หนูเป็นเด็กใหม่ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพี่ๆ ในออฟฟิศต้องแบ่งกลุ่มนินทากัน

สวัสดีค่ะ หนูเริ่มทำงานตั้งแต่ช่วงต้นปี ตอนนี้ก็ทำมาได้ประมาณ 1 เดือน แล้วค่ะ
ด้วยความที่หนูเป็นเด็กใหม่ ต้องเรียนรู้งานจากพี่ๆ หลายคนในแผนกค่ะ แล้วพี่ๆ
เขาก็ใจดีมาก เป็นกันเองมาก จากตอนแรกที่หนูกลัวว่าจะทำงานไม่ได้ เพราะว่า
ไม่มีประสบการณ์มาก่อน แต่พี่ๆ ก็ใจเย็นมากๆ หนูทำงานผิด หนูไม่เคยโดนด่า
หรือโดนตำหนิเลย แต่พี่ๆ จะสอนว่าผิดตรงไหน และต้องแก้ไขยังไง หนูรู้สึกว่า
เป็นเหมือนออฟฟิศในฝันเลยค่ะ....แต่ !!!

เรื่องที่หนูรู้สึกอึดอัด และรู้สึกว่าออฟฟิศเริ่มไม่น่าอยู่ เพราะว่าพี่ๆ ในแผนกได้
แบ่งออกเป็น 2-3 กลุ่ม (หรืออาจจะมากกว่านั้น อันนี้หนูก็ไม่รู้) ซึ่งก็มีพี่บางคน
ที่หวังดีกับหนู มาเล่าให้ฟังว่า พี่คนนั้น ไม่ถูกกับพี่คนนี้ พี่กลุ่มนั้น มีปัญหากับ
พี่กลุ่มนี้ เพราะว่า บลา บลา บลา ระวังพี่คนนี้ไว้นะ อย่าไปสนิทมาก อะไรแบบนี้
ซึ่งหนูรู้สึกว่า หนูมาทำงาน หนูมาหาเงิน หนูอยากเรียนต่อปริญญาตรี จะได้มี
งานดีๆ ทำในอนาคต หนูไม่อยากเข้าไปอยู่ในวงนินทา หรือมีปัญหากับพี่คนไหน

และตอนนี้หนูรู้สึกว่า ตัวหนูเองเริ่มจะถูกดึงเข้ากลุ่ม แต่หนูไม่อยากเลือกข้าง
หนูอยากจะทำงานกับพี่ๆ ทุกคน (อย่างที่เล่าตั้งแต่ต้นว่า พี่ๆ ทุกคนดีกับหนูมาก)
บางครั้ง พี่คนหนึ่งมาชวนหนูไปทานข้าวกลางวันด้วย หนูก็ไปนะคะ เดี๋ยวพี่เขา
จะหาว่าหนูหยิ่ง พอกลับเข้ามาทำงานช่วงบ่าย ก็จะมีพี่อีกคนมาแอบถามประมาณ
ว่าไปกินข้าวกับพี่คนนั้นมาหรอ เขาพูดอะไรเกี่ยวกับพวกพี่บ้างหรือปล่าว
น้องก็ฟังหูไว้หูละกัน นี่พี่เตือนเพราะหวังดีนะ

ครั้งล่าสุดเมื่อวันศุกร์นี้เอง หนูทำ OT กับพี่อีก 2 คน (พี่ 2 คนนี่สนิทกันมาก)
ช่วงทำ OT ก็ทำงานบ้าง เม๊ามอยส์กันบ้าง แต่ไม่ค่อยทำงานเท่าไหร่ค่ะ
เพราะหัวหน้ากลับบ้านแล้ว ส่วนใหญ่จะพูดถึงพี่อีกกลุ่มในแผนกมากกว่า
และก็พูดถึในทางที่ไม่ดีเท่าไหร่ค่ะ (หนูไม่ขอเล่าในที่นี้นะคะ)
จนสุดท้ายก่อนเลิกงาน พี่ๆ ก็บอกว่า พวกพี่ไม่มีอะไรหรอก ชอบพูดกันตรงๆ
แบบนี้แหละ คิดอย่างไงก็พูดอย่างงั้น ไม่เหมือนบางคน ปากอย่างใจอย่าง
หนูระวังจะเป็นเหยื่อนะคะ พี่อีกคนก็พูดเสริมประมาณว่า แกก็ไปพูดให้น้องมันกลัว
กลุ่มนั้นเค้ามีแต่นางฟ้า ไม่ใช่นางมารแบบพวกเราหรอก อิอิ
ซึ่งหนูก็ได้แต่ยิ้มอ่อน และพูดว่า ค่ะ

