สิ่งมีชีวิตใหญ่ที่ทรงพลัง

ราชาแห่งนกล่า นกอินทรีฮาร์ปี้



นกอินทรีฮาร์ปี้ Harpy Eagles เป็นนกประจำถิ่นในแถบอเมริกา อินทรีนักล่าเหยื่อ ด้วยรูปร่างขนาดใหญ่ความสูงกว่า 90 เซนติเมตร ระยะปลายปีกทั้งสองข้างวัดยาวถึง 2 เมตร มีเล็บอันแหลมคมที่งอกออกมายาวกว่า 13 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 9-10 กิโลกรัม ถูกยกย่องว่าเป็นนกที่มีพละกำลังมากที่สุดในทวีปอเมริกา และมีขนาดใหญ่ที่สุดที่ในบรรดาสายพันธุ์อินทรีย์ที่ยังมีอยู่ในโลก พบเห็นในป่าฝนเขตร้อนทางตอนใต้อเมริกาและอเมริกากลาง

ด้วยรูปร่างสูงขนาดใหญ่ปีกกว้าง แววตาดุดัน ลำตัวสีดำสลับขาว จะงอยปากสีดำสนิทดูน่าเกรงขาม เล็บอันแหลมคม ทำให้นักสำรวจยุคแรกๆ ต้องประหลาดใจกับเจ้านกอินทรียักษ์ตัวนี้ จึงตั้งชื่อตามตำนานของชาวกรีกว่า “ฮาร์ปี้” ซึ่งเป็นสัตว์ครึ่งผู้หญิงครึ่งนก

อาวุธลับที่น่ากลัวที่สุดของนกอินทรีฮาร์ปี้คือกรงเล็บที่แข็งแกร่งมีขนาดใหญ่เท่ากับอุ้งตีนหมี เล็บยาวกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับกรงเล็บของนกอินทรีหัวขาว วารสารเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ทูเดย์ ถึงกลับเอ่ยความมหัศจรรย์ของนกอินทรีฮาร์ปี้ว่าสามารถขยุ้มลิง สลอท หรือเหยื่อตัวอื่นๆ ให้กระดูกแหลกได้เลย ความรวดเร็วดั่งสายลมกว่า 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำให้มันบินโฉบลงมาจับเหยื่ออย่างรวดเร็ว โดยไร้เสียงจนแทบจับตัวได้ยาก หากบินผ่านศีรษะไปเราอาจมองไม่เห็นมันด้วยซ้ำ

ความร้ายกาจของราชาแห่งนกนักล่าไม่เพียงแค่เหยื่อตัวเล็ก แต่มันสามารถจับสัตว์ที่มีน้ำหนักมากกว่ามันถึงเท่าตัวได้ ดังนั้นเด็กทารกน้อยที่นอนในรถเข็นอาจถูกมันโฉบขึ้นฟ้าอย่างง่ายดาย แต่ความจริงแล้วมันไม่มีทางที่จะโฉบลูกคนไปได้หรอก เพราะในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีนกอินทรีฮาร์ปี้โจมตีมนุษย์เลยแม้แต่ครั้งเดียว ความจริงมันค่อนข้างเป็นมิตรกับคนเสียด้วยซ้ำ 

เคยมีสารคดีจากสำรวจโลกถ่ายทำเรื่องราวชีวิตเจ้านกฮาร์ปี้กับเพื่อนมนุษย์ ทำให้หลายคนถึงกับอึ้งจากภาพที่มันบินมาเกาะแขนคนอย่างเฉลียวฉลาด และมันได้กลายเป็นนกประจำชาติปานามาไปแล้ว
ปัจจุบันนกอินทรีฮาร์ปี้เริ่มลดประชากรลงเรื่อยๆ เพราะที่อยู่อาศัยทางธรรมชาติของพวกมันถูกทำลายลงจากฝีมือมนุษย์ แม้จะไม่ถูกจัดว่าใกล้สูญพันธุ์แต่มันกำลังเริ่มลดลงและหายาก รวมถึงตระกูลอินทรีตัวอื่นๆ ที่กำลังลดลงเช่นกัน  โดยนกอินทรีฮาร์ปีถูกแต่งตั้งให้เป็นนกประจำชาติของประเทศปานามาอย่างเป็นทางการ
ที่มา เว็บไซต์ Americanbuff
Cr.http://www.americanbuff.com/นกอินทรีฮาร์ปี้-ราชา/ By  admin/ 

