ภาพยนตร์เนื้อหานิยายวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการเจาะทะลุเดินทางไปยังแกนโลกเพื่อช่วยกู้วิกฤตวันสิ้นโลก
ก่อนอื่นเพื่อทำความเข้าใจ ขอเกริ่นเรื่องวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ก่อน เพราะหลายคนเข้าใจผิดว่าปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์รู้คำตอบทุกอย่างในธรรมชาติหมดแล้ว แต่ที่จริงแล้วถึงแม้เราจะสามารถส่องกล้องไปได้ไกลหลายล้านปีแสง แต่ในระบบสุริยจักรวาลของเราเอง ก็ยังสำรวจวัตถุต่างๆและดาวเคราะห์ไม่หมด (ช่วงหลังจึงมีข้อถกเถียงว่า ควรบรรจุพลูโตเป็นดาวเคราะห์ต่อหรือยกเลิกดี) หรือแม้แต่ใต้มหาสมุทร ใต้ท้องทะเลและใต้ดินของเรา มนุษย์ก็ยังไม่มีความสามารถที่จะไปถึงหรือพิสูจน์ได้
--> และนี่คือที่มาของนวนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง The Core และเรื่องอื่นๆอีกมากมาย
เด็กไทยเราเรียนหนังสือกันแบบความรู้สำเร็จรูปหรืออาหารกระป๋อง โดยไม่รู้ที่มาว่ากว่าจะบรรจุกระป๋องเขาปรุงกันมาอย่างไร แถมเข้าใจผิดอีกด้วยว่าข้อมูลในตำราเรียนคือข้อเท็จจริง
ที่จริงแล้วในระดับมหาวิทยาลัยในตะวันตก เขาเรียนเรื่องต่างๆกันแบบทฤษฎี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ที่ทุกคนต่างเกิดไม่ทัน ก็ได้แต่สันนิษฐานตั้งทฤษฎีจากหลักฐานเท่าที่มี แล้วนักประวัติศาสตร์ก็มักมีความคิดความเห็นแตกต่างกันออกไปในทุกเรื่อง
{ ต่อไปเมืองไทยควรมีการสอนประมาณว่า "นักเรียนคิดว่า พระองค์ดำ ชื่อนเรศวร หรือ นเรศ กันแน่?" หรือ "นักเรียนคิดว่าพระองค์ดำเป็นคนน้ำใจดีหรือโหดร้าย หรือทรยศต่อหงสาวดีหรือไม่?" อะไรทำนองนี้ ไม่ใช่ยัดเยียดให้เชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ }
วิทยาศาสตร์ก็เหมือนกัน มันจะแยกเป็น
1. "ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์" คือสิ่งที่ประจักษ์แล้วว่าจริง เช่น น้ำประกอบด้วยอ็อกซิเจน, ดวงจันทร์โคจรรอบโลก
2. "ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์" คือสิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ หรือไม่มีทางชี้ชัดฟันธงได้ เช่น โลกกำเนิดอย่างไร, มนุษย์มาจากไหน, ในอวกาศไกลออกไปเวลาตรงกับบนโลกหรือไม่, จักรวาลคืออะไร เป็นแบบไหน
ซึ่งไอ้ส่วนของทฤษฎีนี่แหละที่ทำให้มนุษย์มีการค้นคว้าต่อไป เพราะถ้ารู้คำตอบหมดแล้วป่านนี้คงไม่ต้องมีการศึกษาจักรวาลอีกแล้ว ไม่ต้องศึกษาธรณีวิทยา ไม่ต้องศึกษาชีววิทยาและสำรวจธรรมชาติต่อ
วิทยาการความก้าวหน้าของมนุษย์เราเวลานี้ สามารถเดินทางไปได้ไกลสุดแค่ดวงจันทร์ ส่วนยานอวกาศไร้คนขับถูกส่งไปไกลสุดเพียงระบบสุริยะชั้นนอก ใช้เวลาส่งไปกว่า 40 ปี