หนูยังอยากทำงานที่นี่ต่อค่ะ แต่หนูไม่อยากเลือกข้าง หนูควรทำอย่างไรดีคะ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 47
หนูขออนุญาต ขอบคุณพี่ๆ ทุกคนใน Comment นี้เลยทีเดียวนะคะ
ที่หลายคนตั้งใจเข้ามาตอบ เข้ามาให้คำแนะนำดีๆ (อันนี้หนูรู้สึกรับรู้ได้จริงๆ)
หนูขอขอบคุณจากใจจริงๆ นะคะ (หนูอ่านทุก Comment ค่ะ)
---------------------------------------------------------------------------------------
หนูอายุ 19 ปีแล้วค่ะ ถึงยังไม่บรรลุนิติภาวะ (ตามกฎหมายไทย)
แต่หนูก็เรียนจบ ปวส. แล้ว ก็ไม่ได้อินโนเซนส์ จนถึงขนาดมองไม่ออกว่า
พี่ๆ ในออฟฟิศเขาคิดยังไง แต่ที่หนูรู้สึกกดดัน คือ หนูควรทำตัวอย่างไร
ถึงได้มาตั้งกระทู้ในพันทิพค่ะ เพราะในสมัยเรียน ส่วนใหญ่จะเน้นแซวกัน
มากกว่า ส่วนคนที่ไม่ถูกกันจริงๆ ก็ตบกันเลย ไม่มาเล่นสงครามประสาทกัน
แบบในออฟฟิศที่หนูทำงานอยู่ค่ะ

หนูเข้าใจว่าพี่ๆ บางคนอาจจะรู้สึกหมั่นไส้ หรือด่าหนูในใจ หรือบางคน
คงสบถออกมาแล้ว (อันนี้เข้าใจได้ตามพื้นฐานการอบรมของแต่ละครอบครัว)
แต่สาเหตุหนึ่งคงเป็นเพราะการตั้งกระทู้นั้น เราจะเห็นแค่ตัวอักษร จึงอาจจะ
เข้าใจความหมายที่หนู (ผู้เขียน) ต้องการจะสื่อไม่ตรงกัน อันนี้หนูไม่โกรธค่ะ

หนูพิมพ์ซะเหมือนนางเอกเลย แต่จริงๆ แล้วหนูก็ร้ายค่ะ แต่ร้ายกับคนที่ไม่ดีเท่านั้น
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
หนูเอ๋ย
เพิ่งเริ่มทำงาน ชีวิตยังต้องไปอีกไกล

จะบอกความลับให้

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

อยากเป็นแบบไหน เลือกเอานะ
ความคิดเห็นที่ 11
ยินดีต้อนรับสู่สังคมออฟฟิศจ้ะ ^^

แสดงว่าดราม่าแรงพอตัว เพิ่งเข้ามาก็มีคนมานินทาใครให้ฟังซะแล้ว

สังคมออฟฟิศต่างจากสังคมในสถานศึกษาตรงที่มีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง ในวิชาหนึ่งอาจมีคนคะแนนท็อปได้หลายคน แต่ในงานโปรเจกต์หนึ่งตัวท็อปมีแค่คนเดียวหรือทีมเดียวเท่านั้น การแก่งแย่งจึงสูงกว่ามากค่ะ

คำแนะนำเบื้องต้นก็คือ ทำงานแล้วเอาตัวให้รอดไว้ก่อน มิตรภาพกินไม่ได้ สนิทกันแค่ไหน เมื่อเปลี่ยนบริษัทก็ถือว่าจบกันไป หาน้อยค่ะที่จะยังสังสรรพบเจอกันอยู่ (เพราะเวลาไม่มีจะเหลือ และไม่มีผลประโยชน์อะไรแล้ว) คุณไม่ควรให้ใจกับใคร ไม่ต้องแบ่งแยกว่าใครคนดีหรือคนเลว ขอแค่ทำงานร่วมกันได้ก็พอ

