม่ นพ.มานพ อธิบายว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกัน เนื่องจากการกระจายของมะเร็งเกิดขึ้นในระดับเล็กๆ เช่นการหลุดรอดเข้าสู่หลอดเลือด
“ไม่จำเป็นเลย ถ้ามะเร็งต้นกำเนิดอยู่ที่ขาก็จะขึ้นที่ขาอยู่ดีครับ คือเซลล์มะเร็งน่าจะเกิดที่ขาอยู่แล้วแต่อาจโตน้อยๆ นิดๆ ไม่ได้มีอาการมากหรือเคสคนไข้ที่มาหาเพราะไปกระแทกจนกระดูกหักแต่มาตรวจเจอว่าเป็นมะเร็งกระดูกซึ่งจริงๆ ไม่มีความเชื่อมโยงกันเลย
คงเป็นมะเร็งกระดูกตรงต้นแขนอยู่แล้วแต่พอมีอะไรกระทบกระแทกเนื่องจากตรงนั้นมีเนื้องอกอยู่ก็จะเปราะอยู่แล้ว บางคนกระดูกหักเลยก็มี มาครั้งแรกด้วยกระดูกหัก หักชนิดที่กระแทกนิดเดียวแต่ทำไมถึงหัก เป็นเพราะตรงนั้นมีโรคของมันอยู่แล้วแต่ไม่รู้มาก่อนเท่านั้นเอง
ตรงนี้ผมคิดว่าเป็นความบังเอิญมากกว่า การที่มะเร็งจะกระจาย ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากการกระทบกระแทก เซลล์มะเร็งกระจายไปในระดับเล็กๆ อยู่แล้วเช่นเซลล์มะเร็งจะมีเลือด มีเส้นเลือด มีน้ำเหลืองมาเลี้ยงอยู่
ฉะนั้นเวลาที่เซลล์มะเร็งแพร่กระจายก็มักจะเป็น 1-2 เซลล์มะเร็งในก้อนมะเร็งก้อนนั้นข้างในหลุดออกไปและเดินทางตามหลอดเลือดเล็กๆ หลอดเลือดฝอย จากนั้นก็ไปเกาะที่อื่นเช่นว่าทำไมมะเร็งกระจายไปต่อมน้ำเหลืองได้ก็เกิดจากแบบนี้”
อย่างไรก็ดีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งวิทยายังฝากทิ้งท้ายถึงวิธีป้องกันในเบื้องต้นด้วยว่าควรเริ่มจากการสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นในร่างกาย ซึ่งมะเร็งหลายชนิดมีข้อบ่งชี้ที่สามารถทราบได้ในตอนต้นเช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านมและมะเร็งสำไส้
“ระยะเริ่มต้น มะเร็งหลายตัวอาจจะมีวิธีการรู้ก่อนหรือคัดกรองก่อนได้เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ได้เพราะพวกนี้มีระยะเวลาในการฟักตัวนาน กว่าจะขึ้นมาเป็นติ่งเนื้อเล็กๆ กว่าจะขึ้นมาเป็นก้อนใหญ่ กว่าจะมาเป็นมะเร็งใช้เวลาเป็นปี
พวกนี้เรามีเวลาในการคัดกรอง บางคนไปตรวจภายใน บางคนทำเมมโมแกรม แต่มะเร็งบางตัวระยะฟักตัวสั้นมากหรืออาการเริ่มต้นไม่จำเพาะเช่นมะเร็งเม็ดสี melanoma จะรู้จักกันดีในวงการหมอมะเร็งเลย อาการเริ่มต้นไม่ชัดเจน ไม่มีมีความแตกต่างอะไรเลย ต้องสังเกตอย่างเดียว
ผมคิดว่ามะเร็งเป็นของซึ่งไม่มีใครอยากเป็น ส่วนใหญ่ของมะเร็งเกิดขึ้นเอง บางส่วนอาจมีปัจจัยอื่นๆ บ้างที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเช่น สูบบุหรี่ ดื่มสุรา มีประวัติในครอบครัวหรืออายุยิ่งมาก ความเสี่ยงก็จะยิ่งสูงขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้พูดให้กลัวว่าแต่ละคนมีความเสี่ยงและจะกลายเป็นมะเร็งนะครับ
สิ่งสำคัญคือมะเร็งไม่ว่าจะมะเร็งอะไรก็ตาม รู้ก่อน รู้เร็ว จะรักษาได้ผลดี ฉะนั้น คอยสังเกตอาการที่ผิดจากเดิมที่เคยเป็น พอมีอาการที่ดูแล้วไม่ตรงไปตรงมา แนะนำว่าให้ไปพบแพทย์ดีที่สุด”
ไขข้อสงสัยโรคประหลาด “ล้มกระแทก-แผลฟกช้ำ” ทำมะเร็งลุกลามถึงตาย!?
