เจอดีที่ม่อน..
มาๆ จะเล่าให้ฟัง เราไปเที่ยวเชียงใหม่ ช่วงประมาณปลายเดือน พ.ย. 59 ไปกัน 3 คน ไอ้คนเมืองก็อยากจะไปนอนบนดอยไง แต่ที่พักดีๆราคาจับต้องได้ก็เต็มหมด เหลือแต่แพงๆเลย ก็เลยได้ที่นี่มา (ไม่เอะใจเล้ยย ว่าทำไมมันว่าง 5555) พอไปถึงที่พัก ปรากฎว่ามันผิดจากที่คิดไว้มาก ห้องที่จะได้ตอนแรกมันช่างทึบ อับ แคบ เก่า ไม่เห็นเหมือนในรูปเลย T_T แต่ก็อย่างที่รู้ๆกัน บนม่อนที่พักค่อนข้างจะหายากถ้าไม่ได้จองล่วงหน้า จะเปลี่ยนที่ก็คงไม่ได้ เลยลองขอเปลี่ยนห้องดู โชคดีที่มีห้องว่าง ซึ่งเป็นห้องสุดท้าย อยู่ท้ายสุด ล่างสุด แต่โอเค วิวดี อากาศปลอดโปร่งกว่า เป็นบ้านที่อยู่ข้างๆต้นไม้สูงใหญ่ ประมาน 3 ต้น มีแต่ต้นไม้ ป่าๆดีนี่เอง แต่ก็ยังแคบ และเก่าอยู่ดี แต่ดีกว่าห้องนั้นเยอะ แล้วก็มีคนพักข้างๆด้วย (อารมณ์บ้านแฝดขนาดจิ๋ว หลังนึงมี 2 ห้อง ใช้ระเบียงร่วมกัน) ก็เลยโอเค เอาห้องนี้ค่ะ!!
เรามาเช็คอินกันตั้งแต่บ่ายสอง ก็เก็บของนั่งเล่น นั่งเม้าท์กันไป ด้วยความที่ที่พักมันเก่า เราก็นะ วิจารณ์นู่น นี่ นั่น เก่าบ้าง ไม่ดีบ้าง ออกแนวบ่นๆ ก็มันสภาพแย่จริงๆนะ ในรายละเอียดน่ะ มันเป็นบ้านไม้เก่าๆ ห้องน้ำก็น้ำซึม ฝักบัวก็พัง ที่นอนก็เหม็น แอบมีคราบ ไม่รู้ซักบ้างหรือเปล่าหรือเป็นเพราะน้ำ แถมพอนอนไป(นอนเล่น) ก็เจอเม็ดอะไรไม่รู้ เปิดดูปรากฎว่าเป็นลูกปัดเม็ดเล็กๆ กระจายอยู่บนเตียงสิบกว่าเม็ด อยู่ใต้ผ้าปูที่นอน ก็ต้องปัดออกก่อน มันเจ็บ
ยิ่งตอนอาบน้ำ หลอนมากเว่อร์ เพราะมันมีหน้าต่างเป็นสี่เหลี่ยมประมาน 50×50 ซม. แบบโล่งๆเลย กลางวันก็สวยดีมองเห็นธรรมชาติ แต่กลางคืนมันหลอนอ่ะ มองไปมีแต่ความมืด เหอๆๆๆ
ทีนี้พอถึงเวลานอน ก็ไม่มีอะไรนะ เรานอนเร็วกว่าปกติเพราะไม่มีไวไฟ 555 เรานอนก่อนตอนสองสามทุ่ม น้องๆยังไม่นอน นอนไปนอนมา อยู่ๆน้องก็มาเขย่าตัวเรียก พอเราตื่นนางก็บอกไม่มีอะไร เสียงเงียบไปละ เราก็หัวเราะกัน 555 แบบอะไรวะ แล้วเรียกไมเนี่ย 555 แล้วนอนต่อ แล่วยังไงไม่รู้ ซักพักเราก็ลืมตามา แล้วเห็นประตูห้องเปิดออกอย่างช้าๆ (มันเป็นประตูสองบาน