ณ สถานีที่เราพบกัน
ดีมากจริงๆ รู้สึกโชคดีที่ได้ตั๋วหลุดมา (เพราะตอนแรกจองไม่ทัน) ดูจบแล้วคิดว่าถ้าเกิดดูย้อนหลัง ไม่ได้นั่งดูบรรยากาศในโรงแบบนี้ต้องเสียใจแน่นอน
Ephémère อ่านว่า เอ-เฟ-แมร์ เป็นชื่อสถานีรถไฟในละครเวที ด้วยพล็อตแนว time travel มันก็จะเล่นกับเรื่องของอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ถือว่าเล่นท่ายากพอสมควร บทจึงต้องเป๊ะจริงๆ ผนวกกับการออกแบบฉากหลังทั้ง 3 ยุค ซึ่งต้องมีความแตกต่าง รวมไปถึงฤดูกาลต่าง ๆ ที่พัดผ่านมายังสถานที่เหล่านั้น
โดยส่วนตัวชอบลูกเล่นของนาฬิกาโบราณที่ห้อยเหนือสถานีรถไฟสะดุดตามาก กับฉากหิมะโปรยปรายลงสู่ม้านั่งริมชานชาลาที่มีผืนดาวอยู่ข้างหลังสวยมากๆ แบบมาก ก.ไก่ล้านตัว โทนน้ำเงินยังติดตาอยู่เลย ถือว่าเอฟเฟคต่างๆ นานา เลือกใส่เข้ามาได้เหมาะสม ไม่มากไม่น้อยไป บวกกับการได้มานั่งชมภายในสถานที่โรงละครสยามพิฆเณศที่เปิดแอร์ซะเย็นฉ่ำแบบนี้ คุ้มเกินราคาค่าตั๋วไปมากโข
สิ่งที่โดดเด่นคือบทและมิติของตัวละครเขียนมาดีมากๆ ส่งผลให้ดูแล้วไม่งงเลย แม้ว่าเส้นเรื่องเล่นท่ายากด้วยการกึ่งย้อนกึ่งข้ามเวลามาบังเอิญพบกันของคนสองสามยุคที่ต่างกัน แต่ก็เล่าเรียงแบบโครนิเคิลอยู่ ทำให้ค่อยๆ get ไปได้ทีละเปราะ ๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคู่พระนาง ตลอดจนพ่อแม่ของพระเอก
- ทิม ชายหนุ่มผู้มีความคิด perfectionism ในแง่ของความสัมพันธ์ เขาวาดฝันจะเห็นทุกคนรอบกายเขามีความสัมพันธ์อันอบอุ่น จึงเจ้าบงการไม่เว้นแม้แต่ความรักของพ่อและแม่ของเขาเอง
- อีฟลิน/เอวาลิน หญิงสาวผู้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้คำบัญชาของครอบครัวมาตลอด กระทั่งวันแต่งงานก็ยังไม่สามารถแต่งงานกับคนที่เธอมีใจรักใคร่ให้จริงๆ แม้ลึก ๆ ยังต้องการลองใช้ชีวิตในวิถีของตนเอง แต่ด้วยภาระของคนในสายเลือดก็ส่งผลมายังเส้นทางที่เธอเลือกเดิน