เพราะแรง “กระแทก” ทำมะเร็งแพร่กระจาย!?
“ขาบวม เยื้อหุ้มกล้ามเนื้ออักเสบ ถังไอติมกระแทกขาแล้วคิดว่ามันจะหายเอง สุดท้ายไม่ไปหาหมอช้ำหนักมาก ถึงกับต้องพักงาน เก็บเงินไว้นะครับ โชคดีที่ผมเป็นคนทำงานหนัก ยังพอมีกินใช้จ่ายเวลาช่วงที่พักงาน มันทำให้รู้ว่า ไม่มีอะไรแน่นอนนะ ดูแลสุขภาพกันด้วย อย่าประมาท”
ข้อความสุดสะเทือนใจที่ถูกเขียนไว้ก่อนการเสียชีวิตของ “กอล์ฟ - ธนภัทร พริ้งตระกูล” นักแสดงนำ วัย 24 ปี จากภาพยนตร์เรื่อง “Timeline เพราะรักไม่สิ้นสุด”
กลายเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงและสร้างความเศร้าใจ สำหรับการจากไปด้วยโรคมะเร็งผิวหนังระยะสุดท้าย เหตุเกิดจากขากระแทกถังไอศกรีมจนนำมาสู่การตรวจพบโรคมะเร็ง ย้อนกลับไปเมื่อเดือนตุลาคม ปี 62 กอล์ฟถูกถังไอศกรีมกระแทกขาจนเป็นรอยช้ำซึ่งในระยะแรกยังคิดว่าไม่เป็นอะไรมาก กระทั่งเวลาผ่านไปขาที่ถูกกระแทกเกิดอาการบวมเริ่มมีรอยดำคล้ายเลือดออกใต้ผิวหนังส่งผลต่อการเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างลำบาก
จนเข้าสู่เดือนพฤศจิกายน กอล์ฟมีอาการแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด ขาบวมอย่างหนักจึงตัดสินใจเข้ารักษาที่โรงพยาบาล หมอแจ้งว่ากล้ามเนื้ออักเสบหลังจากนั้นมีนัดตรวจที่โรงพยาบาลอีกหลายครั้งแต่เมื่อหมอได้ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจก็พบว่าเขาป่วยเป็นมะเร็งผิวหนังในระยะสุดท้ายและเสียชีวิตลงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
การสูญเสียในครั้งนี้สร้างความโศกเศร้ารวมถึงนำมาสู่การตั้งคำถามที่ว่าเพียงเพราะถังไอศกรีมกระแทกขาจะทำให้ทำให้มะเร็งลุกลามได้จริงหรือไม่ อีกทั้งยังเป็นเคสที่พบเจอได้ไม่บ่อยนัก
ทีมข่าว MGR Live ได้ตรวจสอบข้อมูลพบว่ากรณีลักษณะนี้เกิดขึ้นมาก่อนแล้วเช่นในกรณีของเด็กชายวัย 10 เดือนที่หัวกระแทกกระจก จากนั้นคุณแม่ได้สังเกตอาการลูกชายพบว่ามีอาการซึม ไม่ร่าเริง อีกทั้งยังอาเจียนออกมาด้วย ตนจึงตัดสินใจพาไปพบแพทย์ เมื่อทำ CT Scan จึงพบว่ามีเนื้องอกในสมอง ซึ่งผลการตรวจชิ้นเนื้อพบว่าคือมะเร็งหรืออีกกรณีหนึ่ง คือ เด็กชายวัย 4 ขวบ เกิดอุบัติเหตุขี่จักรยานล้มทำให้ไหล่บวม ตาของน้องเลยพาไปหาหมอพื้นบ้าน จากนั้นก็ไปโรงเรียนได้ตามปกติแต่มีช่วงหลังที่ขาดเรียนไปเพราะอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งกระดูกไหล่
