ชาวกรุงเทพช่วงนี้ลำบากลำบนมากเหลือเกินพี่จ๋า นอกจากน้ำประปาจะเค็มแล้ว ยังต้องมาเจอปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่เคยมีมาแล้ว และมันได้ย้อนกลับมาทำร้ายเราอีกครั้ง TT เรียกได้ว่าเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเลยทีเดียว ยิ่งกับคนที่เป็นภูมิแพ้แบบเราด้วยแล้ว โอ้โห้ ทั้งผื่น สิว และอาการจามเป็นระยะ คือมาครบเลยจ้า ใครเป็นภูมิแพ้เหมือนกันจะเข้าใจว่ามันเป็นยังไง
มาค่ะ สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้หรือคิดว่าสู้สภาพอากาศโหดร้ายของกรุงเทพไม่ไหว วันนี้เราจะมาแชร์เคล็ดลับและสิ่งของในการเอาตัวรอดในวันที่โดนทำร้ายจากมลภาวะฝุ่นควัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เวิร์คสำหรับเรามากกกกกจริงๆค่ะ อาจเป็นสิ่งที่บางคนรู้อยู่แล้วหรือยังไม่รู้ก็เถอะ แต่เราอยากแชร์ จบนะ! 555 มาดูเลยว่ามีอะไรที่จะช่วยชีวิตชาวเราได้บ้าง
สิ่งแรกที่อยากแนะนำให้เพื่อนๆว่าควรต้องมีจริงๆ นั่นก็คือแอพ AirVisual นั่นเอง มีทั้งใน iOS และ Android แถมโหลดฟรีไม่เสียตังค์อีกต่างหาก
หน้าตาของนางเป็นงี้เลยค่ะ แคปมาให้ดูสดๆ ความดีงามของแอพนี้คือมันเป็นแอพที่ช่วยเช็คและวัดคุณภาพอากาศให้เราค่ะ โดยจะวัดออกมาเป็นค่า AQI (Air Quality Index : AQI) ซึ่งจะทำให้เราสามารถเตรียมตัวป้องกันและวางแผนการเดินทางได้สะดวกขึ้น แถมยังมีทำนายสภาพอากาศล่วงหน้าให้อีกต่างหาก ซึ่ง AQI เนี่ยเขายึดตามแบบอเมริกาเลย จะแบ่งระดับออกเป็นสีให้สังเกตง่ายขึ้นด้วยค่ะ ตามนี้เลย
สำหรับประเทศกรุงเทพของเรานั้น โอ้โห้ แดงไม่ไหวแล้วจ้า
ความพิเศษอีกอย่างของแอพนี้คือสามารถดูสภาพอากาศได้ทั่วไทยและทั่วโลกไปเลย เรียกว่าอยากรู้ตรงไปก็จิ้มกดไปดูได้ตามสะดวก (ดูจากในรูปนี่สีส้มสีแดงเยอะอยู่เหมือนกัน และมากระจุกตัวอยู่แถบกรุงเทพ-ปริมณฑล หมดเลยจ้า 5555)
นอกจากนี้ในแอพยังมีจัดอันดับเมืองที่มีมลพิษไม่เป็นมิตรต่อลมหายใจด้วย ลองสังเกตดีๆที่ไทยแลนด์ กรุงเทพ ก็คือแซงหน้าจีนไปเรียบร้อยมาอยู่ในท็อป10อย่างสวยงาม นี่ถ้าเป็นเวทีประกวดนางงาม บอกได้เลยว่า #มงสามมาแน่ มีลุ้นได้ที่หนึ่งล่ะ 5555