ที่มีกลอนแบบต้องลงกลอน 2 ตัวบน-ล่างทั้งบานซ้ายบานขวา) มันเปิดทั้งสองบานเลย เปิดออกพร้อมๆกันเหมือนมีคนมาเปิด เราก็ หืมมมมมม อะไรวะ มองหน้าน้อง ต่างคนต่างมองหน้ากัน งงๆ เลิกลั่กๆ แล้วน้องอีกคนได้สติก็รีบไปปิดประตูแล้วล็อคใหม่ ซึ่งตอนนั้นตกใจมากเพราะเราเป็นคนปิดประตูลงกลอนเองกะมือ มั่นใจมากว่าลงดีแล้วนะ ลองเขย่าๆดูก่อนแล้วด้วย ตอนที่มันเปิดออกเลยคิดว่ามีคนเปิด แต่หลังประตูไม่มีใครเลยเป็นลานระเบียงโล่งๆปกติเลย ท้องฟ้ามืดๆ เพราะว่าข้างนอกนั้นเปิดไฟ เลยมั่นใจว่าไม่มีใครข้างนอกหล้งประตูแน่ๆอ่ะ เพราะถ้ามีมันคงรีบวิ่งเข้ามาแล้วมั้ยตอนเปิดประตูสำเร็จ แต่ก็คงไม่กล้าวิ่งออกไปดูหรอกว่ามีใครมาแอบเปิดแล้ววิ่งหนีไปมั้ย (แต่จะทำไปทำไมล่ะ 555) ต่อๆ พอน้องปิดประตูแล้วก็มองหน้ากันเลิกลั่ก แต่ก็พูดปลอบใจกันว่าคงเป็นลมแร่ะ 5555 ทีนี้รีบเลยเรา ลงกลอนใหม่

ทุกตรง หน้าตงหน้าต่าง แถมเอาเชือกไปมัดที่จับประตูด้วยกันอะไรมาเปิดออกอีก แล้วก็รีบไหว้พระไหว้เจ้าที่หรืออะไรไม่รู้ล่ะ ที่อยู่แถวนั้น ว่าขอมานอนนะ ขอโทษ ขอขมาใหญ่เลย ว่าอะไรที่ทำไม่ดีไว้อ่ะ 55555 โอ๊ยย กว่าจะข่มตานอนได้ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีกนะ จนเช้า แล้วไปดูทะเลหมอกตามปกติ แต่ที่แน่ๆเช็คเอ้าท์แน่นอน (ทีแรกตั้งใจจะนอนสองคืน) ไปนอนในเมืองแทนค่ะ จบ พาร์ทของเรา แต่ของน้องยังไม่จบ!!
นางมาเล่าต่อตอนที่ออกจากที่นั่นมาพักที่ใหม่แล้ว ..น้องบอกว่าเมื่อคืน ก่อนที่น้องๆจะปลุกเรา นางได้ยินเสียงเขย่าประตูดังกึกกักๆ ดังจากเบาๆก่อน แล้วก็ดังมากขึ้นเรื่อยๆ นางก็แบบ ลมหรือเปล่า ถึงแม้ในใจจะคิดว่าไม่ใช่ก็ตาม ครั้งแรกเงียบไปก็มีระรอกที่สองอีก นางไม่ไหวละก็เลยเรียกเรา แต่พอเรารู้สึกตัว เสียงก็เงียบไปเราก็เลยไม่ได้ยิน พอเรานอนต่อน้องอีกคนก็ไปจับประตูดูว่ามีอะไรเสียหรือหลุดรึเปล่า แต่ก็ไม่มีอะไรนะ น้องก็เลยมัดเชือกตรงที่จับไว้ด้วย เราก็หลับไปประมานครึ่งชม.ได้มั้ง น้องๆบอกก็เห็นประตูจู่ๆก็เปิดผ่างออกไปเลย เหวอดิ พอหันมาเหนเราก็แบบเอ้าตื่นอยู่หรอ เหนใช่มั้ย เราก็อืมเห็น ก็เลยคิดว่า อะไรมันจะตื่นพอดีขนาดน้านนนน แล้วน้องคนที่ไปจับประตูในทีแรกก็บอกตอนที่รีบไปปิดประตูน่ะ เหนผีเสื้อกลางคืนด้วยหลายสิบตัวเลย แตกฮือออกเยอะมาก แต่เรากับน้องอีกคนไม่มีใครเหนผีเสื้อเลยนะ (แต่นางคนนี้มีเซ้นส์อยู่ก็เลยเหนมั้งนะ)