จากตรงนี้ทำให้สังคมต่างพากันให้ความสนใจพร้อมทั้งแสดงความเห็นถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่า ถือว่าอุทาหรณ์เตือนใจเรื่องความไม่ประมาทเพราะจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นแสนธรรมดาอาจกลายเป็นเรื่องไม่คาดฝันได้หากไม่ได้พบแพทย์อย่างทันท่วงที
เพื่อยืนยันคำตอบของเรื่องนี้ “ศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร” หัวหน้าศูนย์วิจัยเป็นเลิศด้านการแพทย์แม่นยำ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เปิดใจกับทีมข่าว MGR Live ถึงประเด็นที่เกิดขึ้นว่าไม่มีความเชื่อมโยงหรือเป็นต้นตอที่ทำให้เกิดมะเร็ง เพียงแต่เป็นจุดเริ่มต้นของการสังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากนั้นมากกว่า
“ในวงการแพทย์ไม่มีทฤษฎีไหนรองรับตรงนี้เลย ไม่มีใครที่มีหลักฐานมายืนยันได้ว่าการกระทบกระแทกก่อให้เกิดมะเร็งได้แต่การกระทบกระแทกเป็นแค่จุดในการสังเกต ซึ่งทำให้นำมาสู่การวินิจฉัยในโรคที่หลบอยู่ หรือโรคที่ไม่มีอาการมากกว่า”
“โดยรวมมีอยู่ 2 ประเด็น อย่างแรกการกระทบกระแทกบาดเจ็บเช่น กรณีนี้ข่าวบอกว่ากระแทกถังไอศกรีม การบาดเจ็บไม่ก่อให้เกิดมะเร็งเช่นกระแทกทันที ขามีรอยบวม รอยช้ำ หลังจากนั้นก่อให้เกิดมะเร็ง ตรงนี้ไม่ทำให้เกิด ยิ่งถ้าบอกว่าหลังจากกระแทกไปไม่นานก็รุนแรงเลย ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นมะเร็ง
เพราะมะเร็งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงในเซลล์ใช้เวลาสะสมนานครับ กว่าจะเป็น น่าจะเป็นความบังเอิญในช่วงจังหวะเวลาเดียวกันมากกว่า ที่ว่าโรคมีอยู่เดิม แต่ว่าไม่มีอะไรก็ไม่ได้ใส่ใจหรือไม่ได้คิดถึง แต่พอมีกระทบกระแทกเกิดขึ้นไปตรวจก็เห็นว่าบริเวณใกล้เคียงเกิดมีปัญหาขึ้นมาด้วย
อย่างที่สอง ทำไมพอรู้ไม่นาน สุดท้ายกระจายเร็ว ถ้าเป็นมะเร็งผิวหนังส่วนใหญ่ อาการจะไม่รุนแรง จะไปช้าๆ บางคนเป็นแผลนานถึง7-8 ปีเลย โดยที่ไม่มีอะไร
แต่มะเร็งผิวหนังชนิดที่มีความรุนแรงสูงและกระจายเร็ว นั่นคือมะเร็งผิวหนังที่เกิดจากเม็ดสี ซึ่งในคนไทยพบไม่บ่อย จะพบบ่อยในคนต่างชาติที่มีผิวขาวซึ่งชอบอาบแดด
ฉะนั้นโอกาสมะเร็งเม็ดสีจะมากกว่าและมะเร็งชนิดนี้เป็นแล้วรุนแรงมาก กระจายเร็วโตเร็วในกรณีของกอล์ฟอาจจะไม่รู้ตอนนั้น ผมเชื่อว่าถ้าเป็นมะเร็ง เร็ว-ช้าก็ต้องรู้อยู่ดี อาการจะมาแต่เขาคงไม่ได้เอาไปเชื่อมเหตุและผลกับการกระแทกหรอก ถ้าไม่ได้กระแทกแล้วอยู่ๆ ขาโตขึ้นมาเฉยๆ ก็รู้อยู่ดี แล้วไปตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง”
เชื้อมะเร็งมีอยู่แล้ว แค่ยังไม่โผล่!