สรุปได้ว่านางเป็นแอพที่จะช่วยเตือนภัยสภาพอากาศให้เราพร้อมรับมือได้นั่นแหละ ซึ่งเป็นอะไรที่เหมาะจะมีไว้ในเครื่องมากถ้าดูจากสภาพอากาศในช่วงนี้ 555 นอกจากเตือนภัยแล้วเขายังมีแนะนำการป้องกันเบื้องต้นให้ด้วย เช่นใส่มาส์ก ปิดหน้าต่าง ห้ามออกไปข้างนอก ใช้เครื่องฟอกอากาศ(แล้วแต่ความร้ายแรงนะ) ในกรณีที่อากาศแย่จริงๆก็ยังมีแจ้งเตือนให้อีกต่างหาก ต้องมีแล้วล่ะเพราะมันดีมากจริงๆ
อีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กันคือเรื่องความสะอาดค่ะ เพราะฝุ่นเยอะมันก็หมายถึงความสกปรกที่เพิ่มขึ้นมาด้วย ยิ่งกับคนแพ้ง่ายนี่หนักเลยเจ้าค่ะ สิวขึ้นหน้า ผื่นตุ่มตามตัวคันยิบๆ (แค่พิมพ์ก็อยากเกาแล้วเนี่ย 555) เพราะฉะนั้นความสะอาดก็ต้องเป๊ะมากขึ้นไปด้วย อย่างสบู่ที่เราใช้ตอนนี้จะเป็น vaseline healthy moisturising bodywash ขวดนี้เลย
บอกตามตรงว่าเราเป็นสาวกของวาสลีนมานานแล้ว เรียกว่าใช้มาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น ใช้ทั้งโลชั่นทั้งครีมอาบน้ำเลย ยิ่งกับครีมอาบน้ำวาสลีนตัวนี้แล้วต้องบอกเลยว่ายิ่งเหมาะกับสภาพอากาศช่วงนี้จริงๆ เพราะเป็นครีมอาบน้ำที่ทำความสะอาดได้ค่อนข้างดีเลย ทั้งชำระล้างแบคทีเรีย และได้ยินมาว่าล้างพวกฝุ่น PM 2.5 ได้ด้วย สูตรนี้มีแยกย่อยอีกสามสูตรด้วยกัน แต่เราเลือก healthy white ที่เป็นขวดสีชมพูมา พอใช้แล้วมันรู้สึกว่าเออผิวมันโอเคขึ้นนะ เพราะมันไม่มีอาการคันหรือตุ่มขึ้นมากวนใจเลย ผิวไม่ตึงไม่แห้งด้วย ชุ่มชื้นนุ่มๆดี ก็เลยใช้ต่อเนื่องมายาวๆ เป็นไอเทมที่เราค่อนข้างจะแนะนำในสภาพมลภาวะเป็นพิษแบบนี้นะ
นอกเหนือจากสบู่ที่เราเปลี่ยนแล้ว เราก็เปลี่ยนแม้กระทั่งน้ำที่อาบด้วย ปกติเราเป็นคนชอบอาบน้ำเย็นๆ เพราะผิวแห้ง แต่พอมีเรื่องฝุ่นมาเราก็หันมาอาบน้ำอุ่นแทน เพราะเคยอ่านเจอมาว่าน้ำที่อุณหภูมิเหมาะสมสำหรับการอาบเนี่ยมันจะอยู่ที่ 27-37 องศาค่ะ เพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และผิวจะสามารถขับของเสียที่ตกค้างในผิวเราออกมามากขึ้นด้วย เราก็เลยคิดว่าถ้าอาบน้ำอุณหภูมิประมาณนี้น่าจะช่วยขจัดฝุ่น PM 2.5 ออกจากผิวได้บ้างล่ะ ส่วนเรื่องผิวแห้งตรงนี้ก็ไม่มีปัญหาเท่าไหร่ เพราะสบู่ที่เราใช้ช่วยบำรุงผิวอยู่แล้ว ผิวเลยไม่แห้งแม้จะอาบน้ำร้อนก็เถอะ แต่สำหรับคนที่แห้งมากจริงๆก็อาจจะทาโลชั่นเพิ่มหรือลงออยล์หลังอาบน้ำก็ได้นะคะ ผิวจะได้นุ่มๆขึ้นด้วย
