ขอออกตัวก่อนนะครับ จุดประสงค์เพื่อให้เห็นรูปแบบการวิเคราะห์ทางเทคนนิคแบบต่าง ๆ ของ หุ้น น่ะครับ ไม่ได้มาสอน หรือมาวิเคราะห์ แต่มาแบ่งปันข้อมูล ผิดพลาดประการใดขอภัยด้วย ท่านใด มีข้อมูลเพิ่มเติม หรือเห็นว่าผิดพลาดตรงไหน เชิญโพสความเห็นได้นะครับ จะได้เป็นประโยชน์ ต่อท่านอื่นที่สนใจ ขอบคุณล่วงหน้าครับ
รูปแบบของกราฟ ที่ใช้วิเคราะห์ ทางเทคนิค
เมื่อก่อนคอมพิวเตอร์ยังไม่แพร่หลาย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ทำได้ค่อนข้างยุ่งยาก จึงมีการนำเอาเทคนิค point & figure มาใช้ในช่วงแรก ๆ หลักการก็คือ เมื่อหุ้นขึ้น ให้ทำเครื่องหมาย X หุ้นลงให้ทำเครื่องหมาย O ซึ่งมีลักษณะดังนี้
เมื่อหุ้นขึ้นต่อเนื่อง ทำ High ใหม่ เราก็จะทำเครื่องหมาย X ไปเรื่อย ๆ ถ้าวันต่อมาไม่ทำ High ใหม่ เราก็จะไม่ทำเครื่องหมาย X ต่อ แต่ถ้าวันต่อมา หุ้นไม่ทำ High ใหม่ แต่ทำ Low ต่ำกว่า Hihg 3 สเปรด (3ช่อง) เราจะทำเครื่องหมาย O ลงมาแทน 3 ช่อง แสดงให้เห็นว่า หุ้นนั้นเริ่มปรับตัวลงแล้ว
Point & Figure
สมมิติ วันที่ 1 หุ้นเริ่มลงมา ถึง Low 16.0
วันที่ 2 หุ้นไม่ทำ low ใหม่ที่ แต่ทำ High 16.6 สูงกว่า Low เดิม หกช่อง เราก็จะ พล๊อต X ขึ้นไป 6 ช่อง ถึง 16.6
วันที่ 3 หุ้นทำ High ใหม่ ที่ 16.7 เราก็จะ พล๊อต X ขึ้นไป 1 ช่อง ถึง 16.7
วันที่ 4 หุ้นไม่ทำ High ใหม่ แต่ทำ Low ที่ 16.4 ต่ำกว่า High 3 ช่อง เราก็จะ พล๊อต O ลงไป 3 ช่อง ถึง 16.4
วันที่ 5 หุ้นไม่ทำ Low ใหม่ ไม่มี High ใหม่สูงกว่า Low เดิม 3 ช่อง เราก็จะไม่พล๊อต อะไรลงไป
วันที่ 6 หุ้นไม่ทำ Low ใหม่ แต่ทำ High ใหม่ ที่ 16.8 สูงกว่า Low เดิมที่ 16.4 สี่ช่อง เราก็จะ พล๊อต X ขึ้นไป 4 ช่อง ถึง 16.8
วันที่ 7 หุ้นไม่ทำ High ใหม่ แต่ทำ Low ที่ 16.5 ต่ำกว่า High 3 ช่อง เราก็จะ พล๊อต O ลงไป 3 ช่อง ถึง 16.5
วันที่ 8 หุ้นไม่ทำ Low ใหม่ แต่ทำ High ใหม่ ที่ 16.9 สูงกว่า Low เดิมที่ 16.5 สี่ช่อง เราก็จะ พล๊อต X ขึ้นไป 4 ช่อง ถึง 16.9
วันที่ 9-10 หุ้นทำ Hihg ใหม่ต่อเนื่องที่ 17.5 เราก็จะ พล๊อต X ขึ้นไป ถึง 17.5
วันที่ 11 หุ้นไม่ทำ High ใหม่ แต่ทำ Low ใหม่ ที่ 16.7 ต่ำกว่า High 8 ช่อง เราก็จะ พล๊อต O ลงไป 8 ช่อง ถึง 16.7
