ในปี 2002 กรุงปรากแห่งสาธารณรัฐเช็ก ได้พบกับเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ทำให้บ้านเรือนพังพินาศจนมีประชาชนกว่า 30,000 คนต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน แต่เป็นความโชคดีเพราะหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมจบลง ประเทศเช็กเกีย ก็ได้พบกับห้องปฏิบัติการใต้ดินจากศตวรรษที่ 16
นี่เป็นห้องปฏิบัติการนี้เชื่อกันว่าเคยถูกใช้ในการเล่นแร่แปรธาตุในสมัยก่อน ซึ่งมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการแปรธาตุอยู่อย่างครบครัน พร้อมกับทางลับที่เชื่อมไปยังสถานที่สำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นปราสาท โรงทหาร หรือแม้กระทั่งศาลากลางจังหวัด
แถมนับว่าเป็นความโชคดีมากที่กาลเวลาที่ผ่านไป บวกกับเหตุการณ์น้ำท่วม ไม่ได้ทำลายสถานที่แห่งนี้ไปมากเท่าที่คิด ทำให้เครื่องมือหลายๆ อย่างในที่แห่งนี้ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อย่างมีน่าเชื่อ
สถานที่แห่งนี้เชื่อกันว่าน่าจะเคยมีการใช้งานในสมัยของจักรพรรดิโรมันรูดอล์ฟที่สอง (เมื่อช่วงปี 1552-1612) ผู้ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการสนับสนุนศิลปะและวิทยาศาสตร์ จนทำให้กรุงปรากกลายเป็นผู้นำทางศิลปะและวิทยาการของยุโรปไปช่วงหนึ่ง
แต่การแร่แปรธาตุในสมัยนั้นก็ถูกมองว่าเป็นเรื่องที่มีความอันตรายสูง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่รูดอล์ฟที่สองจะจำเป็นต้องสร้างที่นี่ขึ้นมาอย่างลับๆ จนไม่มีใครหาพบเป็นเวลานานอย่างที่เห็น
ในปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้ได้รับการเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมศาสตร์การแปรธาตุในอดีตภายใต้ชื่อ “Speculum Alchemiae” (แปลตรงๆ ว่า “พิพิธภัณฑ์การแปรธาตุ” เลย) สืบไป
ที่มา ancient-origins
Cr.
https://www.catdumb.com/speculum-alchemiae-378/ By เหมียวศรัทธา
"ประวัติของวิชาเล่นแร่แปรธาตุ"
คำว่าเล่นแร่แปรธาตุนั้นภาษาอังกฤษใช้คำว่า Alchemy นั้นมีรากศัพท์มาจากภาษาอาหรับซึ่งประกอบด้วยคำว่า AL ที่เป็นคุณสรรพของภาษาอาหรับ (ประมาณ the ของภาษาอังกฤษ) ผสมกับ CHEMY ที่มีความหมายว่าธาตุ หรือ โลหะ
ทว่าก็มีบางคนแย้งว่าน่าจะมาจากคำว่า KHEM ที่มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่านักวิทยาศาสตร์ในภาษาอาหรับซึ่งมีความหมายโดยนัยถึงอียิปต์นั่นเอง(KHEMแปลว่าแผ่นดินดำซึ่งเป็นคำที่ชาวอาหรับเรียกอียิปต์) ทำให้ปัจจุบันก็ยังสรุปไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วมาจากทางไหนกันแน่
วิชานี้มีมาตั้งแต่2000ปีก่อน คริสต์-กาล หรือราว 4000 ปีก่อนในดินแดนแถบอารยธรรมอียิปต์และบาบิโลเนีย ซึ่งแน่นอนคนใช้ก็คือนักบวชนั่นเอง นักบวชนั้นเป็นชนชั้นสูงที่สุดในสังคมเพราะคือคนที่สนทนากับเทพพระเจ้าได้จึงต้องคัดคนที่เก่งจริงขึ้นมาและศึกษาความเป็นไปของโลกไปควบคู่กัน
วันทั้งวันจึงเอาแต่ศึกษาธรรมชาติจนเกิดความรู้แจ้งว่า ธรรมชาตินั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามแต่ประสงค์ของเทพซึ่งเค้ารู้ว่าประสงค์ของเทพคืออะไร และนั่นก็คือต้นกำเนิดวิชาเล่นแร่แปรธาตุนั้นเอง
ความสำเร็จของชาวอียิปต์นั้นน่าทึ่งมากเพราะพวกเค้าเป็นชนชาติแรกที่คิดค้น mortar หรือปูนฉาบได้ตั้งแต่ 4000 ปี ก่อนประวัติศาสตร์ และ คิดค้นแก้วได้ตั้งแต่ 1500 ปี ก่อนประวัติศาสตร์
เมื่อชนชาติกรีกและอียิปต์มีความสัมพันธ์ต่อกันจนในแพร่เข้ามาในยุโรปแปรเปลี่ยนเป็นวิชาเล่นแร่แปรธาตุในที่สุด
เขียนโดย โพรงกระต่ายในวันเดอร์แลนด์
Cr.
