[มวยจีน] หย่งชุน หงกวน ไท้เก๊ก เส้าหลิน ต่างกันอย่างไร?

มวยจีนมีอยู่มากมายหลายรูปแบบ เช่น หย่งชุน หงกวน ไท้เก๊ก เส้าหลิน ฯลฯ จนจำกันได้ไม่หมด แล้วแต่ละสำนักก็มักจะชอบโอ้อวดว่าเพลงมวยของตนนั้นดีกว่าของสำนักอื่นๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วมวยจีนทุกรูปแบบล้วนแต่มีพื้นฐานมาจากสิ่งเดียวกันนั่นก็คือ "หลักหยินหยาง" 

         สิ่งที่ทำให้เพลงมวยแต่ละสำนักแตกต่างกันก็แค่ สำนักไหนมุ่งเน้นการใช้ธาตุหยินหรือธาตุหยางในการฝึกฝนเพลงมวยเท่านั้นเอง... ดังนั้น มวยจีนที่เห็นว่ามีอยู่มากมายนั้นก็สามารถแบ่งออกได้เป็นแค่ 2 ประเภทใหญ่ๆ เท่านั้นนั่นก็คือ เพลงมวยที่ใช้ธาตุหยินเป็นหลัก กับ เพลงมวยที่ใช้ธาตุหยางเป็นหลัก

         แล้วเพลงมวยทั้งสองประเภทมีความแตกต่างกันอย่างไรก็ตามมารับชมกันได้เลยครับ 

         เช่นเคยครับ สำหรับคนที่ไม่ชอบอ่านบทความยาวๆ ก็สามารถไปฟังคลิปกันได้นะครับ ยิ้ม

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
-----------------------------

         เริ่มจากเพลงมวยที่ใช้ "ธาตุหยาง" เป็นหลักกันก่อนนะครับ

         ตามคติของจีน ธาตุหยางคือธาตุสว่าง ถือเป็นธาตุแข็งที่มีคุณสมบัติคือความหนักแน่นและมั่นคง นับเป็นธาตุสัญลักษณ์ของเพศชายที่มีความแข็งกร้าวและดุดัน ดังนั้นวิชามวยที่ใช้ธาตุหยางเป็นหลักจึงมุ่งเน้นไปที่ การใช้พละกำลังโจมตีใส่คู่ต่อสู้อย่างรวดเร็วและรุนแรง

         เอกลักษณ์ของวิชามวยประเภทนี้ก็คือใช้กระบวนท่าที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน ทุ่มพละกำลังทั้งหมดโจมตีใส่อีกฝ่ายให้รุนแรงที่สุดชนิดที่ว่าเอาให้ Knock Out ไปเลย นอกจากการบุกแบบหนักหน่วงแล้ว เวลาที่อีกฝ่ายโจมตีกลับมาก็ต้านรับเอาไว้ด้วยพละกำลังที่เหนือกว่ามากกว่าที่จะใช้การหลบหลีก ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ใช้วิชามวยธาตุหยางจึงจำเป็นต้องฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่งแบบทั้งอึด ถึก ทน และนั่นก็ทำให้พวกเขามักมีรูปร่างใหญ่โตและมีกล้ามเนื้อที่หนาแน่น

         ตัวอย่างวิชามวยที่อยู่ในประเภทใช้ธาตุหยางนี้ก็คือ วิชามวยวัดเส้าหลิน ซึ่งเป็นวิชามวยที่นิยมในแถบประเทศจีนทางเหนือ วิชามวยธาตุหยางจึงได้ชื่อว่าเป็น "วิชามวยฝ่ายเหนือ"

         ความจริงแล้ววิชามวยประเภทนี้ไม่ใช่วิชามวยของชาวจีนแท้ๆ เพราะมีจุดกำเนิดมาจากประเทศอินเดียโดยพระภิกษุรูปหนึ่งที่เดินทางมายังประเทศจีนเพื่อเผยแพร่พุทธศาสนา... พระภิกษุรูปนี้ได้มาพำนักอยู่ที่วัดเส้าหลิน และเขาก็ได้สอนวิชามวยที่เขาคิดค้นขึ้นจากการนำท่วงท่าการทำโยคะมาประยุกต์เป็นกระบวนท่ามวยให้แก่นักบวชในวัดเส้าหลิน ซึ่งพระภิกษุรูปนี้ก็คือ "ปรมาจารย์ตั๊กม้อ" ผู้ให้กำเนิดวิชามวยวัดเส้าหลินนั่นเอง!

