ว่าด้วยเรื่องสิ่งขับถ่ายที่น่าทึ่ง

วอมแบต ถ่ายมูลเป็นทรงลูกบาศก์


วอมแบต (Wombat) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งที่มีกระเป๋าหน้าท้อง หากินพืชในเวลากลางคืน มีรูปร่างอ้วนป้อม ขนนุ่ม หางสั้น ขาสั้น หนักประมาณ 40 กิโลกรัม และชอบการขุดโพรงเป็นชีวิตจิตใจ มีถิ่นอาศัยอยู่ในประเทศออสเตรเลีย หลายคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนว่าอุจจาระหรืออึของมันมีรูปทรงลูกบาศก์
 นักวิทยาศาสตร์ได้สันนิษฐานว่าการที่อึของมันกลายเป็นรูปทรงลูกบาศก์ ก็เพราะว่ามันต้องการปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศที่แห้งแล้งนั่นเอง โดยต้องรีดเอาความชื้นของออกจากกากอาหารของพวกเขานั่นเอง ยิ่งถ้าอากาศยิ่งแห้งมากเท่าไร รูปทรงอึของมันก็จะมีมุมเหลี่ยมมากขึ้นเท่านั้น
รวมถึงยังสันนิษฐานว่ามีความเป็นไปได้ว่าเจ้าตัววอมแบตอาจต้องการสร้างอาณาเขตของมันด้วยอึทรงลูกบาศก์อีกด้วย



นอกจากนี้ ยังมีนักวิจัยด้านวิศวกรรมจาก Georgia Institute of Technology ก็พบว่าเมื่อนำลำไส้สุกรมาเปรียบเทียบกับลำไส้ของวอมแบต ก็พบว่าลำไส้ของวอมแบตมีความยืดหยุ่นสูงมาก รวมถึงยังพบว่าในลำไส้มีร่องแคบแปลกๆ ที่ยื่นออกมาสองช่อง ซึ่งทำให้นักวิจัยพยายามศึกษาต่อไปว่าทำไมลำไส้ของวอมแบตถึงมีแค่ 2 ด้านทั้งๆ ที่มันควรมี 4 ด้านถึงจะสร้างอึเป็นรูปทรงลูกบาศก์ได้
ขอบคุณภาพจาก https://th.wikipedia.org/  https://ngthai.com/
Cr.https://www.facebook.com/ThaiPBSSciAndTech/posts/2385171364886737/ By Thai PBS Sci & Tech

 "กาแฟขี้ชะมด" 

 
 
กาแฟขี้ชะมด หรือ กาแฟชะมด (อินโดนีเซีย: Kopi Luwak, อังกฤษ: civet coffee) หมายถึงเมล็ดกาแฟที่สัตว์กลุ่มชะมดโดยเฉพาะคืออีเห็นข้างลาย (Paradoxurus hermaphroditus) ได้กินและถ่ายออกมาแล้ว 
นอกจากนั้นแล้ว ยังหมายถึงเครื่องดื่มกาแฟที่ทำมาจากเมล็ดกาแฟชนิดนี้ โดยที่คนอินโดนีเซียเรียกกาแฟชนิดนี้ว่า Kopi Luwak (โกปิ ลูวะก์) (ซึ่งคำว่า Kupi เป็นภาษาอินโดนีเซีย แปลว่า กาแฟ ส่วนคำว่า Luwak หมายถึงอีเห็นข้างลาย มีราคาซื้อขายที่สูงมาก