- โจเซฟีน หญิงสาวผู้มีศักดิ์เป็นหลานของอีฟลินในอดีต กับผลพวงของการตัดสินใจของอีฟลีนนั่นเองที่จะทำให้เขาเดินไปสู่ชีวิตการเป็นดารา หรือว่ายาจกข้างถนน- ลูคัส บุรุษรถไฟผู้ไม่ประสีประสาในด้านความรู้สึกของผู้หญิง ทำอะไรด้วยท่าทางโก๊ะ ๆ จนดูเหมือนซื้อบื้อเอาเสียจริง
- เบคกี้ หญิงสาวผู้น่าสงสารกับการถูกละเลยความรู้สึกตลอดมา และด้วยความสามารถในการอบขนมปัง กับความฝันไปเติบใหญ่ในปารีส ก็ยังได้มาลงเอยในชีวิตของลูคัสในที่สุด- ปาสคาล คู่หูคู่ฮาของลูคัสที่สร้างรอยยิ้มได้เสมอ ตลอดจนยังเป็นผู้กุมความลับชองชานชาลาเอเฟแมร์แห่งนี้ไว้ด้วยสมุดบันทึกลึกลับ
ครั้นจะกล่าวชื่นชมอย่างเดียว เดี๋ยวหาว่าอวยน้องๆ หรือเปล่า อันที่จริงแล้วก็มีขัดใจนิดๆ หน่อยๆ (เล็กน้อยมากๆ) ซึ่งมักจะเกิดขึ้นแว่บเดียว อย่างเช่น
- เปิดสัญญาณไมค์นักแสดงช้าไปอาจหลุดคำพูดบางคำ
- สปอตไลท์ follow ดูสะดุดๆ
- ช่วงที่พูดถึงฝนตกแต่ sound ฝนหาย
- บางช่วงเหมือนนักแสดงกำลังนึกบทพูด แต่ไม่นานมาก
- บางช่วงไม่ได้เน้นภาษาท่าทาง ทั้งที่ควรจะออกอาการให้ชัดกว่านี้ เลยทำให้ดูขาแข็งๆ
- คำร้องในบางเพลงฟังคำยากนิดๆ ว่าพูดอะไร เหมือนลิ้นพันกัน ถ้าร้องชัดกว่านี้ก็ไม่รู้ลงล็อคกับพวกวรรณยุกต์อะไรมั้ย
แต่เมื่อยังจับบริบทได้อยู่ ก็ไม่มีปัญหา…
ซึ่งบรรดา mistake จุดต่างๆ เหล่านี้ถูกกลบไปหมดจดด้วยความ epic ของสคริปต์ และมุกตลกขำขันที่แทรกเข้ามาเป็นระยะ ทำให้ดูไม่จริงจังเกินไป แต่พอถึงบทซีเรียสก็ซีเรียส บทจะหม่นก็หม่นสุด ช่วงเต้นสนุกก็สนุกดี คอสตูมสวยดี ทำไคลแม็กซ์ดึง mood ขึ้นมากๆ ยันฉากจบเลย
เนื้อหาแต่ละช่วงชวนตั้งคำถามสะท้อนมายังคนดูได้ดี อาทิ:
- เรามัวรอที่จะเจอความรักสุดแสน perfect ทว่าหลงลืมอะไรดี ๆ ที่มีอยู่รอบตัวอยู่ตั้งนานแล้ว หรือเปล่า?
- หาก ‘ความฝัน’ มันกลายเป็นความจริงแล้ว เราก็จะไม่สามารถเรียกมันว่าความฝันได้แล้วสิ?
- ถ้าย้อนเวลาได้อีกครั้ง จะตัดสินใจเลือกทางไหนให้ชีวิต? เพื่อตัวเอง/ครอบครัว/คนที่รัก
- หากเราได้รู้อนาคตของคนรอบตัวว่าเป็นไปอย่างไร เราจะกลับมาปรับเปลี่ยนอะไรได้ไหม ?
