บทความตามใจฉัน “Nintendo, Sony and CD”

บทความตามใจฉัน “Nintendo, Sony and CD”
 
หลังจากดีล Sound Chip ของ Sony นั้นผ่านไปด้วยดี ความสัมพันธ์ระหว่าง Sony และ Nintendo ก็ใกล้ชิดยิ่งขึ้น
ต่อมาได้มีการทำสัญญาในการพัฒนา CD Add-on ของเครื่อง Super Famicom หรือ Super Nintendo Entertainment System (SNES) รวมถึงการผลิตเครื่อง SNES Third Party โดย Sony ที่สามารถที่เล่นเกม CD ได้ในตัวเมื่อปี 1988 มีข้อสังเกตว่าปีที่ทำสัญญานั้นเป็นเวลาก่อนที่ SNES จะวางจำหน่ายครั้งแรกที่ญี่ปุ่นถึง 2 ปีซึ่งหมายความว่าการพัฒนาต้นแบบของ SNES น่าจะก้าวหน้าถึงขั้นที่ใช้งานได้แล้วในเวลานั้น

การพัฒนา SNES-CD นี้มีพนักงานผู้ที่ออกแบบ Sound Chip ให้ Nintendo ตามที่เล่าถึงในบทความที่แล้วเป็นหัวหน้าทีมพัฒนาและโครงการก็คืบหน้าไปได้ด้วยดีเพียงแต่มีปัญหาร้ายแรงอยู่เรื่องหนึ่งคือ Sony และ Nintendo ไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันในการแบ่งผลประโยชน์ได้
 

 
บางแหล่งข้อมูลกล่าวว่า Sony และ Nintendo ไม่สามารถตกลงส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมการผลิตสื่อบรรจุเกมได้

บางแหล่งก็กล่าวว่า Sony ต้องการค่าธรรมเนียมการผลิตสื่อเกมที่เป็น CD ทั้งหมดเพราะใช้ CD format ของ Sony ส่วนค่า Loyalty การผลิตเกมแบบตลับยังเป็นของ Nintendo ตามเดิม ซึ่งรายได้จากค่าธรรมเนียมการผลิตสื่อเกมนั้นมหาศาลมาก Nintendo ย่อมไม่เห็นด้วย

อีกแหล่งก็กล่าวว่า Nintendo เกิดกลัวว่าหากค่ายเกมต่าง ๆ ทยอยไปผลิตเกมบนสื่อแบบ CD กันหมดจะทำให้ Sony มีอำนาจต่อรองมากขึ้นจนควบคุมไม่ได้ เพราะหากเกิดขึ้นจริงนั้นย่อมเท่ากับว่าเกมทุกเกมจะรันบน SNES ที่สร้างโดย Sony โดย Nintendo จะมีบทบาทน้อยลง เมื่อใดที่ Sony สร้างเครื่องคอนโซลของตนมาแทนที่เครื่องที่ออกแบบร่วมกับ Nintendo เมื่อนั้น Nintendo ก็จะถูกเขี่ยออกจากกระดานไป
 

 
ซึ่งไม่ทราบว่าสาเหตุข้อใดถูกต้องหรือจะเพราะสาเหตุที่ยกมาทั้งหมดนั้นถูกต้อง Nintendo จึงเลือกที่จะถ่วงดุจอำนาจและหาพาร์เนอร์ทางธุรกิจใหม่อย่างลับ ๆ  โดยพาร์เนอร์ใหม่จะต้องเชี่ยวชาญในเทคโนโลยี CD Disk และ CD Reader device รวมถึงการที่พาร์เนอร์คนนี้จะไม่คิดหรือไม่มีศักยภาพพอที่เข้ามาแข่งขันหรือแย่งชิงตลาดเครื่องเกมคอนโซลกับตน 

ด้วยคุณสมบัติดังกล่าวบริษัทที่ต้องตา Nintendo ในฐานะพาร์เนอร์คนใหม่ก็คือฟิลลิป (Philips) ที่เป็นทั้งพาร์เนอร์และคู่แข่งกับ Sony ในขณะนั้น
เพื่อการนี้ CEO ของ Nintendo of Japan สำนักงานใหญ่นั้น ได้มอบหมายให้ CEO ของ Nintendo of America และรองประธานอาวุโสมือกฎหมาย ฮาวเวิร์ด ลินคอล์น (คนเดียวกันกับที่เคยเล่าถึงในการก่อตั้ง ESRB Part ที่ 3 อ่านได้ใน Link ข้างล่าง https://www.facebook.com/pg/uptomejournal/photos/?tab=album&album_id=527726211141054) 
บินไปยังสำนักงานใหญ่ของ Philips ที่ยุโรปด้วยตนเองเพื่อเจรจาข้อตกลงในการสร้าง CD Add-on และ SNES-CD 
 

 
โดยทาง Philips ตกลงตามเงื่อนไขหลักที่ Nintendo ต้องการคือค่าธรรมเนียมการผลิตสื่อบรรจุเกมทั้งตลับและ CD จะตกเป็นของ Nintendo แต่เพียงผู้เดียว  

ส่วนเครื่องเกมคอนโซลของทาง Philips ที่ชื่อ Philips CD-i นั้น เมื่อดู Software ต่าง ๆ ที่ออกมาบนเครื่องนี้ผู้เขียนมองว่ามันเป็นเครื่อง CD interactive เพื่อความบันเทิงภายในบ้านมากกว่าที่จะเป็นเครื่องเกมคอนโซลซึ่งเป็นคนละตลาดกันกับ Nintendo และคาดว่า Nintendo เองก็คงมองแบบเดียวกันจึงทำให้ Philips มีคุณสมบัติ “ไม่มีศักยภาพพอที่เข้ามาแข่งขันหรือแย่งชิงตลาดเครื่องเกมคอนโซลกับตน” ครบถ้วนตามที่ต้องการ

และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน, ตอบแทนหรือมัดจำหรือเพื่อจุดประสงค์อื่น ๆ ที่ไม่ทราบแน่ชัด Nintendo ได้มอบสิทธิ์ในการผลิตเกมชื่อดังของตนสองเกมคือ Mario และ Zelda ให้แก่ทาง Philips ไปสร้างเกมลงบนเครื่อง CD-I อีกด้วย ซึ่ง Mario และ Zelda บนเครื่อง CD-I นั้นได้กลายเป็นเกมในตำนานที่ Nintendo ไม่แม้แต่จะอยากพูดถึงจนปัจจุบัน 
 

 
ถึงตรงนี้ผู้อ่านอาจจะสังเกตได้ว่าตอนที่ติดต่อให้ Philips สร้าง Add-on ให้นั้นในขณะเดียวกันก็ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญาหรือล้มเลิกโครงการร่วม SNES-CD กับ Sony แต่อย่างไร เรื่องนี้ฝ่ายบริหารปิดเงียบจนแม้แต่พนักงานฝั่ง Nintendo ผู้ผสานงานและร่วมโครงการกับ Sony เองก็ไม่เคยทราบเรื่อง ปล่อยการพัฒนาเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นที่ได้ต้นแบบที่ทำงานจริงได้แล้ว

สาเหตุที่ไม่แจ้งกับ Sony นั้นแหล่งข้อมูลก็คาดเยิ้มันไปต่าง ๆ นานา 
บ้างว่า Nintendo จงใจถือไพ่สองมือ ฝั่งไหนทำได้ดีกว่าและเงื่อนไขดีกว่าก็เลือกฝั่งนั้น 
บ้างก็ว่าเพื่อที่ให้ Sony ตั้งตัวไม่ทันในกรณีที่ Sony คิดจะเข้ามาแย่งชิงตลาดเครื่องเกมคอนโซลจริง ๆ 
ซึ่งเหตุผลที่แท้จริงคืออะไรนั้น ไม่มีใครทราบ
 
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม Nintendo ก็ต้องบอกเลิกสัญญาและยกเลิกโครงการกับ Sony อยู่ดี
และนี่กลายเป็นหนึ่งในความผิดพลาดครั้งใหญ่ของวงการเกม
เพราะ Nintendo เลือกที่จะบอกเลิกสัญญาด้วยวิธีที่เลวร้ายที่สุด
 

 
เดือนมิถุนายน ปี 1991 งาน Consumer Electronics Show ที่ชิคาโก้ ไม่ทราบวันที่ที่แน่ชัดแต่มีข่าวลงหนังสือพิมพ์ New York Time ในวันที่ 3 เดือนมิถุนายน ปี 1991 คาดว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นไม่นานนัก น่าจะอยู่ในช่วงวันที่ 31 พฤษภาคม ถึงวันที่ 2 เดือนมิถุนายน

โดย Sony เปิดเผยต่อสาธารณะว่าได้จับมือกับ Nintendo ในการร่วมพัฒนาเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่ที่สามารถเล่นเกมทั้งแบบตลับและแบบ CD ได้ ทั้งยังนำเครื่องต้นแบบมาโชว์ในงานอีกด้วย ผู้ชมตื่นเต้นกับข่าวนี้มากและรอประกาศจากทางฝั่ง Nintendo ว่าจะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ในวันถัดไป
 
วันต่อมา Nintendo เปิดเผยต่อสาธารณะถึงข่าวที่ว่าตนกำลังพัฒนาเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่ที่สามารถเล่นเกมทั้งแบบตลับและแบบ CD ได้นั้น “เป็นความจริง” โดยจะเป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่าง Nintendo 
“กับ Philips”
“ไม่ใช่ Sony”
 

 
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น อ้างอิงจากพาดหัวข่าวของ New York Time เค้าใช้คำว่า “Nintendo และ Philips ตบหน้า Sony”
อันที่จริงเรื่องที่ Nintendo จะไปร่วมมือกับ Philips นั้น อ้างอิงจากบทความของ Line Today ชื่อ “เมื่อ Nintendo หักหลัง Sony ศัตรูสุดแกร่งอย่าง PlayStation เลยได้แจ้งเกิด” ซึ่งอ้างอิงจากหนังสือ Game Over อีกทีว่า ทาง Sony รู้เรื่องนี้ก่อนวันงานแล้ว แต่รู้เพียงล่วงหน้าแค่ 2 วันจากหนังสือพิมพ์ Seattle Time ฉบับ วันที่ 31 พฤษภาคม 1991
โดยในบทความให้ความเห็นว่า Sony ยังคงเปิดตัวเครื่องรุ่นใหม่ต่อไปตามแผนเพื่อกดดันทาง Nintendo ให้กลับมาร่วมมือกันดังเดิม
 

 
เรื่องนี้นั้นในมุมของผู้เขียนแล้วคาดว่าเป็นอีกอย่าง
หนังสือพิมพ์ Seattle Time เป็นเพียงหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่วางจำหน่ายในรัฐซีแอตเทิลซึ่งอยู่สุดขอบตะวันตกของอเมริกาห่างจากชิคาโก้ที่จัดงานถึง 3320 กิโลเมตร ทีมงานที่ CES จึงยังไม่ได้ข่าวนี้ อีกทั้งยังมีปัญหาว่าเนื้อหาของข่าวน่าเชื่อได้แค่ไหนด้วย ผู้เขียนเดาใจผู้บริหารว่าเค้าคงปล่อยให้อะไรจะเกิดก็เกิดและ The Show Must Go on เพื่อไม่ให้ทีมที่อยู่หน้างานไขว้เขว ที่ผู้เขียนคิดเช่นนั้นก็เพราะเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในภายหลังได้แสดงให้เห็นว่า Sony มีศักยภาพพอที่จะแก้เกมได้ภายในไม่กี่นาทีหลังเกิดเรื่อง
 
โชคร้ายคือข่าวเป็นความจริง
ดังนั้นการที่ Sony ได้พูดก่อน Nintendo นั้นมองอีกมุมได้ว่าโชคดีแล้วเพราะถ้าต้องพูดทีหลังละก็ภาพที่ออกมาคงจะน่าเกลียดกว่านี้ คิดว่าถ้า Sony ได้พูดทีหลังก็คงจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับ SNES-CD เลยและเก็บของโชว์ออกไปเงียบ ๆ แทน
 

 
สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการซึ่งไม่ทราบอะไรเลยในงาน CES วันนั้นล้วนตกตะลึง ช๊อกกันสิ่งที่เกินขึ้น โดยเฉพาะคนจากฝั่ง Sony ที่ตกใจยิ่งกว่าใคร
ความตกใจนี้ได้กลายเป็นความไม่พอใจและแปลงเป็นความโกรธแค้นในที่สุด
 
เคยมีคำสอนกล่าวไว้ว่า “ความโกรธแค้นมีแต่ทำลาย ไม่ได้ช่วยสร้างอะไรเลย”
แต่เมื่อมีชีวิตอยู่ดูโลกมานานพอสมควร จะเห็นว่าคำสอนนั้น ไม่ได้ถูกต้อง 100%
จริงที่ว่าความโกรธแค้นมีแต่ทำลาย แต่นั้นเพราะความโกรธแค้นเป็นอารมณ์ที่รุนแรงจนยากจะควบคุม หลายครั้งเราจะได้เห็นในหน้าข่าวหรือหน้าประวัติศาสตร์ถึงบุคคลที่ปล่อยให้อารมณ์นำพาจนไม่เลือกทำในสิ่งที่เหมาะสมและทำลายทุกสิ่งที่ตนมี
ที่มีคำสอนแบบนั้นก็เพราะการควบคุมความโกรธแค้นทำได้ยากและมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ทำได้ แทนที่จะสอนให้ควบคุมซึ่งยากในการปฏิบัติจริงจึงมีคำสอนแบบครอบจักรวาล “ให้หลีกเลี่ยงความโกรธ” ซึ่งปฏิบัติได้ง่ายกว่าออกมา 
 

 
ในอีกมุมนึงแล้ว ความโกรธแค้นเป็นอารมณ์ที่หล่อเลี้ยงให้เกิดการมุ่งหมั่นและผลักดันในการทำบางสิ่งบางอย่างได้ดีที่สุด

เช่นโกวเจี้ยนที่ล่อเลี้ยงความแค้นของตนสะสมทหารและดำเนินกลยุทธ์ต่าง ๆ จนโค่นเจ้าแห่งแคว้นอู๋ หวางฟูไซ ล้างแค้นได้สำเร็จ

เช่นนายวิชัย ศรีวัฒนประภา อดีตแฟนทีมฟุตบอลเชลซีที่เกิดเรื่องกระทบกระทั้งระหว่างเข้าชมการแข่งขันจนคิดที่จะปั้นทีมฟุตบอลของตนมาสู้กับเชลซี

และในบางครั้งจำต้องควบคุมความแค้นไว้ให้ได้เพื่อการใหญ่และผลประโยชน์ในภาพรวม เช่นโจโฉที่ยอมละความแค้นจับมือกับเตียวสิ้วผู้ที่สังหารลูกของตัวเอง, ขุนพลคู่กายเตียนอุย, ทหารอีกหลักหมื่นและเคยเกือบสังหารตนสำเร็จ ยอมรับเป็นพันธมิตรเพื่อไม่ต้องระวังหลังในการรบกับอ้วนเสี้ยว
จะเห็นว่าหลาย ๆ สิ่ง ทั้งเป็นด้านที่ดีและไม่ดีบางครั้งก็มีจุดเริ่มต้นมาจากความความโกรธแค้นและผู้ที่ควบคุมมันได้สามารถที่จะทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้
 

 
วันนั้นความโกรธแค้นได้เกิดขึ้นในใจของพนักงานของ Sony 
โดยเฉพาะหัวหน้าทีมพัฒนาเอง

นี่นำมาสู่การตื่นของมังกรหลับอันนำพาความพินาศมาสู่บริษัทเกมคอนโซลต่าง ๆ ร่วมทศวรรษ

ทำให้ Nintendo ต้องจ่ายค่าผิดสัญญาย้อนหลังด้วยราคาที่สูงลิ่ว

และชื่อของหัวหน้าทีมพัฒนาคนนั้นจะหลอกหลอน Nintendo ไปตราบจนกว่าบริษัทจะเลิกกิจการ

ชื่อของเค้าคือ Ken Kutaragi (เคน คุตารากิ) ซึ่งต่อมารู้จักกันในอีกชื่อว่า
 

 
"บิดาแห่งเพลย์สเตชั่น"
 

 
ปล.ตอนนี้ผมได้เปิด Facebook Page “บทความตามใจฉัน” 
โดยบทความจะหลายหลากคละประเภทกันไปความตามความสนใจนั้นขณะนั้น ถ้าสนใจก็กดติดตามได้ครับ
https://www.facebook.com/uptomejournal/
 
 
REF
 
https://en.wikipedia.org/wiki/Super_Nintendo_Entertainment_System#Audio
 
https://www.eurogamer.net/articles/farewell-father-article
 
https://en.wikipedia.org/wiki/Super_NES_CD-ROM
 
https://www.nytimes.com/1991/06/03/business/nintendo-philips-deal-is-a-slap-at-sony.html
 
https://today.line.me/th/pc/article/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD+Nintendo+%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87+Sony+%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87+PlayStation+%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94-gXjNO8
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่