ผู้ผลิตการแฟอ้างว่า วิธีการที่ให้กำเนิดกาแฟนี้ เพิ่มคุณภาพผ่านกลไกสองอย่างคือ การคัดเลือกเมล็ด และการย่อย คือ ชะมดจะเลือกกินเมล็ดกาแฟซึ่งมีคุณภาพที่ดีกว่า และกลไกการย่อยของชะมดอาจจะเพิ่มรสชาติของเมล็ดกาแฟ คือ ชะมดจะกินเมล็ดกาแฟพร้อมกับเนื้อเข้าไป และจะเกิดการหมักในทางเดินอาหาร เอนไซม์ Protease ซึ่งช่วยย่อยโปรตีนจะซึมเข้าไปในเมล็ด ทำให้เกิดเพปไทด์ที่สั้นกว่าและจำนวนกรดอะมิโนอิสระที่มากกว่า ส่วนเมล็ดจะผ่านระบบทางเดินอาหารของตัวชะมดจนกระทั่งถ่ายออกมา ซึ่งชาวไร่จะเก็บและนำผ่านกระบวนการผลิตต่อไป
ขอบคุณที่มา: https://www.facebook.com/WeRHumanity/photos/pcb.1738354016256236/1738353736256264/?type=3&theater ,
https://th.wikipedia.org/wiki/กาแฟขี้ชะมด
ขอบคุณภาพจาก https://www.77jowo.com/contents/48434
Cr.https://board.postjung.com/1079908

ฟอสซิลอุจจาระไดโนเสาร์


ซากอุจจาระของไดโนเสาร์พบได้ยากมาก โดยเฉพาะอุจจาระของสัตว์กินเนื้อเป็นอาหารที่มักเน่าสลายจนหมดสิ้น และต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่พอเหมาะพอดีจริงๆถึงจะกลายเป็นฟอสซิลได้ ส่วนที่หลงเหลืออยู่ก็มักจะไม่ใช่รูปทรงดั้งเดิมตั้งแต่แรกเพราะมักถูกสภาพแวดล้อมกัดกล่อนตามเวลาจนสังเกตุแทบไม่ออก
ฟอสซิลอุจจาระอันเล็กๆที่เราเห็นนั้นอาจมาจากไดโนเสาร์ตัวใหญ่มาก ซึ่งตอนแรกอาจกองใหญ่แต่ถูกดิน น้ำ ลม พัดพาจนทำให้เหลือก้อนเล็กนิดเดียวโดยทั่วไปฟอสซิลอุจจาระจะไม่มีกลิ่น กลายเป็นก้อนหินแข็งมาก องค์ประกอบสารอินทรีย์นั้นจะถูกแทนที่ด้วยสารอนินทรีย์ ซึ่งนั่นก็คือหินปูนนั่นเอง

ด๊อกเตอร์ คาเรน ชินา นักวิทยาศาตร์ได้เฉลยว่า ซากอุจจาระ ได้แสดงให้เห็นถึงอาหารที่สัตว์ดึกดำบรรพ์นั้นได้กินลงไป ทำให้ดู้ได้เจ้าตัวไหนชอบกินตัวไหน พูดง่ายๆคือ ทำให้รู้ถึงห่วงโซ่อาหารของมันได้
ตัวอย่างเช่น เจ้าคอปโปรไลต์บางชิ้นที่พบในท้องของเจ้าอิชไธโอซอร์มีสีดำปี๋ นักวิชาการเลยเดาว่าอาหารโอชารสของอิชไธโอซอร์คือ ปลาหมึกดึกดำบรรพ์นั่นเอง (น้ำหมึกสีดำ)
"องค์ประกอบอุจจาระสัตว์บ่งบอกได้ว่าเหยื่อที่ถูกหม่ำเป็นพืชหรือสัตว์ชนิดใดบ้าง สัตว์และพืชแต่ละชนิดมีธาตุบางตัวเข้มข้นต่างจากชนิดอื่น ถ้าพบเห็นซากกระดูกจะจะก็สามารถสรุปได้ว่า เจ้าของอุจจาระนั้นเป็นสัตว์ที่กินเนื้อ"
ที่มา https://en.wikipedia.org/wiki/Coprolite
https://tinyurl.com/y3ns7dm9
https://www.thairath.co.th/content/89043
https://poozeum.com/coprolites
Cr.https://www.facebook.com/1641807899431095/posts/2336735536604991/ By Chibi Chibi
Cr.http://coprolitebezoarstone.blogspot.com/2010/09/ เขียนโดย buaj 