วันที่ 12 หุ้นไม่ทำ low ใหม่ที่ แต่ทำ High 17.3 สูงกว่า Low เดิม หกช่อง เราก็จะ พล๊อต X ขึ้นไป 6 ช่อง ถึง 17.3
วันที่ 13-14 หุ้นทำ High ใหม่ ที่ 17.7 เราก็จะ พล๊อต X ขึ้นไป ถึง 17.7
วันที่ 15 หุ้นไม่ทำ High ใหม่ แต่ทำ Low ใหม่ที่ 16.8 เราก็จะ พล๊อต O ลงไปถึง 16.8
วันที่ 16 หุ้นไม่ทำ Low ใหม่ แต่ทำ High ที่ 17.2 สูงกว่า Low 4 ช่อง เราก็จะ พล๊อต X ขึ้นไป 4 ช่อง ถึง 17.2
วันที่ 17 หุ้นไม่ทำ High ใหม่ แต่ทำ Low ที่ 16.8 ต่ำกว่า Hihg 4 ช่อง เราก็จะ พล๊อต O ลงไป 4 ช่อง ถึง 16.8
วันที่ 18 หุ้นไม่ทำ Low ใหม่ แต่ทำ High ที่ 17.3 สูงกว่า Low 5 ช่อง เราก็จะ พล๊อต X ขึ้นไป 5 ช่อง ถึง 17.3
วันที่ 19 หุ้นไม่ทำ High ใหม่ แต่ทำ Low ใหม่ที่ 16.9 เราก็จะ พล๊อต O ลงไปถึง 16.9
วันที่ 20 หุ้นไม่ทำ Low ใหม่ แต่ทำ High ใหม่ที่ 17.4 สูงกว่า Low 5 ช่อง เราก็จะ พล๊อต X ขึ้นไป 5 ช่อง ถึง 17.4
วันที่ 21-22 หุ้นทำ High ใหม่ต่อเนื่องที่ 17.7 เราก็จะ พล๊อต X ขึ้นไป ถึง 17.7
วันที่ 23 หุ้นไม่ทำ High ใหม่ แต่ทำ Low ใหม่ ที่ 17.2 ต่ำกว่า High 5 ช่อง เราก็จะ พล๊อต O ลงไป 5 ช่อง ถึง 17.2
วันที่ 24 หุ้นทำ Low ใหม่ต่อเนื่องที่ 16.3 เราก็จะ พล๊อต O ลงไปถึง 16.3
ถ้าหุ้นไม่มี High ใหม่ หรือ Low ต่ำกว่า High 3 ช่อง เราก็จะไม่พล๊อต อะไรลงไป
ดังภาพล่างครับ

กฎการวิเคราะห์ Point & Figure ที่ผมสรุปจากที่จดโน๊ตมา
1 กฏ 20X หมายถึง หุ้นขึ้นทำ High หรือ ทำ Low ได้ 20 ช่อง
2 กฏการเคลื่อนที่ ถ้าหุ้นขึ้น X ช่อง แล้วลง ต่อมาขึ้นใหม่ จะขึ้นได้ X ช่อง (ลงก็ตรงกันข้ามนะครับ)
3 กฏ 50 % ขึ้นมาแล้วต่อเนื่อง X ช่อง จากนั้นปรับลงได้ ครึ่งหนึ่งของ X ช่องก่อนหน้านั้น (ลงก็ตรงกันข้ามครับ)
4 กฏ 45 องศา ลากเส้นเป็นมุม 45 องศา ถ้าหุ้น ขึ้นหรือ ลง ผ่านจุดนั้น จะรุนแรง
ดังภาพล่าง

จากวิธีการ พล๊อตกราฟ จะเห็นได้ว่า ไม่ได้พล๊อตทุกวัน ถ้าไม่มี High หรือ Low ใหม่ ห่างกัน 3 ช่อง จะไม่มีการ พล๊อต X O ลงไป ทำให้กราฟนิ่งอยู่กับที่ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงทุกวัน อย่างกราฟแท่งเทียนในปัจจุบัน ดังนั้นการวิเคราะห์โดยใช้เทรนไลน์ นับคลื่น อินดิเคเตอร์ ต่าง ๆ จะไม่เหมาะ ต้องใช้กฏของ point & figure ครับ