ยัง ยังไม่หมดนะ ถัดจากล้างตัวก็ต้องมามาล้างจมูกต่อ ฝุ่นเยอะแบบนี้งานหนักก็อยู่ที่จมูกเรานี่แหละ ไหนจะคนคนเป็นภูมิแพ้อีกนะ โอ้โห นรกมาก หายใจติดขัดระคายเคืองไปหมด วิธีแก้ปัญหาแบบเบสิคและง่ายที่สุดของเราก็คือน้ำเกลือล้างจมูกนี่แหละ
ปกติเราล้างจมูกอยู่แล้วนะเพราะเป็นภูมิแพ้ แต่ล้างไม่บ่อย นานๆ จะล้างที แต่ช่วงนี้ต้องล้างทุกวันเลยเพราะ PM 2.5 นี่แหละ ซื้อมาเลยขวดใหญ่จากร้านยา ล้างทุกวันเช้าเย็น จมูกโล่งมากกกก ทำความสะอาดออกหมดทั้งสิ่งสกปรก เชื้อโรค มันดีมากจริงๆ รู้สึกหายใจสะดวกขึ้นเยอะ ไม่เป็นภูมิแพ้ก็ล้างจมูกได้นะ แนะนำเลย ต้องลองแล้วจะรู้ว่าดีแค่ไหน
พูดถึงเรื่องภายนอกไปพอสมควรแล้ว อยากพูดถึงการดูแลภายในบ้าง สำหรับคนที่แข็งแรงอยู่แล้วอาจไม่จำเป็นเท่าไร แต่คนอ่อนแอแพ้ง่ายภูมิแพ้ทั้งหลายเนี่ยถือว่าจำเป็นอยู่นะ เพราะอากาศแย่มันก็ทำให้ป่วยง่ายไปด้วย จะลาป่วยก็ไม่ได้โดนเจ้านายด่า ต้องหอบสังขารพังๆป่วยๆฝ่าวิกฤติ PM 2.5 มาทำงานให้ป่วยกว่าเดิมอีก TT (เขียนด้วยอินเนอร์เก็บกดล้วนๆ ) ซึ่งเราก็เลือกที่จะแก้แบบง่ายๆ อีกเช่นกัน ด้วยการกินน้ำเปล่าเยอะๆ ค่ะ
เนี่ยซื้อเป็นขวดมาเลย เอามาตั้งไว้ที่โต๊ะทำงานด้วย นึกออกเมื่อไรก็จิบไปเรื่อยๆ พยายามกินน้ำให้เยอะๆ เพราะน้ำเปล่าช่วยลดอาการเสี่ยงเป็นโรคภูมิแพ้ได้ แล้วทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานได้ปกติด้วย แถมกินน้ำเยอะๆช่วยให้ผิวดีด้วยนะ ได้ประโยชน์สองต่อเลยค่ะ
แต่แค่กินน้ำเปล่าก็ยังไม่พอสำหรับเรานะ นี่เลยบวกเพิ่มด้วยการอัดวิตามินซีเสริมเลยค่ะ เพราะวิตามินซีมันช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ให้ดีขึ้น แล้วเสริมภูมิต้านทานด้วย ตัวประจำที่กินอยู่ก็ hicee sweetlets vitamin c นี่แหละ เพราะมันพกง่ายดี ขวดไม่ใหญ่ กินง่ายด้วยเพราะเป็นแบบอม เอาเข้าปากอมได้เลย เปรี้ยวๆ อร่อยๆ นะ
เนี่ยง่ายๆเลย สองอย่างนี้ น้ำเปล่า+วิตามินซี กินเข้าไป ดีขึ้นจริง เจ้คอนเฟิร์ม!!!
จบกับเรื่องการดูแลร่างกายทั้งภายในภายนอกไปแล้ว ก็มาถึงเรื่องสภาพอากาศกันบ้าง หลายคนอาจจะคิดว่าการไม่ออกไปกลางแจ้งถือเป็นการหลีกเลี่ยงฝุ่นได้ จริงๆก็ใช่แหละ แต่มันก็เป็นการหลีกเลี่ยงแค่ในระดับหนึ่งเท่านั้นนะ อยู่ในอาคารก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัย สำหรับชาวภูมิแพ้ เราจึงต้องมีสิ่งนี้!!!
