ช่างเย็บผ้า

ห้องเช่าเล็กๆที่ปิดตายมากว่าหนึ่งปี ห้องแถวซึ่งผมขับรถผ่านไปทำงานทุกวันจนจำแทบไมได่แล้วว่านานแค่ไหน วันนี้ลำแสงแดดเช้าส่องนำสายตาผมไปที่ป้ายเขียนตัวหนังตัวโตบนแผ่นพลาสติกสีเหลืองว่า รับ ปะ เปลี่ยน ซิบ แก้ทรง กางเกง ผมหมายตาไว้สองวันก่อนแล้วจึงแอบซ้ายจอดรถยุโรปตราดาวมือสองตรงฝั่งตรงข้ามร้าน มันมีที่ว่างอยู่พอดี
เจ้าของกิจการส่วนตัวนี้เป็นหญิงสาว ตัดผมสั้นแค่ต้นคอ ไม่อ้วนไม่ผอม ผิวค่อนไปทางขาว อายุราวสามสิบต้นๆ ผิดจากคนรับจ้างซ่อมปะเสื้อผ้าคนอื่นๆที่ผมเคยเห็นส่วนใหญ่จะมีอายุมากกว่านี้

“เอาเสื้อผ้ามาให้ทำ”

ผมยื่นถุงผ้าให้เธอจัดการ ในใจก็นึกละอายนิดหน่อย ที่ไม่สามารถจัดการยึดกระดุมที่หลุดไปด้วยตัวเองได้ สนชายกางเกงที่หลุดมาข้างละสี่ถึงห้าเซ็นติเมตร ถ้าต้องคิดว่าภรรยาที่บ้านก็แก้ปัญหานี้ให้ผมไม่ได้ก็ยิ่งอายขึ้นมาเป็นสองหน่อย

“สอยกะดุมเม็ดหนึ่งนะคะพี่ กางเกงสองตัวก็เก็บชายกางเกงที่หลุดให้เรียบร้อย”
“เสื้อกางเกง ยี่ห้อแพงเลยนะคะเนี่ย”

เธอลุกขึ้นยืน พลิกป้ายยี่ห้อขึ้นมาดูแว๊บหนึ่งก่อนเอากระดาษสี่เหลี่ยมเล็กๆ จดรายการที่ต้องทำติดกับเสื้อด้วยเข็มหมุดหัวสีชมพู พับเสื้ออย่างบรรจงต่างจากที่ผมรวบๆใส่ถุงโยนขึ้นรถมา เขย่งเท้าเปลือยวางถุงในชั้นวางของข้างประตู
ตอนเธอก้มตัวจดรายการที่ต้องทำ เสื้อบอลฉายาผีแดงเกรดก๊อบที่เธอใส่เผยอให้เห็นเนินอกขาว

“งานเยอะเลยนะ”
เสียงผมกลับแหบพล่าขึ้นมา จากการประเมินงานที่วางอยู่บนชั้นและกองถุงผ้าข้างจักรเก่าสีดำที่เป็นเครื่องทำมาหากินของเธอ

“ก็เรื่อยๆ ค่ะพี่”
เธอดูถ่อมตนในทักษะของการเป็นช่างมืออาชีพเสียจริง พูดพลางยิ้มให้ลูกค้าใหม่อย่างผม หรือยิ้มให้กับสายตาผมที่จ้องเธออยู่ก็ไม่รู้

“รอไปเลยไหมค่ะ ซักสิบนาที”
เธอคว้าถุงนั้นกลับมาแนบไว้กับอก มองไปที่เก้าอี้พลาสติกสีแดงสดอีกตัว พลางขยับพัดลมขนาดยี่สิบนิ้วที่มีอยู่ตัวเดียวให้หันมาทางลูกค้าอย่างผม โอ นี่ผมเจอยอดนักบริการมืออาชีพเข้าให้แล้ว

“ไม่.. ไม่ดีกว่า งานน้องเยอะ พี่ไม่ได้รีบใช้ เสร็จวันไหนให้พี่โทรมาถามไหม”
ไม่รู้อะไรที่ทำให้ผมบอกว่าไม่รีบ ทั้งที่เสื้อผ้าชุดนี้ผมจะใส่ในงานเกษียนอาทิตย์หน้า

“พี่จอดรถไว้ฝั่งโน้น ไม่รู้เกะกะเขาหรือเปล่า” ผมอยากคุยกับเธออีก เร้าหรือมากอาจดูโจ่งแจ้งเกินไป

เธอยืนมองรถเก๋งสีเทาเข้มคันโตที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วยิ้มน้อยๆ ก่อนบอกไลน์ของเธอ

......................................................................................................................................................................................................................