ต่อมาระบบคอมพิวเตอร์เริ่มทันสมัย เก็บข้อมูลการซื้อขายของหุ้นได้มากขึ้น จึงมีการนำรูปแบบการวิเคราะห์ แบบ Line chart ฺ Bar chart , Candlestick เข้ามาแทน
line chart จะเป็นรูปแบบง่าย ๆ ส่วนมากจะใช้ราคาปิด แต่ละวัน มาทำเป็นแผนภูมิ (กราฟ) ทำให้ไม่เห็น ราคา สูงสุด-ต่ำสุด จึงมีการนำ รูปแบบ bar chart มาใช้
รูปแบบ bar chart ราคาเปิด จะเป็นขีดซ้าย แท่งยาว เป็นราคา สูงสุด ต่ำสุด ราคาปิดเป็นขีดขวา
ดังภาพล่าง

รูปแบบบาร์ชาร์ต เห็น ราคาเปิด ปิด สูงสุด ต่ำสุด แต่เมื่อบีบกราฟเข้ามามาก ๆ จะดูยากขึ้น จึงมีการนำรูปแบบ Candlestick (แท่งเทียน) เข้ามา แท่งเทียนเดิมก็เป็นสีเดียว เมื่อราคาเปิดต่ำปิดสูง จะเป็นแท่งโปร่งเ ราคาเปิดสูงปิดต่ำ จะเป็นแท่งทึบ ต่อมาอีก มีการใส่สีเข้าไปเพื่อให้เข้าใจง่าย โดยที่ เปิดต่ำปิดสูงเป็นแท่งสีเขียว เปิดสูงปิดต่ำ เป็นแท่งสีแดง
ดังภาพล่าง

เมื่อ ราคาหุ้นเปิด มีการเทขายหุ้นลงมาต่ำมาก ๆ จากนั้นจากนั้น มีแรงซื้อกลับ ทำให้หุ้นขึ้นไปสูงมาก ๆ แล้วนักลงทุนก็ขายหุ้นทิ้ง ทำให้ราคาลงมาปิด ใกล้เคียงกับเปิด (อาจจะต่ำกว่า สูงกว่า หรือเท่ากับ ราคาปิด)
หรือ ราคาหุ้นเปิด มีการแห่ซื้อหุ้นเข้ามามาก ทำให้หุ้นขึ้นสูงมาก ๆ จากนั้นจากนั้น มีแรงขายกลับ ทำให้หุ้นต่ำลงไปมาก ๆ แล้วนักลงทุนก็ซื้อคืน ทำให้ราคาลงมาปิด ใกล้ ๆ กับเปิด (อาจจะต่ำกว่า สูงกว่า หรือเท่ากับ ราคาปิด)
แสดงให้เห็นถึงความไม่มันใจของนักลงทุน
ดังภาพล่าง

ทฤษฏีแท่งเทียน ส่วนมากจะเน้นจุดกลับตัว ทั้งแนวโน้มขึ้นและแนวโน้มลง ตามลักษณะความไม่มั่นใจของนักลงทุน ตามภาพบน ซึ่งมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันไป ซึ่งจุดกลับตัวของแท่งเทียนจะอยู่ที่จุดสูงสุด หรือ ต่ำสุด จุดสำคัญคือ แท่งเทียนแท่ง 1-2 แื้ท่งถัดไปจะเป็นการยืนยันการกลับตัว
จุดกลับตัวเปลี่ยนเป็นแนวโน้มลง แท่งเทียนถัดไป ส่วนใหญ่จะเป็นแท่งแดง และ อยู่ต่ำกว่า
จุดกลับตัวเปลี่ยนเป็นแนวโน้มขึ้น แท่งเทียนถัดไป ส่วนใหญ่จะเป็นแท่งเขียว และ อยู่สูงกว่า
ดังภาพล่าง