นั่นก็คือสเปร์ยปรับอากาศจ้า 555 แต่ไม่ใช่สเปร์ยปรับอากาศแบบตาสีตาสานะ ตัวนี้ที่ใช้เป็นของ Polar Spray เป็นสเปร์ยสำหรับคนเป็นภูมิแพ้เลย ช่วยลดกลิ่นอับแล้วยังช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ด้วย เพราะตัวนี้มันขจัดพวกเชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัสต่างๆ แล้วก็ไรฝุ่นที่เป็นต้นเหตุของภูมิแพ้ และยังมีส่วนผสมของน้ำมันยูคาลิปตัสที่ช่วยให้โล่งจมูก กลิ่นจะเย็นๆ สดชื่นมาก กลับบ้านทีไรต้องฉีดๆๆๆ ให้ทั่วเลย
หลังจากปรับอากาศแล้ว ก็ต้องมีการฟอกอากาศกันด้วย เพื่ออากาศที่สดชื่นบริสุทธิ์สูดดมได้โดยไม่ต้องจามฮัดชิ้ว สำหรับคนรวยๆ คงมีตังค์ซื้อเครื่องฟอกอากาศมาติดบ้านติดคอนโดกันง่ายๆ อยู่แล้วล่ะ แต่คนจนๆ หาเช้ากินค่ำอย่างเราๆ จะไปหาเงินเป็นพันมาซื้อเครื่องฟอกอากาศได้จากไหนกัน

แต่คนไม่มีเงินก็อย่าเสียใจไปค่ะ เรามีเครื่องฟอกอากาศแบบธรรมชาติที่ราคาถูกแถมหาซื้อง่ายอีกต่างหาก บอกขนาดนี้หลายคนคงเดาได้แล้วล่ะว่ามันคือ….ต้นไม้จ้า
ที่บอกว่าต้นไม้ ไม่ได้หมายถึงไม้ยืนต้นใหญ่ๆนะ แต่หมายถึงต้นไม้กระถางแบบที่ตั้งในบ้าน จะบอกว่ามันมีต้นไม้ที่ช่วยฟอกอากาศให้เราได้หลายชนิดมาก เป็นต้นสวยๆ แบบที่ประดับในบ้านได้ และราคาก็ไม่แพ้ด้วย อย่างในรูปที่เราซื้อมาเป็นต้นยางอินเดีย ราคาแค่ 300 กว่าๆ เอง ซึ่งเขามีประโยชน์ตรงที่ว่าช่วยดูดสารพิษ ฝุ่นละออง และฟอกอากาศได้ เรียกว่าครบมาก เหมาะเอามาปลูกช่วงนี้สุดๆ จัดเป็นเครื่องฟอกอากาศแบบราคาประหยัดก็ได้ 5555
ปิดท้ายด้วยสิ่งที่ใครก็ต้องมีอยู่แล้วล่ะ แต่อยากใส่ปิดท้ายไว้ให้ครบองค์ประชุม ก็คือมาส์กกันฝุ่นนี่แหละ ต้องมีจริงๆ ห้ามขาด ติดหน้าติดกระเป๋าไว้เลย เพราะเจ้าสิ่งนี้คืออาวุธที่จะช่วยกันเราไม่ให้หายใจเอาฝุ่นมรณะเข้าปอดนะ
ส่วนตัวเราไม่เลือกยี่ห้อนะ ซื้อยี่ห้อไหนก็ได้ทั้งนั้นนะ แต่เน้นที่กันฝุ่นPM 2.5 ได้จริง ที่ซื้อใช้บ่อยจะเป็นมาส์กสามมิติตัวนี้เลยเพราะมีในเซเว่น กันฝุ่นPM 2.5ได้ ใส่แล้วไม่อึดอัดด้วย แต่ใช้ได้ครั้งเดียวนะ เปลี่ยนทุกวันเลย เปลืองอยู่เหมือนกัน นี่แหละนะเขาถึงได้บอกต้องมีเงินถึงจะซื้อสุขภาพได้
ทั้งหมดนี้นี่แหละคือสิ่งที่เราใช้เอาตัวรอดในประเทศกรุงเทพ ณ ตอนนี้ ตอนที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็เลือนรางไปหมดเพราะมีแต่ฝุ่นปกคลุมไปทั่ว ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกว่าสถานการณ์เรื่องฝุ่นในประเทศเนี่ยจะดีขึ้นตอนไหนกัน สิ่งที่เราทำได้ตอนนี้ก็มีแต่การป้องกันและเยียวยาไปเท่าที่จะทำได้นี่แหละ เอาให้พอเอาตัวรอดไปได้ พูดแล้วเศร้ามาก