กลิ้งขี้ไปรอที่ทางช้างเผือก



แมงกุดจี่ หรือด้วงขี้ควาย เป็นแมลงปีกแข็งที่กินมูลสัตว์เป็นอาหาร เมื่อพบกองมูลสัตว์ มันจะปั้นให้เป็นก้อนกลมและกลิ้งไปยังรังเพื่อจัดการกับอาหารอันโอชะหรือใช้เลี้ยงลูก   การหาทิศทางเพื่อนำอาหารกลับสู่รังด้วยเส้นทางที่ลัดตรงที่สุด เป็นเรื่องสำคัญยิ่งของแมงกุดจี่ เนื่องจากการหาอาหารของแมลงชนิดนี้เป็นเกมที่มีการแย่งชิงกันอย่างดุเดือด

นักวิทยาศาสตร์คณะหนึ่งพบว่า แมงกุดจี่ชนิดหนึ่งในแอฟริกาใต้ (Scarabaeus satyrus) ใช้แสงจากดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวฤกษ์ และทางช้างเผือก ในการบอกทิศทางเพื่อกลิ้งอาหารกลับรัง  มีสัตว์เพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่พบว่ารู้จักใช้ดาวในการนำทาง เช่น นก แมวน้ำ และมนุษย์ นี่เป็นครั้งแรกที่พบว่าแมลงใช้ประโยชน์จากดวงดาวด้วย และเป็นครั้งแรกที่พบว่าสัตว์ใช้ทางช้างเผือกในการบอกทิศทาง 

จากการทดลองในภาคสนาม นักวิทยาศาสตร์พบว่าในคืนที่ฟ้าใส แมงกุดจี่กลิ้งก้อนมูลสัตว์เป็นเส้นทางที่ไม่คดเคี้ยว แต่ในคืนที่ฟ้าปิดมีเมฆปกคลุม เส้นทางกลิ้งมูลจะคดเคี้ยววกวนเหมือนหลงทิศ
เมื่อทดลองซ้ำโดยนำแมงกุดจี่มาใส่หมวกเพื่อปิดท้องฟ้า บางตัวให้สวมหมวกใส มองทะลุเห็นท้องฟ้าได้ บางตัวสวมหมวกทึบมองไม่เห็นท้องฟ้า ผลปรากฏว่า ตัวที่เห็นท้องฟ้าหาทางกลับบ้านได้ตรงและลัดกว่าตัวที่มองไม่เห็นท้องฟ้า เป็นการยืนยันว่าแมงกุดจี่มองท้องฟ้าในการหาทิศทางจริง แต่สิ่งที่มันใช้จะเป็นดวงดาวหรือไม่ นักดาราศาสตร์ยังตั้งข้อกังขา เนื่องจากแมงกุดจี่มีดวงตาเล็ก ซึ่งไม่น่าจะมีกำลังแยกภาพดีพอจะมองเห็นจุดดาวได้

เพื่อเป็นการพิสูจน์ คณะนักวิจัยจึงย้ายการทดลองไปทำในโดมของท้องฟ้าจำลองโจฮันเนสเบิร์กเพื่อทดลองซ้ำด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ กัน เช่น ฉายเฉพาะดาวสว่าง ฉายเฉพาะแถบทางช้างเผือก หรือฉายดาวทั้งหมดเลียนแบบฟ้าจริง 
ผลการทดลองในท้องฟ้าจำลองให้ผลสอดคล้องกับภาคสนาม แต่ที่น่าสนใจก็คือ เมื่อฉายภาพเฉพาะทางช้างเผือกเพียงอย่างเดียว แมงกุดจี่หาทิศทางได้ดีเท่ากับเมื่อฉายภาพดาวทั้งท้องฟ้า ส่วนการฉายภาพแบบอื่นมีประโยชน์ในการบอกทิศน้อยกว่า
ใครที่ยังดูดาวไม่เป็น จงอายแมงกุดจี่
ที่มา:  Dung Beetles Use Milky Way for Orientation - sci-news.com
Cr.http://thaiastro.nectec.or.th/news/163/ รายงานโดย: วิมุติ วสะหลาย (wimut@hotmail.com)

อึทรายของปลานกแก้ว


ปลานกแก้วหนึ่งตัวเฉลี่ยสร้างทรายได้ประมาณหนึ่งกิโลกรัมต่อวัน จากการกินสาหร่ายที่ติดอยู่บนซากปะการังเก่า หาดทรายขาวๆ ที่เราเดินเล่นกันส่วนหนึ่งก็มาจากอึของบรรดาปลานกแก้วเหล่านี้
 