กราฟแท่งเทียน ดูง่าย เครื่องมือวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคต่าง ๆ จึงนิยมนำกราฟแท่งเทียน มาใช้ประกอบในการวิเคราะห์หุ้ทางเทคนิค
รูปแบบของกราฟ ที่ใช้วิเคราะห์ ทางเทคนิค
รูปแบบของกราฟ ที่ใช้วิเคราะห์ ทางเทคนิค
เมื่อก่อนคอมพิวเตอร์ยังไม่แพร่หลาย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ทำได้ค่อนข้างยุ่งยาก จึงมีการนำเอาเทคนิค point & figure มาใช้ในช่วงแรก ๆ หลักการก็คือ เมื่อหุ้นขึ้น ให้ทำเครื่องหมาย X หุ้นลงให้ทำเครื่องหมาย O ซึ่งมีลักษณะดังนี้
เมื่อหุ้นขึ้นต่อเนื่อง ทำ High ใหม่ เราก็จะทำเครื่องหมาย X ไปเรื่อย ๆ ถ้าวันต่อมาไม่ทำ High ใหม่ เราก็จะไม่ทำเครื่องหมาย X ต่อ แต่ถ้าวันต่อมา หุ้นไม่ทำ High ใหม่ แต่ทำ Low ต่ำกว่า Hihg 3 สเปรด (3ช่อง) เราจะทำเครื่องหมาย O ลงมาแทน 3 ช่อง แสดงให้เห็นว่า หุ้นนั้นเริ่มปรับตัวลงแล้ว
Point & Figure
สมมิติ วันที่ 1 หุ้นเริ่มลงมา ถึง Low 16.0
วันที่ 2 หุ้นไม่ทำ low ใหม่ที่ แต่ทำ High 16.6 สูงกว่า Low เดิม หกช่อง เราก็จะ พล๊อต X ขึ้นไป 6 ช่อง ถึง 16.6
วันที่ 3 หุ้นทำ High ใหม่ ที่ 16.7 เราก็จะ พล๊อต X ขึ้นไป 1 ช่อง ถึง 16.7
วันที่ 4 หุ้นไม่ทำ High ใหม่ แต่ทำ Low ที่ 16.4 ต่ำกว่า High 3 ช่อง เราก็จะ พล๊อต O ลงไป 3 ช่อง ถึง 16.4
วันที่ 5 หุ้นไม่ทำ Low ใหม่ ไม่มี High ใหม่สูงกว่า Low เดิม 3 ช่อง เราก็จะไม่พล๊อต อะไรลงไป
วันที่ 6 หุ้นไม่ทำ Low ใหม่ แต่ทำ High ใหม่ ที่ 16.8 สูงกว่า Low เดิมที่ 16.4 สี่ช่อง เราก็จะ พล๊อต X ขึ้นไป 4 ช่อง ถึง 16.8
วันที่ 7 หุ้นไม่ทำ High ใหม่ แต่ทำ Low ที่ 16.5 ต่ำกว่า High 3 ช่อง เราก็จะ พล๊อต O ลงไป 3 ช่อง ถึง 16.5
วันที่ 8 หุ้นไม่ทำ Low ใหม่ แต่ทำ High ใหม่ ที่ 16.9 สูงกว่า Low เดิมที่ 16.5 สี่ช่อง เราก็จะ พล๊อต X ขึ้นไป 4 ช่อง ถึง 16.9
วันที่ 9-10 หุ้นทำ Hihg ใหม่ต่อเนื่องที่ 17.5 เราก็จะ พล๊อต X ขึ้นไป ถึง 17.5
วันที่ 11 หุ้นไม่ทำ High ใหม่ แต่ทำ Low ใหม่ ที่ 16.7 ต่ำกว่า High 8 ช่อง เราก็จะ พล๊อต O ลงไป 8 ช่อง ถึง 16.7
วันที่ 12 หุ้นไม่ทำ low ใหม่ที่ แต่ทำ High 17.3 สูงกว่า Low เดิม หกช่อง เราก็จะ พล๊อต X ขึ้นไป 6 ช่อง ถึง 17.3