ส่วนคำถามที่หลายคนสงสัยว่าการที่ร่างกายได้รับการกระแทกจนบาดเจ็บ ในกรณีที่ผู้ได้รับบาดเจ็บมีเชื้อมะเร็งอยู่ก่อนแล้วจะมีส่วนในการกระตุ้นให้มะเร็งลุกลามหรือไม่ นพ.มานพ อธิบายว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกัน เนื่องจากการกระจายของมะเร็งเกิดขึ้นในระดับเล็กๆ เช่นการหลุดรอดเข้าสู่หลอดเลือด
“ไม่จำเป็นเลย ถ้ามะเร็งต้นกำเนิดอยู่ที่ขาก็จะขึ้นที่ขาอยู่ดีครับ คือเซลล์มะเร็งน่าจะเกิดที่ขาอยู่แล้วแต่อาจโตน้อยๆ นิดๆ ไม่ได้มีอาการมากหรือเคสคนไข้ที่มาหาเพราะไปกระแทกจนกระดูกหักแต่มาตรวจเจอว่าเป็นมะเร็งกระดูกซึ่งจริงๆ ไม่มีความเชื่อมโยงกันเลย
คงเป็นมะเร็งกระดูกตรงต้นแขนอยู่แล้วแต่พอมีอะไรกระทบกระแทกเนื่องจากตรงนั้นมีเนื้องอกอยู่ก็จะเปราะอยู่แล้ว บางคนกระดูกหักเลยก็มี มาครั้งแรกด้วยกระดูกหัก หักชนิดที่กระแทกนิดเดียวแต่ทำไมถึงหัก เป็นเพราะตรงนั้นมีโรคของมันอยู่แล้วแต่ไม่รู้มาก่อนเท่านั้นเอง
ตรงนี้ผมคิดว่าเป็นความบังเอิญมากกว่า การที่มะเร็งจะกระจาย ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากการกระทบกระแทก เซลล์มะเร็งกระจายไปในระดับเล็กๆ อยู่แล้วเช่นเซลล์มะเร็งจะมีเลือด มีเส้นเลือด มีน้ำเหลืองมาเลี้ยงอยู่
ฉะนั้นเวลาที่เซลล์มะเร็งแพร่กระจายก็มักจะเป็น 1-2 เซลล์มะเร็งในก้อนมะเร็งก้อนนั้นข้างในหลุดออกไปและเดินทางตามหลอดเลือดเล็กๆ หลอดเลือดฝอย จากนั้นก็ไปเกาะที่อื่นเช่นว่าทำไมมะเร็งกระจายไปต่อมน้ำเหลืองได้ก็เกิดจากแบบนี้”
อย่างไรก็ดีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งวิทยายังฝากทิ้งท้ายถึงวิธีป้องกันในเบื้องต้นด้วยว่าควรเริ่มจากการสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นในร่างกาย ซึ่งมะเร็งหลายชนิดมีข้อบ่งชี้ที่สามารถทราบได้ในตอนต้นเช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านมและมะเร็งสำไส้
“ระยะเริ่มต้น มะเร็งหลายตัวอาจจะมีวิธีการรู้ก่อนหรือคัดกรองก่อนได้เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ได้เพราะพวกนี้มีระยะเวลาในการฟักตัวนาน กว่าจะขึ้นมาเป็นติ่งเนื้อเล็กๆ กว่าจะขึ้นมาเป็นก้อนใหญ่ กว่าจะมาเป็นมะเร็งใช้เวลาเป็นปี
พวกนี้เรามีเวลาในการคัดกรอง บางคนไปตรวจภายใน บางคนทำเมมโมแกรม แต่มะเร็งบางตัวระยะฟักตัวสั้นมากหรืออาการเริ่มต้นไม่จำเพาะเช่นมะเร็งเม็ดสี melanoma จะรู้จักกันดีในวงการหมอมะเร็งเลย อาการเริ่มต้นไม่ชัดเจน ไม่มีมีความแตกต่างอะไรเลย ต้องสังเกตอย่างเดียว
ผมคิดว่ามะเร็งเป็นของซึ่งไม่มีใครอยากเป็น ส่วนใหญ่ของมะเร็งเกิดขึ้นเอง บางส่วนอาจมีปัจจัยอื่นๆ บ้างที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเช่น สูบบุหรี่ ดื่มสุรา มีประวัติในครอบครัวหรืออายุยิ่งมาก ความเสี่ยงก็จะยิ่งสูงขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้พูดให้กลัวว่าแต่ละคนมีความเสี่ยงและจะกลายเป็นมะเร็งนะครับ
สิ่งสำคัญคือมะเร็งไม่ว่าจะมะเร็งอะไรก็ตาม รู้ก่อน รู้เร็ว จะรักษาได้ผลดี ฉะนั้น คอยสังเกตอาการที่ผิดจากเดิมที่เคยเป็น พอมีอาการที่ดูแล้วไม่ตรงไปตรงมา แนะนำว่าให้ไปพบแพทย์ดีที่สุด”