http://dozyrabbit.blogspot.com/2015/09/blog-post_36.html
“นิโคลัส เฟลมเมล” นักเล่นแร่แปรธาตุชื่อดัง ผู้สร้าง “ศิลานักปราชญ์” สสารในตำนาน
นิโคลัส เฟลมเมล (Nicolas Flamel) “นักเล่นแร่แปรธาตุ” ชาวฝรั่งเศส มีตัวตนอยู่จริงในช่วงปี ค.ศ. 1330 – ค.ศ. 1418 ชายผู้นี้ถูกยกให้เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของวงการนักเล่นแร่แประธาตุ และตัวเขาเองก็ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์หลายเรื่อง
– แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์
– Davinci Code
– indiana Jone’s
– As above, So below
นิโคลัส เฟลมเมล แต่งงานกับ เพอรีเนล (Perenelle) ในปี 1368 ทั้งคู่ร่ำรวย เป็นเจ้าของอสังหาฯ มีทรัพย์สินมากมาย และนำเงินบางส่วนไปสร้างโบสถ์ สร้างงานประติมากรรมต่างๆ ขึ้นด้วย ทำให้หลายคนสงสัยถึงความร่ำรวยและความใจบุญของทั้งคู่ เขาได้สร้างบ้านหลายหลังให้กับผู้ที่ยากจน
หนึ่งในนั้นยังคงอยู่ และกลายมาเป็นบ้านที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงปารีส ถูกใช้เป็นสถานที่ที่ผู้คน สามารถรับประทานอาหารฟรีได้ และสามารถอยู่ค้างคืนได้หนึ่งคืน โดยที่พวกเขาต้องแลกเปลี่ยนกับการสวดมนต์ เพื่อดวงวิญญาณของนิโคลัส แฟลมเมล
ก่อนที่นิโคลัส จะก้าวมาเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ เขาเคยทำงานเป็นจิตรกร นักเขียน เป็นคนขายหนังสือ ผู้ใช้ชีวิตในความลำบากยากจน ในช่วงกลางศตวรรษที่ 14 แฟลมเมลอาศัยอยู่ในห้องแคบเล็กๆ ของ Saint-Jacques la Boucherie ในปารีส ก่อนจะขยับขยายกิจการเล็กๆ ของตนเองไปซื้อบ้านหลังเก่าๆ ใน Rue de Marivaux และใช้พื้นที่ชั้นล่างเพื่อทำธุรกิจของเขา
ตามหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร ระบุว่า เขาเสียชีวิตในปี 1418 หลังจากที่ เพอรีแนล ภรรยาของเขาเสียชีวิตลง ทว่าบรรดาลูกศิษย์ของเขาเชื่อมั่นว่าอาจารย์ของเขายังมีชีวิตอยู่ ด้วยการค้นพบพลังสุดวิเศษของศิลาอาถรรพ์ หลังภรรยาเสียชีวิตลง นิโคลัส แฟลมเมล ก็ตัดสินใจเขียนบันทึกเรื่องราวของตนเองกับการเล่นแร่แปรธาตุ เพื่อตกทอดให้เป็นมรดกแก่บรรดาศิษย์ของเขาต่อไป
จนกระทั่งในราวปี 1618 มีการขุดคลุมศพของนิโคลัส แฟลมเมล หลังการหยิบประเด็นหนังสือล้ำค่าเล่มนั้น และพบแต่เพียงความว่างเปล่าในหลุมฝังศพ