วันที่ 13-14 หุ้นทำ High ใหม่ ที่ 17.7 เราก็จะ พล๊อต X ขึ้นไป ถึง 17.7
วันที่ 15 หุ้นไม่ทำ High ใหม่ แต่ทำ Low ใหม่ที่ 16.8 เราก็จะ พล๊อต O ลงไปถึง 16.8
วันที่ 16 หุ้นไม่ทำ Low ใหม่ แต่ทำ High ที่ 17.2 สูงกว่า Low 4 ช่อง เราก็จะ พล๊อต X ขึ้นไป 4 ช่อง ถึง 17.2
วันที่ 17 หุ้นไม่ทำ High ใหม่ แต่ทำ Low ที่ 16.8 ต่ำกว่า Hihg 4 ช่อง เราก็จะ พล๊อต O ลงไป 4 ช่อง ถึง 16.8
วันที่ 18 หุ้นไม่ทำ Low ใหม่ แต่ทำ High ที่ 17.3 สูงกว่า Low 5 ช่อง เราก็จะ พล๊อต X ขึ้นไป 5 ช่อง ถึง 17.3
วันที่ 19 หุ้นไม่ทำ High ใหม่ แต่ทำ Low ใหม่ที่ 16.9 เราก็จะ พล๊อต O ลงไปถึง 16.9
วันที่ 20 หุ้นไม่ทำ Low ใหม่ แต่ทำ High ใหม่ที่ 17.4 สูงกว่า Low 5 ช่อง เราก็จะ พล๊อต X ขึ้นไป 5 ช่อง ถึง 17.4
วันที่ 21-22 หุ้นทำ High ใหม่ต่อเนื่องที่ 17.7 เราก็จะ พล๊อต X ขึ้นไป ถึง 17.7
วันที่ 23 หุ้นไม่ทำ High ใหม่ แต่ทำ Low ใหม่ ที่ 17.2 ต่ำกว่า High 5 ช่อง เราก็จะ พล๊อต O ลงไป 5 ช่อง ถึง 17.2
วันที่ 24 หุ้นทำ Low ใหม่ต่อเนื่องที่ 16.3 เราก็จะ พล๊อต O ลงไปถึง 16.3
ถ้าหุ้นไม่มี High ใหม่ หรือ Low ต่ำกว่า High 3 ช่อง เราก็จะไม่พล๊อต อะไรลงไป
ดังภาพล่างครับ
กฎการวิเคราะห์ Point & Figure ที่ผมสรุปจากที่จดโน๊ตมา
1 กฏ 20X หมายถึง หุ้นขึ้นทำ High หรือ ทำ Low ได้ 20 ช่อง
2 กฏการเคลื่อนที่ ถ้าหุ้นขึ้น X ช่อง แล้วลง ต่อมาขึ้นใหม่ จะขึ้นได้ X ช่อง (ลงก็ตรงกันข้ามนะครับ)
3 กฏ 50 % ขึ้นมาแล้วต่อเนื่อง X ช่อง จากนั้นปรับลงได้ ครึ่งหนึ่งของ X ช่องก่อนหน้านั้น (ลงก็ตรงกันข้ามครับ)
4 กฏ 45 องศา ลากเส้นเป็นมุม 45 องศา ถ้าหุ้น ขึ้นหรือ ลง ผ่านจุดนั้น จะรุนแรง
ดังภาพล่าง
จากวิธีการ พล๊อตกราฟ จะเห็นได้ว่า ไม่ได้พล๊อตทุกวัน ถ้าไม่มี High หรือ Low ใหม่ ห่างกัน 3 ช่อง จะไม่มีการ พล๊อต X O ลงไป ทำให้กราฟนิ่งอยู่กับที่ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงทุกวัน อย่างกราฟแท่งเทียนในปัจจุบัน ดังนั้นการวิเคราะห์โดยใช้เทรนไลน์ นับคลื่น อินดิเคเตอร์ ต่าง ๆ จะไม่เหมาะ ต้องใช้กฏของ point & figure ครับ