- “ขอบคุณที่เติบโตมาอย่างดี”
เป็นละครเวทีที่มีโควตเด็ดให้เก็บเยอะมากเลย ซึ่งใครเป็นนักจดสะสมคำคมน่าจะถูกใจไม่น้อยกับวาทะในเรื่องนี้ ส่วนตัวแล้วจำออกมาไม่หมด ด้วยความยาวของการแสดงกว่า 3 ช.ม.เศษ คงต้องขอเวลาให้ตกตะกอนเพิ่มก่อนนะครับ เผื่อมีอะไรเพิ่มเติม แต่ ณ ตอนนี้ ต้องยกเก็บขึ้นกรุ 1 ในละครเวทีนิเทศจุฬาฯ ที่ดูแล้วติดตาตรึงใจมากๆ รักเลย
Review by
https://blog.folkdo.com/tuesday-at-ephemere-ละครนิเทศจุฬาฯ-2563/
[CR] รีวิว Tuesday at Ephémère - ละครเวทีนิเทศจุฬา 2020 ( #LakornNitadeCU )
ดีมากจริงๆ รู้สึกโชคดีที่ได้ตั๋วหลุดมา (เพราะตอนแรกจองไม่ทัน) ดูจบแล้วคิดว่าถ้าเกิดดูย้อนหลัง ไม่ได้นั่งดูบรรยากาศในโรงแบบนี้ต้องเสียใจแน่นอน
Ephémère อ่านว่า เอ-เฟ-แมร์ เป็นชื่อสถานีรถไฟในละครเวที ด้วยพล็อตแนว time travel มันก็จะเล่นกับเรื่องของอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ถือว่าเล่นท่ายากพอสมควร บทจึงต้องเป๊ะจริงๆ ผนวกกับการออกแบบฉากหลังทั้ง 3 ยุค ซึ่งต้องมีความแตกต่าง รวมไปถึงฤดูกาลต่าง ๆ ที่พัดผ่านมายังสถานที่เหล่านั้น
โดยส่วนตัวชอบลูกเล่นของนาฬิกาโบราณที่ห้อยเหนือสถานีรถไฟสะดุดตามาก กับฉากหิมะโปรยปรายลงสู่ม้านั่งริมชานชาลาที่มีผืนดาวอยู่ข้างหลังสวยมากๆ แบบมาก ก.ไก่ล้านตัว โทนน้ำเงินยังติดตาอยู่เลย ถือว่าเอฟเฟคต่างๆ นานา เลือกใส่เข้ามาได้เหมาะสม ไม่มากไม่น้อยไป บวกกับการได้มานั่งชมภายในสถานที่โรงละครสยามพิฆเณศที่เปิดแอร์ซะเย็นฉ่ำแบบนี้ คุ้มเกินราคาค่าตั๋วไปมากโข
สิ่งที่โดดเด่นคือบทและมิติของตัวละครเขียนมาดีมากๆ ส่งผลให้ดูแล้วไม่งงเลย แม้ว่าเส้นเรื่องเล่นท่ายากด้วยการกึ่งย้อนกึ่งข้ามเวลามาบังเอิญพบกันของคนสองสามยุคที่ต่างกัน แต่ก็เล่าเรียงแบบโครนิเคิลอยู่ ทำให้ค่อยๆ get ไปได้ทีละเปราะ ๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคู่พระนาง ตลอดจนพ่อแม่ของพระเอก
- ทิม ชายหนุ่มผู้มีความคิด perfectionism ในแง่ของความสัมพันธ์ เขาวาดฝันจะเห็นทุกคนรอบกายเขามีความสัมพันธ์อันอบอุ่น จึงเจ้าบงการไม่เว้นแม้แต่ความรักของพ่อและแม่ของเขาเอง
- อีฟลิน/เอวาลิน หญิงสาวผู้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้คำบัญชาของครอบครัวมาตลอด กระทั่งวันแต่งงานก็ยังไม่สามารถแต่งงานกับคนที่เธอมีใจรักใคร่ให้จริงๆ แม้ลึก ๆ ยังต้องการลองใช้ชีวิตในวิถีของตนเอง แต่ด้วยภาระของคนในสายเลือดก็ส่งผลมายังเส้นทางที่เธอเลือกเดิน