พอมาคุยกันทีหลังก็หาเหตุผล หาสาเหตุไปต่างๆนานา ซึ่งก็คิดว่าคงเพราะปากดีแร่ะ เค้าคงจะมาเตือนมั้ง แล้วก็ไม่มีใครไหว้บอกเจ้าที่ หรือไหว้พระก่อนนอนเลยซักคน (แต่ก่อนไม่ทำ ก็ไม่เคยโดนนะ 55555) แต่อีกคนนึง นางบอกเพราะเราไปนั่งสมาธิเพิ่งกลับมาเมื่อสองวันที่แล้วป่าววว(ก็คิดกันไปเรื่อยยย) เพราะตอนไปถึงน้องก็ถามอยู่ว่านั่งสมาธิมั้ย อากาศดี 555
ปล.1 ตอนเช้ามาเช็คกลอนอีกที แต่ไม่ว่าจะดันยังไงมันก็ไม่หลุดนะ เพราะฉะนั้น ลมพัดเนี่ย ไม่มีทางเลย นอกจากมีคนกระแทกเข้ามา (แต่ประตูเป็นแบบเปิดจากในห้องออกไปนะ)
ปล.2 ตอนที่แคนเซิลคืนที่สองพนักงานก็ดูไม่แปลกใจ แถมคนขับรถก็ถามอีกว่าหลับสบายดีมั้ย หืมรู้สึกติดใจยังไงบอกไม่ถูก
ใครจะรู้เนอะ ว่ามันคืออะไร ก็มันพิสูจน์ไม่ได้

รูปถ่ายแถวๆม่อน ไม่กล้าเอารูปบ้านมาให้ดูหรอก เดี๋ยวโดนฟ้อง ฮ่าๆๆๆ
เจอดีที่ม่อน..
มาๆ จะเล่าให้ฟัง เราไปเที่ยวเชียงใหม่ ช่วงประมาณปลายเดือน พ.ย. 59 ไปกัน 3 คน ไอ้คนเมืองก็อยากจะไปนอนบนดอยไง แต่ที่พักดีๆราคาจับต้องได้ก็เต็มหมด เหลือแต่แพงๆเลย ก็เลยได้ที่นี่มา (ไม่เอะใจเล้ยย ว่าทำไมมันว่าง 5555) พอไปถึงที่พัก ปรากฎว่ามันผิดจากที่คิดไว้มาก ห้องที่จะได้ตอนแรกมันช่างทึบ อับ แคบ เก่า ไม่เห็นเหมือนในรูปเลย T_T แต่ก็อย่างที่รู้ๆกัน บนม่อนที่พักค่อนข้างจะหายากถ้าไม่ได้จองล่วงหน้า จะเปลี่ยนที่ก็คงไม่ได้ เลยลองขอเปลี่ยนห้องดู โชคดีที่มีห้องว่าง ซึ่งเป็นห้องสุดท้าย อยู่ท้ายสุด ล่างสุด แต่โอเค วิวดี อากาศปลอดโปร่งกว่า เป็นบ้านที่อยู่ข้างๆต้นไม้สูงใหญ่ ประมาน 3 ต้น มีแต่ต้นไม้ ป่าๆดีนี่เอง แต่ก็ยังแคบ และเก่าอยู่ดี แต่ดีกว่าห้องนั้นเยอะ แล้วก็มีคนพักข้างๆด้วย (อารมณ์บ้านแฝดขนาดจิ๋ว หลังนึงมี 2 ห้อง ใช้ระเบียงร่วมกัน) ก็เลยโอเค เอาห้องนี้ค่ะ!!