คุณสามารถเหยียบเรือสองแคมได้ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายเชื่อใจว่าคุณไม่เอาเขาไปนินทา เมื่อร่วมวงนินทาจึงควรรับฟังอย่างเดียว อย่างดีก็พยักหน้ารับรู้ อย่าไปแสดงอาการเห็นด้วยและยิ่งไม่ควรพูดเรื่องลบของคนอื่นให้เขาฟัง พวกนี้เขามองออกนะว่าคุณเอาเขาไปนินทากับอีกกลุ่มรึเปล่า เซ้นซ์แรง หัวไวค่ะ (หัวเราะ) จึงมีความเป็นไปได้ว่ายิ่งนานไป พวกเขาจะเลิกพาคุณเข้ากลุ่มในที่สุด แลกกันด้วยการไม่ถูกมองว่าอยู่ในกลุ่มเหมือนกัน เมื่อคุณไม่อยู่ในกลุ่มใดเลยก็ยิ่งต้องยืนคนเดียวให้ได้แข็งแรง ปัญหาน้อย แต่จะเปล่าเปลี่ยว กินข้าวด้วยกันหลังเลิกงานก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินพิกล ถึงตอนนั้นก็ขอให้วกกลับไปเรื่องที่ว่าในสังคมการทำงานไม่จำเป็นต้องมีเพื่อน ตราบใดที่ยังทำงานได้ ทุกอย่างยังโอเค หากคุณวางตัวได้ดี คุณจะอยู่ในฐานะคนกลาง ทำงานกับใครก็ได้ เคลียร์ความขัดแย้งได้ หรือถึงขั้นเป็นคนตัดสินข้อพิพาทได้ (เจ้านายจะชอบเพราะปัญหาหยุมหยิมมาไม่ถึงเขา) ซึ่งบริษัทที่มีวิสัยทัศน์จะให้ค่ากับคุณสมบัตินี้ค่ะ บางทีบริษัทอยากจะเก็บคุณไว้เพื่อบรรเทาความขัดแย้งโดยเฉพาะ ก็เป็นได้เหมือนกัน สำหรับคนเป็นหัวหน้าแล้ว ลูกน้องเหม็นหน้ากันนี่มันปัญหาระดับโลกเลยนะคะ เขาแค่ไม่สนใจถ้างานยังเดินได้ก็เท่านั้น

อีกกรณีนึงที่น่าสนใจ คือคุณจะเลือกข้างก็ได้ หากมีข้างใดให้ผลดีผลเสียกับคุณอย่างชัดเจน แม้เลือกข้างแล้ว ให้ความสนิทสนมมากกว่า ก็ใช่ว่าต้องเป็นปฏิปักษ์กับอีกข้างนี่นา แบบนี้ก็โอเคเหมือนกัน และข้างที่เราอยู่ด้วยนั้นจะสนับสนุนเราในฐานะพวกเดียวกันค่ะ ใช้เวลาศึกษาพวกเขาสักนิดว่าข้างไหนไว้ใจหรือให้ผลประโยชน์ได้มากกว่า

อย่าคิดนะคะว่าการเชลียร์รุ่นพี่ไม่มีความสำคัญ คุณอยู่ในสังคมอุปถัมป์ การเป็นที่เอ็นดูของผู้มีอำนาจแทบจะเป็นเรื่องใหญ่สุดด้วยซ้ำ บางคนทำงานแทบตายก็อยู่ไปอย่างนั้น บางคนทำงานแค่นิดหน่อยกลับได้รับคำชื่นชม บางคนทำงานปกติแต่ถูกขัดแข้งขัดขาประจำจนคนมองว่าทำงานห่วย นี่แหละคือความสำคัญของการ "อยู่เป็น"

ค่อยๆ เรียนรู้ไปค่ะ ไม่น่ากลัวหรอก แต่รู้ไว้แล้วกันว่าสังคมออฟฟิศไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร เพื่อนร่วมงานไม่เหมือนเพื่อนธรรมดาๆ อย่างไรก็ตาม ฉันรับประกันได้ว่าหากคุณให้ใจกับใครไป สักวันจะเสียใจที่มันไร้ค่าแน่นอน

ยินดีต้อนรับสู่วัยทำงานอีกครั้งค่ะ ขอให้โชคดีนะคะ เป็นกำลังใจให้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่