เธอชื่อป้อม เป็นคนโคราช เลิกกับแฟนมาได้ราวปีหนึ่ง เพราะเขาไปติดพันกับสาวที่ทำโรงงานอยู่ด้วยกันย่านอยุธยา เธอมีลูกสาวแล้วหนึ่งคนที่เกิดกับแฟนคนแรก แต่ไปฝากตายายเลี้ยงที่บ้านนอก ป้อมมีทักษะการตัดเย็บแบบนี้มาเพราะเคยเรียนตัดเย็บเสื้อผ้ามาก่อนที่วิทยาลัยการอาชีพแถวบ้าน แต่เรียนไม่จบเพราะมีแฟนเสียก่อน

“หนูผ่านอะไรมาเยอะพี่ ความสุขหน้าตายังไงไม่เคยรู้จัก แต่ต้องสู้กันต่อไป”
ต้อง..ต้องสู้กันต่อไป ผมเห็นด้วย

เธอเล่าว่าร้านตัดเย็บเสื้อผ้าที่ใส่ในชีวิตประจำวันนั้น ไม่สามารถสร้างเงินได้เหมือนในอดีต เพราะเสื้อผ้าสำเร็จรูปมีราคาถูกว่าเสื้อผ้าที่ตัดเย็บเอาเอง แบบเสื้อที่เห็นตามแมกกาซีนหรือหนังสือแฟชั่น ก็หาซื้อได้ไม่ยากและทันสมัยกว่า

เธอฉลาดในชีวิต ผมพาลคิดไปว่าตอนอายุเท่าเธอผมยังเป็นหนุ่มเจ้าสำราญอยู่เลย ไม่ได้คิดอะไรที่มันดีต่อชีวิตอะไรแบบนี้ และด้วยอายุที่แตกต่างกันราวพ่อกับลูก ผมแสดงความเมตตาด้วยการไลน์คุยกับเธอบ่อยๆ และหาเสื้อผ้าไปให้เธอซ่อมแซมอยู่เสมอ เรียกว่าถ้าฉีกเสื้อให้ขาดจนไม่อาจจับได้ว่าเจตนาได้ ผมคงทำไปแล้ว

ความสงสารหรือความปรารถนากันแน่นะ ที่ทำให้ชายสูงวัยต้องว้าวุ่นเช่นนี้ สาวหนึ่งที่ต้องต่อสู้เพียงลำพังคนเดียว เพื่อลูก เพื่อพ่อแม่ด้วยตัวลำพัง เธอคงเหงา นั่นคงเป็นแรงขับเคลื่อนอีกทางที่ทำให้ผมขยับเข้ามาใกล้ป้อมมากขึ้นหลังจากเรารู้จักกันมาได้สักเดือนหนึ่ง ชีวิตหลังเกษียนมันยืดยาวกว่าที่ใครคิด มันว่างเสียจนคิดว่าวันหนึ่งๆ มันยาวนานกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงเสียอีก

บ่ายวันหนึ่งผมไปหาป้อมโดยมีองุ่นกับฝรั่งกิมจูไปฝากเธอ ชวนเธอไปกินข้าวเย็นด้วยกันอีกครั้ง หลังจากเพียรชวนอยู่หลายหน
หลังมื้อค่ำ ที่ป้อมกุลีกุจอ ตักกับข้าว เติมเบียร์ และคุยอย่างกันเองสนุกสนานกว่าที่เคย เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่ผมได้สัมผัสมือสาวน้อยอีกครั้ง ได้รับการปรนนิบัติอย่างราชาในระหว่างมื้ออาหารอีกหน เธอเป็นคนดี คนดี ต้องมีคนเห็นและให้การสนับสนุน ผมคิดแบบนั้น

..........................................................................


ผมไปจอดรถมองห้องเช่าเล็กๆ ที่เคยเป็นร้านของป้อม ที่ผมเคยแวะจนคุ้นเคย
วันนี้มีป้ายเขียนตัวหนังตัวโตบนแผ่นพลาสติกสีเหลืองว่า
 “ให้เช่า”

ป้อม คนที่เคยปะชุนหัวใจที่เปื่อยยุ่ยของชายวัยหกสิบปีจากไปแล้ว ไปไหนไม่รู้และไม่มีสัญาณอะไรบอก ผมคิดถึงเธอ ไม่คิดโกรธแค้นเธอที่เธอหลอกเอาเงินผมไปก้อนหนึ่งเพื่อเอาไปรักษาแม่ที่ป่วยและจ่ายค่าเทอมลูกสาว ผมรู้ว่าเธอไม่ได้พูดความจริง

ผมนั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกสีแดงหม่น ไลน์เธอตืดต่อไม่ได้

ที่ไหนสักแห่ง เสื้อผ้าของผมสามสี่ชุด คงถูกเอาไปแขวนขายเป็นเสื้อผ้ามือสองดังที่เคยเห็นพวกมันแขวนอยู่ข้างฝานี้ ป้อมคงบอกกับคนที่จะมาซื้อว่า

“เสื้อผ้าดีๆ เจ้าของเขามาซ่อมแล้ว ไม่มารับคืน”
เหมือเธอเคยบอกผม

ปล. ห่างหายไปนาน แวะมาพูดคุย ติ ชม กันได้ เช่นเคยครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่