นิโคลัส แฟลมเมล เป็นที่รู้กันถึงความสามารถด้านศิลปะลึกลับ และยังมีความรู้ทางการเล่นแร่แปรธาตุเก่าแก่ของอียิปต์และกรีกที่รุ่งเรืองในหมู่ชนอาหรับอีกด้วย ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปนักในช่วงศตวรรษที่ 14 กระทั่งคืนหนึ่งกับการฝันถึงข่าวดี เขาฝันเห็นทูตสวรรค์ยืนอยู่ต่อหน้าเขา ทูตสวรรค์ที่มีแสงส่องสว่างและมีปีกอย่างเทวา เขาแตะหนังสือในมือแล้วกล่าวว่า
“จงดูหนังสืองดงามนี้นิโคลัส แรกเริ่มเจ้าจักมิเข้าใจสิ่งใด ไม่มีใครใดเข้าใจ ทั้งเจ้าและผู้อื่น แต่วันหนึ่งเจ้าจักเห็นสิ่งซึ่งผู้อื่นไม่มีวันได้เห็น”
หนังสือเล่มนี้เองที่บอกเล่าถึงศิลาอาถรรพ์ ผ่านสัญลักษณ์การเล่นแร่แปรธาตุและข้อความ รวมถึงแผนภาพมากมายในหนังสือเล่มนี้ แต่เขาไม่เคยเข้าใจข้อความที่แท้จริงทั้งหมดในหนังสือ
กระทั่งอายุได้ 21 แฟลมเมลก็ตัดสินใจดั้นด้นหาความลับของหนังสือเล่มนี้ ไม่มีใครในปารีสช่วยเหลือเขาได้ เพราะเนื้อหาของหนังสือเต็มไปด้วยภาษาฮีบรูโบราณ เขียนโดยชาวยิว ซึ่งในช่วงเวลานั้นชาวยิวถูกขับไล่ออกจากฝรั่งเศส เขารู้ดีว่าชาวยิวอพยพไปอยู่ที่ใด แต่การจะไปถึงสเปนและเข้าไปในสเปนได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แฟลมเมลจึงตัดสินใจทำพิธีปฏิญาณตนที่ St James of Compostela และใช้การเป็นนักบวชนี้ออกแสวงบุญในสเปน
เขาใช้เวลาอยู่นานกว่าจะมีคนที่ให้ความช่วยเหลือเขาได้ นั่นก็คือ Maestro Canches ชายแก่ นำพาให้แฟลมเมลค้นพบความลับของหนังสือทีละน้อย เป็นเวลาถึงสามปีกว่าจะเข้าใจหนังสือเล่มนี้ และค้นพบความลับของศิลานักปราชญ์ในที่สุด
ศิลานักปราชญ์
ศิลานักปราชญ์ หรือ ศิลาอาถรรพ์ ในความหมายของนักเล่นแร่แปรธาตุคือธาตุที่เชื่อกันว่าเมื่อนำมาบดจะเปลี่ยนโลหะหนักให้กลายเป็นทองคำ บางครั้งยังเชื่อกันว่าเป็นยาอายุวัฒนะด้วย มีประโยชน์ทำให้กลับเป็นวัยหนุ่มสาว และอาจถึงขั้นบรรลุความเป็นอมตะ
ตามหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร ระบุว่า เขาเสียชีวิตในปี 1418 หลังจากที่ เพอรีแนล ภรรยาของเขาเสียชีวิตลง ทว่าบรรดาลูกศิษย์ของเขาเชื่อมั่นว่าอาจารย์ของเขายังมีชีวิตอยู่ ด้วยการค้นพบสุดวิเศษของศิลาอาถรรพ์ เป็นเวลาหลายศตวรรษ ที่มันเป็นเป้าหมายการแสวงหามากที่สุดในวงการการเล่นแร่แปรธาตุ
เชื่อกันว่าศิลานักปราชญ์มีคุณสมบัติทางเวทมนตร์หลายอย่าง การสร้างตะเกียงที่ลุกไหม้ชั่วกัลปาวสาน การเปลี่ยนผลึกธรรมดาให้เป็นอัญมณีมีค่าและเพชร ชุบชีวิตพืชที่ตายแล้ว การสร้างแก้วที่ยืดหยุ่นหรือนำมาตีเป็นแผ่นได้ หรือการสร้างโคลนหรือโกเลม