และสำหรับใต้มหาสมุทร เรายังสำรวจไม่หมด เพราะสิ่งมีชีวิตและวัตถุที่มันอยู่ในน้ำตื้นได้ มันก็ทนต่อความดันของน้ำลึกไม่ได้ ไอ้ที่อยู่ได้ก็คือสิ่งที่มันอยู่ใต้นั้นอยู่แล้ว
ใต้ดินก็เหมือนกัน เราถูกตำราเรียนยัดเยียดเข้ามาในสมองว่า ชั้นนั้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็มโนสันนิษฐานทั้งสิ้น
(นี่คือสิ่งที่เอามาสอนเด็ก แต่นักธรณีวิทยาในตะวันตก ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน และยังคงศึกษาต่อไป
จากเรื่อง The Core จะสอนให้เรารู้หลายๆทฤษฎีที่เป็นไปได้เกี่ยวกับลักษณะของโลกใต้ดิน และวิธีที่จะหาทางเจาะทะลุเข้าไปใต้โลกได้ ซึ่งก็ต้องบอกว่าเป็นเพียงมโนนะครับ ของจริงนั้นจะเป็นยังไง มีอะไรอยู่บ้าง แล้วจะหาทางไปได้ยังไง ยังไม่มีใครรู้
หนังนวนิยายวิทยาศาสตร์จึงไม่ได้โม้ แต่เป็นการจินตนาการและการตั้งทฤษฎี แล้วจินตนาการก็จะนำไปสู่การค้นคว้า
{ ต่อไปเมืองไทยควรมีสอนว่า "นักเรียนคิดว่า ถ้ามีเมืองใต้พิภพ สิ่งมีชีวิตที่อยู่ได้จะใช้ก๊าซอะไรหายใจแทนอ็อกซิเจน ?" หรือ "นักเรียนคิดว่า เราสามารถเดินทางลัดเวลาไปดาวอื่นด้วยวิธีไหนบ้าง ?" }
The Core (2003) "ผ่านรกกลางใจโลก" / กับเรื่องวิทยาการความรู้
ภาพยนตร์เนื้อหานิยายวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการเจาะทะลุเดินทางไปยังแกนโลกเพื่อช่วยกู้วิกฤตวันสิ้นโลก
ก่อนอื่นเพื่อทำความเข้าใจ ขอเกริ่นเรื่องวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ก่อน เพราะหลายคนเข้าใจผิดว่าปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์รู้คำตอบทุกอย่างในธรรมชาติหมดแล้ว แต่ที่จริงแล้วถึงแม้เราจะสามารถส่องกล้องไปได้ไกลหลายล้านปีแสง แต่ในระบบสุริยจักรวาลของเราเอง ก็ยังสำรวจวัตถุต่างๆและดาวเคราะห์ไม่หมด (ช่วงหลังจึงมีข้อถกเถียงว่า ควรบรรจุพลูโตเป็นดาวเคราะห์ต่อหรือยกเลิกดี) หรือแม้แต่ใต้มหาสมุทร ใต้ท้องทะเลและใต้ดินของเรา มนุษย์ก็ยังไม่มีความสามารถที่จะไปถึงหรือพิสูจน์ได้
--> และนี่คือที่มาของนวนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง The Core และเรื่องอื่นๆอีกมากมาย
เด็กไทยเราเรียนหนังสือกันแบบความรู้สำเร็จรูปหรืออาหารกระป๋อง โดยไม่รู้ที่มาว่ากว่าจะบรรจุกระป๋องเขาปรุงกันมาอย่างไร แถมเข้าใจผิดอีกด้วยว่าข้อมูลในตำราเรียนคือข้อเท็จจริง