เรามาเช็คอินกันตั้งแต่บ่ายสอง ก็เก็บของนั่งเล่น นั่งเม้าท์กันไป ด้วยความที่ที่พักมันเก่า เราก็นะ วิจารณ์นู่น นี่ นั่น เก่าบ้าง ไม่ดีบ้าง ออกแนวบ่นๆ ก็มันสภาพแย่จริงๆนะ ในรายละเอียดน่ะ มันเป็นบ้านไม้เก่าๆ ห้องน้ำก็น้ำซึม ฝักบัวก็พัง ที่นอนก็เหม็น แอบมีคราบ ไม่รู้ซักบ้างหรือเปล่าหรือเป็นเพราะน้ำ แถมพอนอนไป(นอนเล่น) ก็เจอเม็ดอะไรไม่รู้ เปิดดูปรากฎว่าเป็นลูกปัดเม็ดเล็กๆ กระจายอยู่บนเตียงสิบกว่าเม็ด อยู่ใต้ผ้าปูที่นอน ก็ต้องปัดออกก่อน มันเจ็บ
ยิ่งตอนอาบน้ำ หลอนมากเว่อร์ เพราะมันมีหน้าต่างเป็นสี่เหลี่ยมประมาน 50×50 ซม. แบบโล่งๆเลย กลางวันก็สวยดีมองเห็นธรรมชาติ แต่กลางคืนมันหลอนอ่ะ มองไปมีแต่ความมืด เหอๆๆๆ
ทีนี้พอถึงเวลานอน ก็ไม่มีอะไรนะ เรานอนเร็วกว่าปกติเพราะไม่มีไวไฟ 555 เรานอนก่อนตอนสองสามทุ่ม น้องๆยังไม่นอน นอนไปนอนมา อยู่ๆน้องก็มาเขย่าตัวเรียก พอเราตื่นนางก็บอกไม่มีอะไร เสียงเงียบไปละ เราก็หัวเราะกัน 555 แบบอะไรวะ แล้วเรียกไมเนี่ย 555 แล้วนอนต่อ แล่วยังไงไม่รู้ ซักพักเราก็ลืมตามา แล้วเห็นประตูห้องเปิดออกอย่างช้าๆ (มันเป็นประตูสองบาน ที่มีกลอนแบบต้องลงกลอน 2 ตัวบน-ล่างทั้งบานซ้ายบานขวา) มันเปิดทั้งสองบานเลย เปิดออกพร้อมๆกันเหมือนมีคนมาเปิด เราก็ หืมมมมมม อะไรวะ มองหน้าน้อง ต่างคนต่างมองหน้ากัน งงๆ เลิกลั่กๆ แล้วน้องอีกคนได้สติก็รีบไปปิดประตูแล้วล็อคใหม่ ซึ่งตอนนั้นตกใจมากเพราะเราเป็นคนปิดประตูลงกลอนเองกะมือ มั่นใจมากว่าลงดีแล้วนะ ลองเขย่าๆดูก่อนแล้วด้วย ตอนที่มันเปิดออกเลยคิดว่ามีคนเปิด แต่หลังประตูไม่มีใครเลยเป็นลานระเบียงโล่งๆปกติเลย ท้องฟ้ามืดๆ เพราะว่าข้างนอกนั้นเปิดไฟ เลยมั่นใจว่าไม่มีใครข้างนอกหล้งประตูแน่ๆอ่ะ เพราะถ้ามีมันคงรีบวิ่งเข้ามาแล้วมั้ยตอนเปิดประตูสำเร็จ แต่ก็คงไม่กล้าวิ่งออกไปดูหรอกว่ามีใครมาแอบเปิดแล้ววิ่งหนีไปมั้ย (แต่จะทำไปทำไมล่ะ 555) ต่อๆ พอน้องปิดประตูแล้วก็มองหน้ากันเลิกลั่ก แต่ก็พูดปลอบใจกันว่าคงเป็นลมแร่ะ 5555 ทีนี้รีบเลยเรา ลงกลอนใหม่