เล่นแร่แปรธาตุ เป็นปฐมบทของวิชาเคมีในปัจจุบัน เรียกว่ากำเนิดจากไสยศาสตร์มาเป็นรากฐานวิทยาศาสตร์(ชั้นสูง) ในยุคสมัยเก่า การเล่นแร่แปรธาตุ เป็นศาสตร์ที่มีมาแต่โบราณ ะมีเรื่องของศาสนาและจิตวิญญาณเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ศาสตร์นี้ได้รับการกล่าวถึงตั้งแต่สมัยกรีกโบราณโดยอริสโตเติล
นักเล่นแร่แปรธาตุเชื่อว่า ทุกอย่างในโลกประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ หากเปลี่ยนแปลงปริมาณของสี่ธาตุในวัตถุหนึ่งได้แล้ว ย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงวัตถุนั้นได้
สิ่งที่นักเล่นแร่แปรธาตุต้องการค้นพบ คือ ศิลานักปราชญ์ ซึ่งจะเปลี่ยนสสารใดๆให้กลายเป็นทองคำได้ รวมถึงการสร้างมนุษย์เทียมในหลอดแก้ว การเล่นแร่แปรธาตุแม้จะล้มเหลวแต่ก็เป็นรากฐานสำคัญให้วิทยาศาตร์หลายสาขาในกาลปัจจุบัน
ที่มา –
https://www.muggle-v.com/6678 ,
https://teen.mthai.com/variety/79801.html ,
Cr.
https://www.flagfrog.com/nicolas-flamel-philosopher-stone/ โดย ManoshFiz
การเล่นแร่แปรธาตุก่อเกิดวิชาเคมี
ประวัติศาสตร์ของการเล่นแร่แปรธาตุได้มีบันทึกว่า นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ Johann Glauber ซึ่งเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 1668 เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุคนสุดท้ายของโลก
แม้ Glauber จะมีอาชีพค้าสารเคมี เพราะเป็นเภสัชกรที่มีอาชีพปรุงยารักษาโรค แต่วิธีการทำงานของ Glauber ก็เป็นไปในแนวการทำงานของนักเคมียิ่งกว่านักเล่นแร่แปรธาตุ เพราะเขาจะชั่ง ตวง วัด สารประกอบต่างๆ และบันทึกข้อมูลอย่างละเอียด จนรู้ว่าต้องใช้กรดเกลือมากหรือน้อยเพียงใดในการ
เตรียมสารประกอบ sodium sulphate นอกจากนี้เขาก็รู้วิธีเตรียมเกลือ chloride โดยใช้วิธีหยดกรดลงบนออกไซด์ของโลหะด้วย
ดังนั้น Glauber จึงอาจเป็นผู้จุดประกายให้กำเนิดวิทยาการเคมี และในขณะเดียวกันเขาก็เป็นผู้ที่ทำให้วิทยาการการเล่นแร่แปรธาตุสิ้นสุดด้วย
อ้างอิง (อ่านเพิ่มเติม)
จาก Chymists and Chymistry: Studies in the History of Alchemy and Early Modern Chemistry โดย Lawrence M. Principe จัดพิมพ์โดย Chemical Heritage Foundation/Science History Publications ปี 2007 และ The Secrets of Alchemy โดย Lawrence M. Principe จัดพิมพ์โดย University of Chicago Press ปี 2012
(อ่านเพิ่มเติมได้ที่) Cr.