ซาลาแมนเดอร์ยักษ์สายพันธุ์ใหม่


คนจีนกินซาลาแมนเดอร์ยักษ์เป็นอาหาร แน่นอนว่ามีการเปิดฟาร์มเพาะเลี้ยงกันมากมายทั่วประเทศ และก็รู้กันมาว่ามันคือสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่แทบหาไม่ได้จากในป่าตามธรรมชาติแล้ว  เกือบทั้งหมดเข้าใจว่าซาลาแมนเดอร์ยักษ์ทุกตัวในจีนเป็นสายพันธุ์เดียวกันหมดนั่นคือ Andrias davidianus

ล่าสุดทีมนักวิจัยจาก ZSL (Zoological Society of London) และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติของลอนดอน ได้เปิดเผยผลการวิเคราะห์ DNA จากส่วนของตับและกล้ามเนื้อหรือตัวอย่างกระดูกจากซาลาแมนเดอร์ยักษ์จีน 41 ตัว จากแอ่งน้ำ 4 แห่งใน 9 มณฑลของจีน ทีมงานพบว่า แท้ที่จริงแล้ว ซาลาแมนเดอร์ยักษ์จีนมีทั้งสิ้น 3 สายพันธุ์ที่แตกต่างกัน
สายพันธุ์แรกคือ Andrias davidianus ที่รู้จักกันดี สายพันธุ์ที่สองที่แยกออกมาใหม่ ตั้งชื่อว่า Andrias sligoi และสายพันธุ์ที่ 3 ที่พบในแถบหวงซาน  ยังไม่ได้ตั้งชื่อ
สายพันธุ์ที่สองที่แยกออกมาใหม่นี้เอง (Andrias sligoi) ที่ทีมงานระบุว่าคือตัวจริงของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก เรียกว่าขนาดร่างกายโตเต็มที่ของสายพันธุ์นี้ อาจยาวถึง 180 ซม. คือยาวกว่าอีก 2 สายพันธุ์ที่เหลือ

สายพันธุ์ของซาลาแมนเดอร์ยักษ์ เริ่มแยกตัวออกจากบรรพบุรุษเดียวกันเมื่อ 3.1 และ 2.4 ล้านปีก่อน พร้อมกับการก่อตัวของภูเขาในที่ราบสูงทิเบต ซึ่งทำให้ประชากรซาลาแมนเดอร์ยักษ์แยกตัวออกจากกัน นำไปสู่การวิวัฒนาการที่แตกต่างกัน ดังนั้นการดำรงชีวิตของทั้ง 3 สายพันธุ์จึงแตกต่างกันบ้างในข้อปลีกย่อย
การระบุสายพันธุ์ย่อยที่แยกกันออกไป เป็นผลดีต่อสัตว์ยักษ์นี้ในเชิงอนุรักษ์ที่จำนวนตามธรรมชาติของมันใกล้สูญพันธุ์หมดแล้วเหลือแต่ในฟาร์ม แต่คงไม่ทันการเมื่อทางจีนนำไปปล่อยคืนธรรมชาติโดยไม่ได้จัดให้อยู่ในถิ่นอาศัยดั้งเดิมของสายพันธุ์นั้นๆ นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้การแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติของมันล้มเหลว
ที่มา https://www.newscientist.com/article/2216451-new-species-of-giant-salamander-is-the-worlds-largest-amphibian
เครดิตภาพและข้อมูลเพิ่มเติม https://www.nationalgeographic.com/animals/2019/09/giant-salamander-new-species-worlds-largest-amphibian/   
Cr.https://stem.in.th/giant-salamander-new-species-worlds-largest-amphibian/ เรียบเรียงโดย @MrVop

ตัวกินมดยักษ์ แห่งอเมริกาใต้


ในดินแดนอเมริกาใต้ มีสัตว์ขนาดใหญ่อีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “ตัวกินมดยักษ์” แห่งอเมริกาใต้ เป็นสัตว์ที่มีความยาวกว่า 2-2.5 เมตร มีความยาวหางกว่า 1 เมตร และมีน้ำหนักตัวโดยเฉลี่ยมากถึง 30-65 กิโลกรัม มีอายุเฉลี่ย 30 ปี

ตัวกินมดยักษ์ (Gain Anteater) จัดว่าเป็นสัตว์ถิ่นเดียวของอเมริกาใต้และอเมริกากลาง พบเห็นได้ตั้งแต่ประเทศฮอนดูรัสลงไปถึงทางเหนือของประเทศอาร์เจนตินา ชอบอาศัยอยู่ตามทุ่งหญ้า ป่าผลัดใบและป่าฝน สัตว์ขนาดยักษ์ตัวนี้จะกินเพียงมดและปลวกตัวเล็กๆ เป็นอาหารเท่านั้น ซึ่งปริมาณการกินอาหารแต่ละวันก็ตกอยู่ประมาณ 30,000 ตัวครับ