หวังว่าการรีวิวนี้จะมีประโยชน์กับทุกๆ คนที่เผชิญปัญหาเดียวกันนะคะ จับมือไว้แล้วไปด้วยกันนะ we'll get through this together จ้าาาา
[CR] ภูมิแพ้กรุงเทพ แก้ไม่ยาก! รวมสารพัดวิธีเอาชนะฝุ่น PM 2.5 แบบง้ายง่าย~
มาค่ะ สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้หรือคิดว่าสู้สภาพอากาศโหดร้ายของกรุงเทพไม่ไหว วันนี้เราจะมาแชร์เคล็ดลับและสิ่งของในการเอาตัวรอดในวันที่โดนทำร้ายจากมลภาวะฝุ่นควัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เวิร์คสำหรับเรามากกกกกจริงๆค่ะ อาจเป็นสิ่งที่บางคนรู้อยู่แล้วหรือยังไม่รู้ก็เถอะ แต่เราอยากแชร์ จบนะ! 555 มาดูเลยว่ามีอะไรที่จะช่วยชีวิตชาวเราได้บ้าง
สิ่งแรกที่อยากแนะนำให้เพื่อนๆว่าควรต้องมีจริงๆ นั่นก็คือแอพ AirVisual นั่นเอง มีทั้งใน iOS และ Android แถมโหลดฟรีไม่เสียตังค์อีกต่างหาก
อีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กันคือเรื่องความสะอาดค่ะ เพราะฝุ่นเยอะมันก็หมายถึงความสกปรกที่เพิ่มขึ้นมาด้วย ยิ่งกับคนแพ้ง่ายนี่หนักเลยเจ้าค่ะ สิวขึ้นหน้า ผื่นตุ่มตามตัวคันยิบๆ (แค่พิมพ์ก็อยากเกาแล้วเนี่ย 555) เพราะฉะนั้นความสะอาดก็ต้องเป๊ะมากขึ้นไปด้วย อย่างสบู่ที่เราใช้ตอนนี้จะเป็น vaseline healthy moisturising bodywash ขวดนี้เลย
นอกเหนือจากสบู่ที่เราเปลี่ยนแล้ว เราก็เปลี่ยนแม้กระทั่งน้ำที่อาบด้วย ปกติเราเป็นคนชอบอาบน้ำเย็นๆ เพราะผิวแห้ง แต่พอมีเรื่องฝุ่นมาเราก็หันมาอาบน้ำอุ่นแทน เพราะเคยอ่านเจอมาว่าน้ำที่อุณหภูมิเหมาะสมสำหรับการอาบเนี่ยมันจะอยู่ที่ 27-37 องศาค่ะ เพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และผิวจะสามารถขับของเสียที่ตกค้างในผิวเราออกมามากขึ้นด้วย เราก็เลยคิดว่าถ้าอาบน้ำอุณหภูมิประมาณนี้น่าจะช่วยขจัดฝุ่น PM 2.5 ออกจากผิวได้บ้างล่ะ ส่วนเรื่องผิวแห้งตรงนี้ก็ไม่มีปัญหาเท่าไหร่ เพราะสบู่ที่เราใช้ช่วยบำรุงผิวอยู่แล้ว ผิวเลยไม่แห้งแม้จะอาบน้ำร้อนก็เถอะ แต่สำหรับคนที่แห้งมากจริงๆก็อาจจะทาโลชั่นเพิ่มหรือลงออยล์หลังอาบน้ำก็ได้นะคะ ผิวจะได้นุ่มๆขึ้นด้วย
ยัง ยังไม่หมดนะ ถัดจากล้างตัวก็ต้องมามาล้างจมูกต่อ ฝุ่นเยอะแบบนี้งานหนักก็อยู่ที่จมูกเรานี่แหละ ไหนจะคนคนเป็นภูมิแพ้อีกนะ โอ้โห นรกมาก หายใจติดขัดระคายเคืองไปหมด วิธีแก้ปัญหาแบบเบสิคและง่ายที่สุดของเราก็คือน้ำเกลือล้างจมูกนี่แหละ