ที่จริงแล้วในระดับมหาวิทยาลัยในตะวันตก เขาเรียนเรื่องต่างๆกันแบบทฤษฎี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ที่ทุกคนต่างเกิดไม่ทัน ก็ได้แต่สันนิษฐานตั้งทฤษฎีจากหลักฐานเท่าที่มี แล้วนักประวัติศาสตร์ก็มักมีความคิดความเห็นแตกต่างกันออกไปในทุกเรื่อง
{ ต่อไปเมืองไทยควรมีการสอนประมาณว่า "นักเรียนคิดว่า พระองค์ดำ ชื่อนเรศวร หรือ นเรศ กันแน่?" หรือ "นักเรียนคิดว่าพระองค์ดำเป็นคนน้ำใจดีหรือโหดร้าย หรือทรยศต่อหงสาวดีหรือไม่?" อะไรทำนองนี้ ไม่ใช่ยัดเยียดให้เชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ }
วิทยาศาสตร์ก็เหมือนกัน มันจะแยกเป็น
1. "ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์" คือสิ่งที่ประจักษ์แล้วว่าจริง เช่น น้ำประกอบด้วยอ็อกซิเจน, ดวงจันทร์โคจรรอบโลก
2. "ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์" คือสิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ หรือไม่มีทางชี้ชัดฟันธงได้ เช่น โลกกำเนิดอย่างไร, มนุษย์มาจากไหน, ในอวกาศไกลออกไปเวลาตรงกับบนโลกหรือไม่, จักรวาลคืออะไร เป็นแบบไหน
ซึ่งไอ้ส่วนของทฤษฎีนี่แหละที่ทำให้มนุษย์มีการค้นคว้าต่อไป เพราะถ้ารู้คำตอบหมดแล้วป่านนี้คงไม่ต้องมีการศึกษาจักรวาลอีกแล้ว ไม่ต้องศึกษาธรณีวิทยา ไม่ต้องศึกษาชีววิทยาและสำรวจธรรมชาติต่อ
วิทยาการความก้าวหน้าของมนุษย์เราเวลานี้ สามารถเดินทางไปได้ไกลสุดแค่ดวงจันทร์ ส่วนยานอวกาศไร้คนขับถูกส่งไปไกลสุดเพียงระบบสุริยะชั้นนอก ใช้เวลาส่งไปกว่า 40 ปี
และสำหรับใต้มหาสมุทร เรายังสำรวจไม่หมด เพราะสิ่งมีชีวิตและวัตถุที่มันอยู่ในน้ำตื้นได้ มันก็ทนต่อความดันของน้ำลึกไม่ได้ ไอ้ที่อยู่ได้ก็คือสิ่งที่มันอยู่ใต้นั้นอยู่แล้ว
ใต้ดินก็เหมือนกัน เราถูกตำราเรียนยัดเยียดเข้ามาในสมองว่า ชั้นนั้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็มโนสันนิษฐานทั้งสิ้น
(นี่คือสิ่งที่เอามาสอนเด็ก แต่นักธรณีวิทยาในตะวันตก ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน และยังคงศึกษาต่อไป
จากเรื่อง The Core จะสอนให้เรารู้หลายๆทฤษฎีที่เป็นไปได้เกี่ยวกับลักษณะของโลกใต้ดิน และวิธีที่จะหาทางเจาะทะลุเข้าไปใต้โลกได้ ซึ่งก็ต้องบอกว่าเป็นเพียงมโนนะครับ ของจริงนั้นจะเป็นยังไง มีอะไรอยู่บ้าง แล้วจะหาทางไปได้ยังไง ยังไม่มีใครรู้
หนังนวนิยายวิทยาศาสตร์จึงไม่ได้โม้ แต่เป็นการจินตนาการและการตั้งทฤษฎี แล้วจินตนาการก็จะนำไปสู่การค้นคว้า
{ ต่อไปเมืองไทยควรมีสอนว่า "นักเรียนคิดว่า ถ้ามีเมืองใต้พิภพ สิ่งมีชีวิตที่อยู่ได้จะใช้ก๊าซอะไรหายใจแทนอ็อกซิเจน ?" หรือ "นักเรียนคิดว่า เราสามารถเดินทางลัดเวลาไปดาวอื่นด้วยวิธีไหนบ้าง ?" }