นางมาเล่าต่อตอนที่ออกจากที่นั่นมาพักที่ใหม่แล้ว ..น้องบอกว่าเมื่อคืน ก่อนที่น้องๆจะปลุกเรา นางได้ยินเสียงเขย่าประตูดังกึกกักๆ ดังจากเบาๆก่อน แล้วก็ดังมากขึ้นเรื่อยๆ นางก็แบบ ลมหรือเปล่า ถึงแม้ในใจจะคิดว่าไม่ใช่ก็ตาม ครั้งแรกเงียบไปก็มีระรอกที่สองอีก นางไม่ไหวละก็เลยเรียกเรา แต่พอเรารู้สึกตัว เสียงก็เงียบไปเราก็เลยไม่ได้ยิน พอเรานอนต่อน้องอีกคนก็ไปจับประตูดูว่ามีอะไรเสียหรือหลุดรึเปล่า แต่ก็ไม่มีอะไรนะ น้องก็เลยมัดเชือกตรงที่จับไว้ด้วย เราก็หลับไปประมานครึ่งชม.ได้มั้ง น้องๆบอกก็เห็นประตูจู่ๆก็เปิดผ่างออกไปเลย เหวอดิ พอหันมาเหนเราก็แบบเอ้าตื่นอยู่หรอ เหนใช่มั้ย เราก็อืมเห็น ก็เลยคิดว่า อะไรมันจะตื่นพอดีขนาดน้านนนน แล้วน้องคนที่ไปจับประตูในทีแรกก็บอกตอนที่รีบไปปิดประตูน่ะ เหนผีเสื้อกลางคืนด้วยหลายสิบตัวเลย แตกฮือออกเยอะมาก แต่เรากับน้องอีกคนไม่มีใครเหนผีเสื้อเลยนะ (แต่นางคนนี้มีเซ้นส์อยู่ก็เลยเหนมั้งนะ)
พอมาคุยกันทีหลังก็หาเหตุผล หาสาเหตุไปต่างๆนานา ซึ่งก็คิดว่าคงเพราะปากดีแร่ะ เค้าคงจะมาเตือนมั้ง แล้วก็ไม่มีใครไหว้บอกเจ้าที่ หรือไหว้พระก่อนนอนเลยซักคน (แต่ก่อนไม่ทำ ก็ไม่เคยโดนนะ 55555) แต่อีกคนนึง นางบอกเพราะเราไปนั่งสมาธิเพิ่งกลับมาเมื่อสองวันที่แล้วป่าววว(ก็คิดกันไปเรื่อยยย) เพราะตอนไปถึงน้องก็ถามอยู่ว่านั่งสมาธิมั้ย อากาศดี 555
ปล.1 ตอนเช้ามาเช็คกลอนอีกที แต่ไม่ว่าจะดันยังไงมันก็ไม่หลุดนะ เพราะฉะนั้น ลมพัดเนี่ย ไม่มีทางเลย นอกจากมีคนกระแทกเข้ามา (แต่ประตูเป็นแบบเปิดจากในห้องออกไปนะ)
ปล.2 ตอนที่แคนเซิลคืนที่สองพนักงานก็ดูไม่แปลกใจ แถมคนขับรถก็ถามอีกว่าหลับสบายดีมั้ย หืมรู้สึกติดใจยังไงบอกไม่ถูก
ใครจะรู้เนอะ ว่ามันคืออะไร ก็มันพิสูจน์ไม่ได้
รูปถ่ายแถวๆม่อน ไม่กล้าเอารูปบ้านมาให้ดูหรอก เดี๋ยวโดนฟ้อง ฮ่าๆๆๆ