พูดถึงเรื่องภายนอกไปพอสมควรแล้ว อยากพูดถึงการดูแลภายในบ้าง สำหรับคนที่แข็งแรงอยู่แล้วอาจไม่จำเป็นเท่าไร แต่คนอ่อนแอแพ้ง่ายภูมิแพ้ทั้งหลายเนี่ยถือว่าจำเป็นอยู่นะ เพราะอากาศแย่มันก็ทำให้ป่วยง่ายไปด้วย จะลาป่วยก็ไม่ได้โดนเจ้านายด่า ต้องหอบสังขารพังๆป่วยๆฝ่าวิกฤติ PM 2.5 มาทำงานให้ป่วยกว่าเดิมอีก TT (เขียนด้วยอินเนอร์เก็บกดล้วนๆ ) ซึ่งเราก็เลือกที่จะแก้แบบง่ายๆ อีกเช่นกัน ด้วยการกินน้ำเปล่าเยอะๆ ค่ะ
แต่แค่กินน้ำเปล่าก็ยังไม่พอสำหรับเรานะ นี่เลยบวกเพิ่มด้วยการอัดวิตามินซีเสริมเลยค่ะ เพราะวิตามินซีมันช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ให้ดีขึ้น แล้วเสริมภูมิต้านทานด้วย ตัวประจำที่กินอยู่ก็ hicee sweetlets vitamin c นี่แหละ เพราะมันพกง่ายดี ขวดไม่ใหญ่ กินง่ายด้วยเพราะเป็นแบบอม เอาเข้าปากอมได้เลย เปรี้ยวๆ อร่อยๆ นะ
จบกับเรื่องการดูแลร่างกายทั้งภายในภายนอกไปแล้ว ก็มาถึงเรื่องสภาพอากาศกันบ้าง หลายคนอาจจะคิดว่าการไม่ออกไปกลางแจ้งถือเป็นการหลีกเลี่ยงฝุ่นได้ จริงๆก็ใช่แหละ แต่มันก็เป็นการหลีกเลี่ยงแค่ในระดับหนึ่งเท่านั้นนะ อยู่ในอาคารก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัย สำหรับชาวภูมิแพ้ เราจึงต้องมีสิ่งนี้!!!
หลังจากปรับอากาศแล้ว ก็ต้องมีการฟอกอากาศกันด้วย เพื่ออากาศที่สดชื่นบริสุทธิ์สูดดมได้โดยไม่ต้องจามฮัดชิ้ว สำหรับคนรวยๆ คงมีตังค์ซื้อเครื่องฟอกอากาศมาติดบ้านติดคอนโดกันง่ายๆ อยู่แล้วล่ะ แต่คนจนๆ หาเช้ากินค่ำอย่างเราๆ จะไปหาเงินเป็นพันมาซื้อเครื่องฟอกอากาศได้จากไหนกัน
ปิดท้ายด้วยสิ่งที่ใครก็ต้องมีอยู่แล้วล่ะ แต่อยากใส่ปิดท้ายไว้ให้ครบองค์ประชุม ก็คือมาส์กกันฝุ่นนี่แหละ ต้องมีจริงๆ ห้ามขาด ติดหน้าติดกระเป๋าไว้เลย เพราะเจ้าสิ่งนี้คืออาวุธที่จะช่วยกันเราไม่ให้หายใจเอาฝุ่นมรณะเข้าปอดนะ
ทั้งหมดนี้นี่แหละคือสิ่งที่เราใช้เอาตัวรอดในประเทศกรุงเทพ ณ ตอนนี้ ตอนที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็เลือนรางไปหมดเพราะมีแต่ฝุ่นปกคลุมไปทั่ว ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกว่าสถานการณ์เรื่องฝุ่นในประเทศเนี่ยจะดีขึ้นตอนไหนกัน สิ่งที่เราทำได้ตอนนี้ก็มีแต่การป้องกันและเยียวยาไปเท่าที่จะทำได้นี่แหละ เอาให้พอเอาตัวรอดไปได้ พูดแล้วเศร้ามาก
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้