ต่อมาระบบคอมพิวเตอร์เริ่มทันสมัย เก็บข้อมูลการซื้อขายของหุ้นได้มากขึ้น จึงมีการนำรูปแบบการวิเคราะห์ แบบ Line chart ฺ Bar chart , Candlestick เข้ามาแทน
line chart จะเป็นรูปแบบง่าย ๆ ส่วนมากจะใช้ราคาปิด แต่ละวัน มาทำเป็นแผนภูมิ (กราฟ) ทำให้ไม่เห็น ราคา สูงสุด-ต่ำสุด จึงมีการนำ รูปแบบ bar chart มาใช้
รูปแบบ bar chart ราคาเปิด จะเป็นขีดซ้าย แท่งยาว เป็นราคา สูงสุด ต่ำสุด ราคาปิดเป็นขีดขวา
ดังภาพล่าง
รูปแบบบาร์ชาร์ต เห็น ราคาเปิด ปิด สูงสุด ต่ำสุด แต่เมื่อบีบกราฟเข้ามามาก ๆ จะดูยากขึ้น จึงมีการนำรูปแบบ Candlestick (แท่งเทียน) เข้ามา แท่งเทียนเดิมก็เป็นสีเดียว เมื่อราคาเปิดต่ำปิดสูง จะเป็นแท่งโปร่งเ ราคาเปิดสูงปิดต่ำ จะเป็นแท่งทึบ ต่อมาอีก มีการใส่สีเข้าไปเพื่อให้เข้าใจง่าย โดยที่ เปิดต่ำปิดสูงเป็นแท่งสีเขียว เปิดสูงปิดต่ำ เป็นแท่งสีแดง
ดังภาพล่าง
เมื่อ ราคาหุ้นเปิด มีการเทขายหุ้นลงมาต่ำมาก ๆ จากนั้นจากนั้น มีแรงซื้อกลับ ทำให้หุ้นขึ้นไปสูงมาก ๆ แล้วนักลงทุนก็ขายหุ้นทิ้ง ทำให้ราคาลงมาปิด ใกล้เคียงกับเปิด (อาจจะต่ำกว่า สูงกว่า หรือเท่ากับ ราคาปิด)
หรือ ราคาหุ้นเปิด มีการแห่ซื้อหุ้นเข้ามามาก ทำให้หุ้นขึ้นสูงมาก ๆ จากนั้นจากนั้น มีแรงขายกลับ ทำให้หุ้นต่ำลงไปมาก ๆ แล้วนักลงทุนก็ซื้อคืน ทำให้ราคาลงมาปิด ใกล้ ๆ กับเปิด (อาจจะต่ำกว่า สูงกว่า หรือเท่ากับ ราคาปิด)
แสดงให้เห็นถึงความไม่มันใจของนักลงทุน
ดังภาพล่าง
ทฤษฏีแท่งเทียน ส่วนมากจะเน้นจุดกลับตัว ทั้งแนวโน้มขึ้นและแนวโน้มลง ตามลักษณะความไม่มั่นใจของนักลงทุน ตามภาพบน ซึ่งมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันไป ซึ่งจุดกลับตัวของแท่งเทียนจะอยู่ที่จุดสูงสุด หรือ ต่ำสุด จุดสำคัญคือ แท่งเทียนแท่ง 1-2 แื้ท่งถัดไปจะเป็นการยืนยันการกลับตัว
จุดกลับตัวเปลี่ยนเป็นแนวโน้มลง แท่งเทียนถัดไป ส่วนใหญ่จะเป็นแท่งแดง และ อยู่ต่ำกว่า
จุดกลับตัวเปลี่ยนเป็นแนวโน้มขึ้น แท่งเทียนถัดไป ส่วนใหญ่จะเป็นแท่งเขียว และ อยู่สูงกว่า
ดังภาพล่าง
กราฟแท่งเทียน ดูง่าย เครื่องมือวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคต่าง ๆ จึงนิยมนำกราฟแท่งเทียน มาใช้ประกอบในการวิเคราะห์หุ้ทางเทคนิค