ตัวกินมดยักษ์ (Gain Anteater) ที่เห็นอยู่นี้เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ไม่มีฟัน แต่จะมีก้อนเนื้อที่แข็งมากอยู่ในปากใช้สำหรับบดมดปลวกให้ละเอียดก่อนกลืนเข้าไป เท้าหน้าของมันจะมีเล็บที่ยาว แหลมคม และแข็งแรงมาก ซึ่งมันจะใช้ขุดจอมปลวกและเอาไว้ป้องกันตัวจากสัตว์นักล่า อันได้แก่เสือจากัวร์และเสือพูมา ส่วนจมูกของมันจะมีประสาทสัมผัสที่ไวต่อการดมกลิ่นมาก แต่สายตาและหูจะไม่ค่อยดี

 “ตัวกินมดยักษ์” ยังถือว่าเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่ว่ายน้ำได้เก่งมาก แต่จะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนพื้นดิน และเมื่อมีภัยคุกคาม มันก็จะไม่หนีอย่างเด็ดขาด แต่จะยืนด้วยขาหลังและใช้หางช่วยในการทรงตัว และใช้เท้าหน้าที่มีเล็บอันแหลมคมตบศัตรูเช่นเดียวกับหมี และในปัจจุบัน “ตัวกินมดยักษ์” ยังได้ถูกจัดว่าเป็นสัตว์ที่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อีกด้วยครับ
Cr.ที่มา ban-sook.blogspot.com
Cr.http://www.slowlife.company/ตัวกินมดยักษ์-แห่งอเมริ/

 " ซูเปอร์มดทหาร "


 นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษสร้างสายพันธุ์ใหม่ให้มดยักษ์ มีหัวโต และขากรรไกรใหญ่ โดยการใส่ฮอร์โมนบรรพบุรุษแมลงชนิดนี้เข้าไปตัวอ่อนปกติ เพื่อหวังจะเปลี่ยนให้มดกลายพันธุ์เป็น "ซูเปอร์มดทหาร"
วารสารด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งเผยแพร่งานวิจัยดังกล่าว ระบุว่า มดยักษ์เหล่านี้อาจเป็นการพัฒนาย้อนหลังกลับไปสู่ยุคดั้งเดิมของพวกมัน ที่เคยอาศัยอยู่บนโลกนี้เมื่อหลายล้านปีก่อน
ซูเปอร์มดทหารนั้นสามารถพบได้ตามธรรมชาติในป่าเขา โดยมีขนาดตัวประมาณ 4 มิลลิเมตร ทว่าพบได้ยาก หน้าที่ของพวกมันคือปกป้องอาณาเขตจากการรุกรานของมดทหาร และขวางทางเข้ารังด้วยหัวที่มีขนาดใหญ่โต

ดร.ราเชนธราน ราชกุมาร จากมหาวิทยาลัยแมคกิล ในแคนาดา และทีมของเขาระบุในรายงานวิจัยว่า "พวกเราพบศักยภาพในการพัฒนาที่สืบต่อมาจากบรรพบุรุษในการสร้างซูเปอร์มดทหารที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งสั่งสมผ่านชนิดของมด ที่วิวัฒนาการมาจากเมื่อ 35-60 ล้านปีก่อน"
นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้แสดงให้เห็นมดธรรมดาทั่วไป สายพันธุ์ Pheidole morrisi ซึ่งมีสารพันธุกรรมทั้งหมด ที่จำเป็นสำหรับการกลายพันธฺุ์เป็นซูเปอร์มดทหาร
ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า การที่มดดังกล่าวมีอุปกรณ์สำคัญในการพัฒนาที่สืบต่อจากบรรพบุรุษนั้นอาจมีบทบาทสำคัญในการวิวัฒนาการไปสู่ลักษณะทางร่างกายภายนอกใหม่ๆ ได้
Cr.https://mgronline.com/around/detail/9550000002556  โดย: MGR Online