https://mgronline.com/science/detail/9570000134383 โดย: สุทัศน์ ยกส้าน
ขอขอบคุณที่มาข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา
“Speculum Alchemiae” ห้องปฏิบัติการเล่นแร่แปรธาตุใต้ดิน
นี่เป็นห้องปฏิบัติการนี้เชื่อกันว่าเคยถูกใช้ในการเล่นแร่แปรธาตุในสมัยก่อน ซึ่งมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการแปรธาตุอยู่อย่างครบครัน พร้อมกับทางลับที่เชื่อมไปยังสถานที่สำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นปราสาท โรงทหาร หรือแม้กระทั่งศาลากลางจังหวัด
แถมนับว่าเป็นความโชคดีมากที่กาลเวลาที่ผ่านไป บวกกับเหตุการณ์น้ำท่วม ไม่ได้ทำลายสถานที่แห่งนี้ไปมากเท่าที่คิด ทำให้เครื่องมือหลายๆ อย่างในที่แห่งนี้ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อย่างมีน่าเชื่อ
สถานที่แห่งนี้เชื่อกันว่าน่าจะเคยมีการใช้งานในสมัยของจักรพรรดิโรมันรูดอล์ฟที่สอง (เมื่อช่วงปี 1552-1612) ผู้ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการสนับสนุนศิลปะและวิทยาศาสตร์ จนทำให้กรุงปรากกลายเป็นผู้นำทางศิลปะและวิทยาการของยุโรปไปช่วงหนึ่ง
แต่การแร่แปรธาตุในสมัยนั้นก็ถูกมองว่าเป็นเรื่องที่มีความอันตรายสูง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่รูดอล์ฟที่สองจะจำเป็นต้องสร้างที่นี่ขึ้นมาอย่างลับๆ จนไม่มีใครหาพบเป็นเวลานานอย่างที่เห็น
ในปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้ได้รับการเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมศาสตร์การแปรธาตุในอดีตภายใต้ชื่อ “Speculum Alchemiae” (แปลตรงๆ ว่า “พิพิธภัณฑ์การแปรธาตุ” เลย) สืบไป
ที่มา ancient-origins
Cr.https://www.catdumb.com/speculum-alchemiae-378/ By เหมียวศรัทธา
ทว่าก็มีบางคนแย้งว่าน่าจะมาจากคำว่า KHEM ที่มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่านักวิทยาศาสตร์ในภาษาอาหรับซึ่งมีความหมายโดยนัยถึงอียิปต์นั่นเอง(KHEMแปลว่าแผ่นดินดำซึ่งเป็นคำที่ชาวอาหรับเรียกอียิปต์) ทำให้ปัจจุบันก็ยังสรุปไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วมาจากทางไหนกันแน่
วิชานี้มีมาตั้งแต่2000ปีก่อน คริสต์-กาล หรือราว 4000 ปีก่อนในดินแดนแถบอารยธรรมอียิปต์และบาบิโลเนีย ซึ่งแน่นอนคนใช้ก็คือนักบวชนั่นเอง นักบวชนั้นเป็นชนชั้นสูงที่สุดในสังคมเพราะคือคนที่สนทนากับเทพพระเจ้าได้จึงต้องคัดคนที่เก่งจริงขึ้นมาและศึกษาความเป็นไปของโลกไปควบคู่กัน
วันทั้งวันจึงเอาแต่ศึกษาธรรมชาติจนเกิดความรู้แจ้งว่า ธรรมชาตินั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามแต่ประสงค์ของเทพซึ่งเค้ารู้ว่าประสงค์ของเทพคืออะไร และนั่นก็คือต้นกำเนิดวิชาเล่นแร่แปรธาตุนั้นเอง
ความสำเร็จของชาวอียิปต์นั้นน่าทึ่งมากเพราะพวกเค้าเป็นชนชาติแรกที่คิดค้น mortar หรือปูนฉาบได้ตั้งแต่ 4000 ปี ก่อนประวัติศาสตร์ และ คิดค้นแก้วได้ตั้งแต่ 1500 ปี ก่อนประวัติศาสตร์
เมื่อชนชาติกรีกและอียิปต์มีความสัมพันธ์ต่อกันจนในแพร่เข้ามาในยุโรปแปรเปลี่ยนเป็นวิชาเล่นแร่แปรธาตุในที่สุด