- โจเซฟีน หญิงสาวผู้มีศักดิ์เป็นหลานของอีฟลินในอดีต กับผลพวงของการตัดสินใจของอีฟลีนนั่นเองที่จะทำให้เขาเดินไปสู่ชีวิตการเป็นดารา หรือว่ายาจกข้างถนน- ลูคัส บุรุษรถไฟผู้ไม่ประสีประสาในด้านความรู้สึกของผู้หญิง ทำอะไรด้วยท่าทางโก๊ะ ๆ จนดูเหมือนซื้อบื้อเอาเสียจริง
- เบคกี้ หญิงสาวผู้น่าสงสารกับการถูกละเลยความรู้สึกตลอดมา และด้วยความสามารถในการอบขนมปัง กับความฝันไปเติบใหญ่ในปารีส ก็ยังได้มาลงเอยในชีวิตของลูคัสในที่สุด- ปาสคาล คู่หูคู่ฮาของลูคัสที่สร้างรอยยิ้มได้เสมอ ตลอดจนยังเป็นผู้กุมความลับชองชานชาลาเอเฟแมร์แห่งนี้ไว้ด้วยสมุดบันทึกลึกลับ
ครั้นจะกล่าวชื่นชมอย่างเดียว เดี๋ยวหาว่าอวยน้องๆ หรือเปล่า อันที่จริงแล้วก็มีขัดใจนิดๆ หน่อยๆ (เล็กน้อยมากๆ) ซึ่งมักจะเกิดขึ้นแว่บเดียว อย่างเช่น
- เปิดสัญญาณไมค์นักแสดงช้าไปอาจหลุดคำพูดบางคำ
- สปอตไลท์ follow ดูสะดุดๆ
- ช่วงที่พูดถึงฝนตกแต่ sound ฝนหาย
- บางช่วงเหมือนนักแสดงกำลังนึกบทพูด แต่ไม่นานมาก
- บางช่วงไม่ได้เน้นภาษาท่าทาง ทั้งที่ควรจะออกอาการให้ชัดกว่านี้ เลยทำให้ดูขาแข็งๆ
- คำร้องในบางเพลงฟังคำยากนิดๆ ว่าพูดอะไร เหมือนลิ้นพันกัน ถ้าร้องชัดกว่านี้ก็ไม่รู้ลงล็อคกับพวกวรรณยุกต์อะไรมั้ย
แต่เมื่อยังจับบริบทได้อยู่ ก็ไม่มีปัญหา…
ซึ่งบรรดา mistake จุดต่างๆ เหล่านี้ถูกกลบไปหมดจดด้วยความ epic ของสคริปต์ และมุกตลกขำขันที่แทรกเข้ามาเป็นระยะ ทำให้ดูไม่จริงจังเกินไป แต่พอถึงบทซีเรียสก็ซีเรียส บทจะหม่นก็หม่นสุด ช่วงเต้นสนุกก็สนุกดี คอสตูมสวยดี ทำไคลแม็กซ์ดึง mood ขึ้นมากๆ ยันฉากจบเลย
เนื้อหาแต่ละช่วงชวนตั้งคำถามสะท้อนมายังคนดูได้ดี อาทิ:
- เรามัวรอที่จะเจอความรักสุดแสน perfect ทว่าหลงลืมอะไรดี ๆ ที่มีอยู่รอบตัวอยู่ตั้งนานแล้ว หรือเปล่า?
- หาก ‘ความฝัน’ มันกลายเป็นความจริงแล้ว เราก็จะไม่สามารถเรียกมันว่าความฝันได้แล้วสิ?
- ถ้าย้อนเวลาได้อีกครั้ง จะตัดสินใจเลือกทางไหนให้ชีวิต? เพื่อตัวเอง/ครอบครัว/คนที่รัก
- หากเราได้รู้อนาคตของคนรอบตัวว่าเป็นไปอย่างไร เราจะกลับมาปรับเปลี่ยนอะไรได้ไหม ?
- “ขอบคุณที่เติบโตมาอย่างดี”
เป็นละครเวทีที่มีโควตเด็ดให้เก็บเยอะมากเลย ซึ่งใครเป็นนักจดสะสมคำคมน่าจะถูกใจไม่น้อยกับวาทะในเรื่องนี้ ส่วนตัวแล้วจำออกมาไม่หมด ด้วยความยาวของการแสดงกว่า 3 ช.ม.เศษ คงต้องขอเวลาให้ตกตะกอนเพิ่มก่อนนะครับ เผื่อมีอะไรเพิ่มเติม แต่ ณ ตอนนี้ ต้องยกเก็บขึ้นกรุ 1 ในละครเวทีนิเทศจุฬาฯ ที่ดูแล้วติดตาตรึงใจมากๆ รักเลย
Review by https://blog.folkdo.com/tuesday-at-ephemere-ละครนิเทศจุฬาฯ-2563/
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้