ปลานกแก้วอาศัยอยู่ในน่านน้ำเขตร้อนตลอดทั่วโลก หลังจากกลืนปะการังที่บดละเอียดแล้ว มันดูดซึมเฉพาะสารอาหารและถ่ายส่วนที่เหลือออกมาเป็นทราย มันทำอย่างนี้ได้ก็เพราะมีฟันที่แหลมคมคล้ายจะงอยปากนกแก้วและฟันกรามที่แข็งแรง ปลานกแก้วบางชนิดมีอายุยืนถึง 20 ปีโดยที่ฟันยังอยู่ครบทุกซี่
สิ่งที่ปลานกแก้วทำยังเป็นประโยชน์อีกอย่างหนึ่งด้วย การที่มันกินปะการังที่ตายแล้วรวมถึงสาหร่ายที่อยู่บนปะการังและเศษพืชอื่น ๆ เป็นการทำความสะอาดให้กับปะการังและรักษาแนวโขดหินปะการังให้อยู่ในสภาพดีเสมอ ถ้าไม่มีปลานกแก้วหรือสัตว์อื่น ๆ ที่ทำหน้าที่แบบนี้ สาหร่ายและตะไคร่น้ำก็จะขึ้นเกาะตามหินปะการังอย่างรวดเร็ว หนังสือชีวิตของปะการัง (ภาษาอังกฤษ) อธิบายว่า “บางคนบอกว่าถ้าไม่มีสัตว์กินพืชแบบนี้ ก็คงไม่มีปะการังแบบที่เราเห็นในทุกวันนี้”

หลังจากทำงานต่าง ๆ มาทั้งวัน ปลานกแก้วก็ต้องนอนในตอนกลางคืนด้วยซึ่งการนอนของมันก็ไม่ธรรมดา ปกติแล้วปลานกแก้วจะนอนซ่อนตัวอยู่ตามซอกหิน แต่ตอนกลางคืนแถบซอกหินก็เป็นบริเวณที่อันตรายด้วยเหมือนกันเพราะมีนักล่าขนาดใหญ่มากมาย การซ่อนตัวบริเวณนั้นไม่ได้ช่วยป้องกันมันไว้จากปลาฉลามที่หิวโหยเสมอไป
เพื่อให้ตัวมันปลอดภัยยิ่งขึ้น ปลานกแก้วบางตัวจึงผลิตเมือกออกมาเหมือนมุ้งที่ห่อตัวมันในตอนกลางคืน นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลเชื่อว่าเมือกนี้มีกลิ่นเหม็นซึ่งจะช่วยป้องกันมันไว้จากนักล่า
Cr.https://www.jw.org/th/หนังสือและสื่อต่างๆ/วารสาร/g201506/ข้อมูลทั่วไปของปลานกแก้วเครื่องผลิตทราย/
โดย JW.ORG / เว็บไซต์ทางการของพยานพระยะโฮวา


เรื่องราวอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับ “อุนจิ”
- ในอดีต ชาวอียีปต์โบราณใช้อึจระเข้กับน้ำผึ้งในการทำถุงยาง (หรืออะไรประมาณนั้น) เพื่อช่วยในการคุมกำเนิด


- Bill Gate ได้สมทบทุนคิดค้นเครื่องเปลี่ยนน้ำจากอึ ให้กลายเป็นน้ำที่สามารถดื่มได้
   (รายละเอียดสามารศึกษาได้ที่ลิงค์นี้  https://www.gatesnotes.com/Development/Omniprocessor-From-Poop-to-Potable)


- ในปี 2014 สหราชอาณาจักรได้เปิดตัวรถบัสที่ขับเคลื่อนด้วยพลังอึของมนุษย์ โดยเชื้อเพลิงหนึ่งถังจะมาจากอึของคน 5 คน-



ที่มา Buzzfeed
Cr.https://www.catdumb.com/18-things-abt-poops-064/ By อดีตเหมียว

ขอขอบคุณที่มาข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่