แมลงปอ ตัวใหญ่ที่สุดในโลก


Megaloprepus caerulatus เป็นแมลงปอเข็ม ที่อยู่ในป่าที่มีสภาพอากาศ เปียก ชื้น บริเวณตอนกลาง และทางเหนือของอเมริกา และเป็น แมลงปอเข็ม ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยขนาดความกว้างปีกมากกว่า 19 เซ็นติเมตร ( ตัวผู้มีขนาดใหญ่ กว่าตัวเมีย ) และจุดสังเกตของสายพันธุ์นี้ก็คือที่ปีก จะมีแต้มสีดำ ตัวเต็มวัยกินแมงมุม orb-weaver spiders โดยการจับแมงมุมดึงออกจากใย
แมลงปอพันธุ์นี้จะวางไข่ในน้ำที่ขังอยู่ในโพรงไม้ และตัวโม่งที่เกิดขึ้นก็จะเป็นผู้ล่าลำดับสูงสุด ในห่วงโซ่ในโพรงน้ำนั้น โดยจะกิน พวกลูกอ็อต แมลงน้ำ ลูกน้ำ เป็นอาหาร

ความแตกต่างระหว่าง แมลงปอ กับ แมลงปอเข็ม

แมลงปอ(Dragonflies) เมื่อเกาะนิ่งกับที่จะกางปีกออกกว้างในแนวราบปีกหลังจะกว้างกว่าปีกหน้า โดยเฉพาะด้านท้ายของโคนปีกหลัง ตัวอ่อนอาศัยอยู่ในน้ำ ใช้ริมฝีปากล่าง (labium) ยื่นออกไปจับเหยื่อ

แมลงปอเข็ม (Damselflies) เมื่อเกาะนิ่ง ๆ กับที่จะพบปีกในแนวตั้งฉากกับลำตัวโดยปีกคู่หน้าประกบกันและปีกคู่หลังก็ประกบ กัน โดยที่ปีกหน้าและปีกหลังมีขนาด และรูปร่างของปีกคล้ายกัน โคนปีกแคบ 
ที่มา : http://wowboom.blogspot.com/2009/05/biggest-dragonfly.html
Cr.ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
Cr.http://108thinks.blogspot.com/2014/12/biggest-dragonfly.html

Valonia ventricose สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว


สิ่งมีชีวิตที่ว่านี้ คือ “Valonia ventricosa” หรือชื่อเล่นที่ว่า “สาหร่ายฟอง” และ “ลูกตากะลาสี” โดยมันอาจจะมีรูปร่างคล้ายกับลูกองุ่น แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวในตระกูลตะไคร้น้ำต่างหาก
Valonia ventricosa ตามปกติแล้วจะมีขนาดโดยเฉลี่ยตั้งแต่ลูกแก้วขนาดเล็กไปจนถึงลูกตาสมชื่อลูกตากะลาสีของมัน แต่ในบางครั้งมันก็อาจจะสามารถมีขนาดใหญ่โตถึง 4-9 เซนติเมตรได้เช่นกัน
 
ที่สิ่งมีชีวิตชนิดนี้สามารถมีขนาดใหญ่โตได้อย่างไม่น่าเชื่อแม้จะมีเพียงเซลล์เดียวนั้น มาจากการที่พวกมันมี “โดเมนไซโตพลาสซึม” อยู่หลายแห่ง ซึ่งในโดเมนไซโตพลาสซึมแต่ละตัวก็จะมีนิวเคลียสและคลอโรพลาสต์เป็นของตัวเอง และทำหน้าที่คล้ายสะพานเชื่อมโครงสร้างภายใน Valonia ventricosa อีกที

ภาพกล้องจุลทรรศน์เรืองแสงของโครงสร้างภายในของ Valonia ventricosa โดยตัว n ที่เห็นหมายถึงนิวเคลียส


โครงสร้างภายในเช่นนี้ มีความแข็งแรงมากพอที่จะทำให้ Valonia ventricosa ไม่พังทลายไปง่ายๆ เหมือนกับสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวอื่นๆ ที่มักจะคงรูปร่างไม่ได้หากมันมีขนาดใหญ่เกินไป ซึ่งหมายความว่ามันจะไม่แตกออกเหมือนลูกโป่งแม้เราใช้มือบีบมัน
กลับกันในกรณีที่เราบีบ Valonia ventricosa ลูกหนึ่งอย่างรุนแรง อาจจะส่งผลให้เกิด Valonia ventricosa ขนาดเล็กจำนวนมากเพิ่มขึ้นมาแทนได้ นั่นเพราะสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ต้องการเซลล์เพียงแค่หนึ่งเดียวในการเอาชีวิตรอดและแบ่งตัวออกไปเป็นสิ่งมีชีวิตอีกตัวนั่นเอง
ที่มา sciencealert, twistedsifter และ biology.stackexchange
Cr.https://www.catdumb.tv/valonia-ventricose-378/ By เหมียวศรัทธา
 

ขอขอบคุณทุกที่มาข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่