         และวิชามวยวัดเส้าหลินก็ได้กลายเป็นวิชามวยชั้นครูที่เป็นพื้นฐานของวิชามวยธาตุหยางอื่นๆ เช่น วิชามวยหงกวน (คิดค้นโดย หงซีกวน ลูกศิษย์คนหนึ่งของวัดเส้าหลินโดยได้แรงบันดาลใจมาจากการเคลื่อนไหวที่ดุดันของเสือ) รวมถึงวิชามวยหย่งชุนด้วย

         แต่วิชามวยหย่งชุนนั้นถือว่าเป็นวิชามวยธาตุหยิน เพียงแต่นำกระบวนท่ามวยของวัดเส้าหลินมาใช้และปรับเปลี่ยนให้มีความอ่อนนุ่มและพริ้วไหวมากขึ้นเพื่อให้เหมาะกับการเป็นวรยุทธ์ของสตรี (เพราะผู้คิดค้นคือ แม่ชีอู่เหม่ย) ดังจะเห็นได้ว่าแม้มวยหย่งชุนนั้นจะมีความอ่อนนุ่มพริ้วไหวแบบธาตุหยิน แต่กระบวนท่านั้นก็ยังมีลักษณะของการต้านรับการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามตามรูปแบบวิชามวยธาตุหยางมากกว่าที่จะใช้การหลบหลีกตามรูปแบบวิชามวยธาตุหยิน

-----------------------------

         ต่อมาก็เป็นเพลงมวยที่ใช้ "ธาตุหยิน" เป็นหลักนะครับ

         ตามคติของจีน ธาตุหยินคือธาตุมืด ถือเป็นธาตุอ่อนที่มีคุณสมบัติคือความนุ่มนวลและพริ้วไหว นับเป็นธาตุสัญลักษณ์ของเพศหญิงที่มีความอ่อนหวานและงดงาม ดังนั้นวิชามวยธาตุหยินจะมุ่งเน้นไปที่ การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างลื่นไหลและต่อเนื่อง

         เอกลักษณ์ของวิชามวยประเภทนี้ก็คือการใช้หลัก "ความอ่อนนุ่มสยบความแข็งกร้าว ความสงบสยบความเคลื่อนไหว" โดยหลบหลีกการโจมตีของคู่ต่อสู้ เลี่ยงการเข้าปะทะเพื่อถนอมกำลังของตัวเองเอาไว้ ใช้พละกำลังของร่างกายให้น้อยที่สุดจนเมื่อสบโอกาสก็สวนกลับด้วยความรวดเร็วและต่อเนื่อง (เหมือนอาจารย์ยิปมันที่รัวหมัดเข้าใส่คู่ต่อสู้แบบ ปั๊บๆๆๆๆ นั่นแล) ซึ่งวิชามวยประเภทนี้นับเป็นวิชามวยที่เหมาะกับคนจีนซึ่งมีรูปร่างเล็กและผอมบาง

         ตัวอย่างของวิชามวยธาตุหยินก็คือ มวยไท้เก๊ก ซึ่งเป็นวิชามวยของสำนักบู้ตึ๊ง... จะเห็นว่าวิชายุทธ์ของสำนักบู้ตึ๊งไม่ว่าจะเป็นวิชาดาบหรือมวยก็ล้วนแต่มุ่งเน้นความพริ้วไหวมากกว่าความดุดัน ตรงข้ามกับวิชายุทธ์วัดเส้าหลินที่เป็นขั้วตรงข้าม มีวิชาตัวเบาที่ล้ำเลิศ คนในสำนักนี้มักจะมีรูปร่างสะโอดสะอง ผู้หญิงมักสวย ผู้ชายมักหล่อ (อันนี้เริ่มนอกเรื่อง)

         วิชามวยประเภทนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศจีน จึงเป็นสัญลักษณ์ของ "วิชามวยฝ่ายใต้" ซึ่งเป็นวิชามวยของคนจีนแท้ๆ

-----------------------------

         ด้วยความที่มีวิชามวยสองประเภทที่แตกต่างกันและนิยมใช้กันคนละพื้นที่จึงทำให้เกิดสำนวนที่ว่า "เหนือเทิดทูนเส้าหลิน ใต้เชิดชูบู้ตึ๊ง" และทั้งสองสำนักต่างก็เป็นสองเสาหลักแห่งยุทธภพของจีน

         และนี่ก็คือความแตกต่างของวิชามวยจีนแต่ละประเภทครับ ยิ้ม

         สุดท้ายก็ขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่มารับชมกันนะครับ หากมี comment อะไรก็เชิญพูดคุยกันได้เลยครับ และขอความกรุณาใช้ถ้อยคำสุภาพเพื่อบรรยากาศแลกเปลี่ยนความรู้อันสร้างสรรค์นะครับ  
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่