เขียนโดย โพรงกระต่ายในวันเดอร์แลนด์
Cr.http://dozyrabbit.blogspot.com/2015/09/blog-post_36.html
– แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์
– Davinci Code
– indiana Jone’s
– As above, So below
นิโคลัส เฟลมเมล แต่งงานกับ เพอรีเนล (Perenelle) ในปี 1368 ทั้งคู่ร่ำรวย เป็นเจ้าของอสังหาฯ มีทรัพย์สินมากมาย และนำเงินบางส่วนไปสร้างโบสถ์ สร้างงานประติมากรรมต่างๆ ขึ้นด้วย ทำให้หลายคนสงสัยถึงความร่ำรวยและความใจบุญของทั้งคู่ เขาได้สร้างบ้านหลายหลังให้กับผู้ที่ยากจน
หนึ่งในนั้นยังคงอยู่ และกลายมาเป็นบ้านที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงปารีส ถูกใช้เป็นสถานที่ที่ผู้คน สามารถรับประทานอาหารฟรีได้ และสามารถอยู่ค้างคืนได้หนึ่งคืน โดยที่พวกเขาต้องแลกเปลี่ยนกับการสวดมนต์ เพื่อดวงวิญญาณของนิโคลัส แฟลมเมล
ก่อนที่นิโคลัส จะก้าวมาเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ เขาเคยทำงานเป็นจิตรกร นักเขียน เป็นคนขายหนังสือ ผู้ใช้ชีวิตในความลำบากยากจน ในช่วงกลางศตวรรษที่ 14 แฟลมเมลอาศัยอยู่ในห้องแคบเล็กๆ ของ Saint-Jacques la Boucherie ในปารีส ก่อนจะขยับขยายกิจการเล็กๆ ของตนเองไปซื้อบ้านหลังเก่าๆ ใน Rue de Marivaux และใช้พื้นที่ชั้นล่างเพื่อทำธุรกิจของเขา
ตามหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร ระบุว่า เขาเสียชีวิตในปี 1418 หลังจากที่ เพอรีแนล ภรรยาของเขาเสียชีวิตลง ทว่าบรรดาลูกศิษย์ของเขาเชื่อมั่นว่าอาจารย์ของเขายังมีชีวิตอยู่ ด้วยการค้นพบพลังสุดวิเศษของศิลาอาถรรพ์ หลังภรรยาเสียชีวิตลง นิโคลัส แฟลมเมล ก็ตัดสินใจเขียนบันทึกเรื่องราวของตนเองกับการเล่นแร่แปรธาตุ เพื่อตกทอดให้เป็นมรดกแก่บรรดาศิษย์ของเขาต่อไป
จนกระทั่งในราวปี 1618 มีการขุดคลุมศพของนิโคลัส แฟลมเมล หลังการหยิบประเด็นหนังสือล้ำค่าเล่มนั้น และพบแต่เพียงความว่างเปล่าในหลุมฝังศพ
“จงดูหนังสืองดงามนี้นิโคลัส แรกเริ่มเจ้าจักมิเข้าใจสิ่งใด ไม่มีใครใดเข้าใจ ทั้งเจ้าและผู้อื่น แต่วันหนึ่งเจ้าจักเห็นสิ่งซึ่งผู้อื่นไม่มีวันได้เห็น”
หนังสือเล่มนี้เองที่บอกเล่าถึงศิลาอาถรรพ์ ผ่านสัญลักษณ์การเล่นแร่แปรธาตุและข้อความ รวมถึงแผนภาพมากมายในหนังสือเล่มนี้ แต่เขาไม่เคยเข้าใจข้อความที่แท้จริงทั้งหมดในหนังสือ
กระทั่งอายุได้ 21 แฟลมเมลก็ตัดสินใจดั้นด้นหาความลับของหนังสือเล่มนี้ ไม่มีใครในปารีสช่วยเหลือเขาได้ เพราะเนื้อหาของหนังสือเต็มไปด้วยภาษาฮีบรูโบราณ เขียนโดยชาวยิว ซึ่งในช่วงเวลานั้นชาวยิวถูกขับไล่ออกจากฝรั่งเศส เขารู้ดีว่าชาวยิวอพยพไปอยู่ที่ใด แต่การจะไปถึงสเปนและเข้าไปในสเปนได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แฟลมเมลจึงตัดสินใจทำพิธีปฏิญาณตนที่ St James of Compostela และใช้การเป็นนักบวชนี้ออกแสวงบุญในสเปน
เขาใช้เวลาอยู่นานกว่าจะมีคนที่ให้ความช่วยเหลือเขาได้ นั่นก็คือ Maestro Canches ชายแก่ นำพาให้แฟลมเมลค้นพบความลับของหนังสือทีละน้อย เป็นเวลาถึงสามปีกว่าจะเข้าใจหนังสือเล่มนี้ และค้นพบความลับของศิลานักปราชญ์ในที่สุด
ตามหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร ระบุว่า เขาเสียชีวิตในปี 1418 หลังจากที่ เพอรีแนล ภรรยาของเขาเสียชีวิตลง ทว่าบรรดาลูกศิษย์ของเขาเชื่อมั่นว่าอาจารย์ของเขายังมีชีวิตอยู่ ด้วยการค้นพบสุดวิเศษของศิลาอาถรรพ์ เป็นเวลาหลายศตวรรษ ที่มันเป็นเป้าหมายการแสวงหามากที่สุดในวงการการเล่นแร่แปรธาตุ
เชื่อกันว่าศิลานักปราชญ์มีคุณสมบัติทางเวทมนตร์หลายอย่าง การสร้างตะเกียงที่ลุกไหม้ชั่วกัลปาวสาน การเปลี่ยนผลึกธรรมดาให้เป็นอัญมณีมีค่าและเพชร ชุบชีวิตพืชที่ตายแล้ว การสร้างแก้วที่ยืดหยุ่นหรือนำมาตีเป็นแผ่นได้ หรือการสร้างโคลนหรือโกเลม
เล่นแร่แปรธาตุ เป็นปฐมบทของวิชาเคมีในปัจจุบัน เรียกว่ากำเนิดจากไสยศาสตร์มาเป็นรากฐานวิทยาศาสตร์(ชั้นสูง) ในยุคสมัยเก่า การเล่นแร่แปรธาตุ เป็นศาสตร์ที่มีมาแต่โบราณ ะมีเรื่องของศาสนาและจิตวิญญาณเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ศาสตร์นี้ได้รับการกล่าวถึงตั้งแต่สมัยกรีกโบราณโดยอริสโตเติล
นักเล่นแร่แปรธาตุเชื่อว่า ทุกอย่างในโลกประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ หากเปลี่ยนแปลงปริมาณของสี่ธาตุในวัตถุหนึ่งได้แล้ว ย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงวัตถุนั้นได้
สิ่งที่นักเล่นแร่แปรธาตุต้องการค้นพบ คือ ศิลานักปราชญ์ ซึ่งจะเปลี่ยนสสารใดๆให้กลายเป็นทองคำได้ รวมถึงการสร้างมนุษย์เทียมในหลอดแก้ว การเล่นแร่แปรธาตุแม้จะล้มเหลวแต่ก็เป็นรากฐานสำคัญให้วิทยาศาตร์หลายสาขาในกาลปัจจุบัน
ที่มา – https://www.muggle-v.com/6678 , https://teen.mthai.com/variety/79801.html ,
Cr.https://www.flagfrog.com/nicolas-flamel-philosopher-stone/ โดย ManoshFiz
แม้ Glauber จะมีอาชีพค้าสารเคมี เพราะเป็นเภสัชกรที่มีอาชีพปรุงยารักษาโรค แต่วิธีการทำงานของ Glauber ก็เป็นไปในแนวการทำงานของนักเคมียิ่งกว่านักเล่นแร่แปรธาตุ เพราะเขาจะชั่ง ตวง วัด สารประกอบต่างๆ และบันทึกข้อมูลอย่างละเอียด จนรู้ว่าต้องใช้กรดเกลือมากหรือน้อยเพียงใดในการ
เตรียมสารประกอบ sodium sulphate นอกจากนี้เขาก็รู้วิธีเตรียมเกลือ chloride โดยใช้วิธีหยดกรดลงบนออกไซด์ของโลหะด้วย
ดังนั้น Glauber จึงอาจเป็นผู้จุดประกายให้กำเนิดวิทยาการเคมี และในขณะเดียวกันเขาก็เป็นผู้ที่ทำให้วิทยาการการเล่นแร่แปรธาตุสิ้นสุดด้วย
อ้างอิง (อ่านเพิ่มเติม)
จาก Chymists and Chymistry: Studies in the History of Alchemy and Early Modern Chemistry โดย Lawrence M. Principe จัดพิมพ์โดย Chemical Heritage Foundation/Science History Publications ปี 2007 และ The Secrets of Alchemy โดย Lawrence M. Principe จัดพิมพ์โดย University of Chicago Press ปี 2012
(อ่านเพิ่มเติมได้ที่) Cr. https://mgronline.com/science/detail/9570000134383 โดย: สุทัศน์ ยกส้าน
ขอขอบคุณที่มาข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา