อาจจะเกิดความเข้าใจผิดที่ว่า "ความมี สเน่ห์ของศาสนาอิสลาม........คือมีเมียได้ 4 คน"

จาก: https://pantip.com/topic/39593623

ดร.โกวิท ได้อธิบายถึงหลักการของศาสนาอิสลามพอสังเขป ซึ่งผมไม่คิดว่า เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ หรือเป็นการประกาศศาสนาอิสลาม แก่ชาวไทยในสังคมที่มีผู้นับถือหลายๆศาสนาอยู่ร่วมกัน  สังคมไทยเราต้องการนักวิชาการประเภทที่มีใจเป็นธรรมต่อทุกๆศาสนา และเป็นผู้ที่มองทุกๆศาสนาในด้านดี  ด้านที่เป็นประโยชน์ ต่อสังคม  เพื่อการอยู่ร่วมกันด้วยความเข้าใจในความศรัทธาที่ถูกต้องของกันและกัน

ผมขอเสริมคำอธิบาย ของ ดร.โกวิท ในเรื่องการมีภรรยา 4 คน ให้สมาชิกได้เข้าใจอย่างถูกต้อง ตามบัญญัติที่ระบุไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน ในช่วงเวลาที่ซูเราะฮฺอันนิสาอ์หรือบท เหล่าสตรี ถูกประทานมานั้น เป็นช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของการที่สังคมอรับที่บูชาเจว็ดกำลังถูกเปลี่ยนให้เป็นสังคมมุสลิมหรืออิสลาม อรับในช่วงเวลานั้น มีการเลี้ยงทาส,แลกเปลี่ยนค้าขาย เชลยศึกทั้งหญิงและชาย ,มีฮาเล็ม สะสมนางบำเรอ, ทาสหญิงเป็นเครื่องบำเรอของผู้เป็นเจ้าของ  เยี่ยงตลาดโสเภณีฯลฯ.  ผู้ที่อ่อนแอในสังคมในช่วงเวลานี้ได้แก่ หญิงหม้ายในสภาวะสงคราม สามีตายหรือ สูญหายในสงคราม เด็กกำพร้าทั้งชายหญิง พระผู้สร้างได้ประทานซูเราะฮฺอันนิสาอ์หรือ บท เหล่าสตรี มาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและจัดระเบียบสังคมตามแบบฉบับอิสลาม 

     การเข้าใจขนบธรรมเนียม ประเพณีและสิ่งแวดล้อม ในช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลง จากความเชื่อถือที่ขาดวินัยของชาวอรับผู้บูชาเจว็ด  มาเป็นศาสนาที่จัดระเบียบวินัย ให้แก่การเป็นมนุษย์ที่มีระเบียบวินัยในการใช้ชีวิตแต่ละวัน  อย่างมีประโยชน์ อุทิศชิวิตแต่ละวันให้แก่พระผู้สร้าง คือปฏิบัติตนตามแนวทางที่วางไว้ในอัลกุรอาน  จะช่วยให้เข้าใจได้ว่า การอนุมัติให้มีภรรยาได้ไม่เกิน 4 คน ตามบัญญัติ 4:3 ในอัลกุรอานนั้น บัญญัติไว้เพื่อวัตถุประสงค์ในการ ช่วยเหลือหญิงหม้ายและเด็กหญิงกำพร้า ในสภาวะสงครามเท่านั้น

แม้กระนั้นก็ตาม ชาย จะมีภรรยาได้ไม่เกิน 4 คน ภายใต้เงื่อนไขที่เคร่งครัด ในการที่ชายจะต้องให้ความเสมอภาคและความยุติธรรมในทุกๆกรณี แก่ภรรยาทั้ง 4 คน แต่ถ้า ชายไม่อาจจะปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ ควรจะมีเพียงคนเดียว หลักการนี้บัญญัติใช้ในสภาวะสงครามและการปรับปรุงสภาพของสังคมในสมัยนั้น ซึ่งต้องการความเสียสละและความรับผิดชอบของชาย ในการให้ความคุ้มครองและความยุติธรรมต่อเพศหญิง ในสภาวะสงครามและหลังสงคราม และเป็นการยกฐานะทาสหญิงและเชลยศึกหญิง และเด็กหญิงกำพร้าให้เสมอภาพเท่าเทียมกับหญิงอิสระ ตรงนี้คือความชื่นชอบหรือความมีสเน่ห์ของศาสนาอิสลาม ตามที่ ดร. โกวิท หมายถึง...ตามความเข้าใจของผม

ด้วยเหตุนี้ ชายมุสลิม ที่ต้องการจะถือประโยชน์จาก บัญญํติ ที่ 4:3 และสมาชิกพันทิปบางท่านที่ข้องใจ  จะต้องเข้าใจว่า การมีภรรยา  4 คน ตามหลักการของศาสนาอิสลามนั้น สภาวะที่เหมาะสมก็คือ เมื่อสังคมอยู่ในสภาวะฉุกเฉินบรรดาหญิงที่จัดอยู่ในประเภทอ่อนแอ ต้องการความคุ้มกันเท่านั้น และต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เคร่งครัด ในการที่ชายจะต้องให้ความเสมอภาคและความยุติธรรมในทุกๆกรณี แก่ภรรยาทั้ง 4 คน แต่ถ้าชายไม่อาจจะทำได้จะต้องมีเพียงคนเดียวเท่านั้น

 ในสภาวะปัจจุบันจะต้องปฏิบัติตามกฏหมายของประเทศที่ตนอาศัยอยู่ และถึงแม้ในประเทศที่ใช้กฏหมายชาริอะ ความเสมอภาคและความยุติธรรมต่อภรรยา จะถูกบังคับตามกฏหมายเช่นกัน

 ดังนั้นความหมายของคำว่า "สเน่ห์" ที่ ดร. โกวิทใช้กับศาสนาอิสลาม เมื่อมองในทาง positive หมายถีง อิสลามเป็นศาสนาที่ทำให้คนนิยมและชื่นชอบ ตรง ที่ว่า  เป็นศาสนาที่จัดวางระเบียบสังคมโดยเริ่มจากการจัดระเบียบในครอบครัว การเปลี่ยนจากสังคมที่มีฮาเล็มเต็มไปด้วยนางบำเรอ บรรดาชายอรับ ผู้ที่เอารัดเอาเปรียบ หญิงหม่าย และเด็กหญิงกำพร้า และบรรดาหญิงเชลยจากสงคราม การสมสู่กับเพศหญิงที่อ่อนแอ ขาดผู้คุ้มครอง ศาสนาอิสลามออกบัญญัติ ห้ามการปฏิบัติที่ขาดศีลธรรมและขาดมนุษย์ธรรมตามที่ได้กล่าวมาแล้ว  การจัดระเบียบสังคมเริ่มจากการให้ความยุติธรรมและความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์ โดยการยกฐานะของทาสให้เท่าเทียมในความเป็นมนุษย์ด้วยกันโดยการแต่งงานหรือโดยการอุปถัมป์

หมายเหตุ  
    การแต่งงานกับเด็กหญิงกำพร้าตามประวัติศาสตร์ในสมัยเริ่มแรกของอิสลามนั้น เด็กหญิงกำพร้าจะต้องถึงวัยที่แต่งงานได้ ตามคุณสมบัติภายใต้บัญญัติ 4:6  การกำหนดอายุแต่งงานของเด็กหญิงให้กับชาวอรับเมื่อมาเข้ารับอิสลาม เป็นสิ่งสำคัญในการให้ความคุ้มครอง เด็กหญิงกำพร้า ให้พ้นจากการเอารัดเอาเปรียบ ของเพศชาย พ้นจากการทารุณกรรมของชายผู้มักมากทางการมณ์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่