ลิสต์หนังดีแนว Post-Apocalypse หรือกลียุค [หลังอารยธรรมและบ้านเมืองล่มสลาย]

ระหว่างหนังประเภทภัยพิบัติ กับแนวโลกาวินาศ ถือว่าคนละกรณีกันแต่สื่อชอบจับมารวมกัน ที่จริงคนที่ชอบค่อนข้างจะคนละกลุ่ม แล้วมันก็แยกแนวออกไปอีก

เรื่องเกี่ยวกับภัยพิบัติ ปกติอาจเป็นภัยธรรมชาติ เช่น พายุ, แผ่นดินไหว, สึนามิ, อุกกาบาตพุ่งชน

บางทีก็เป็นภัยธรรมชาติแบบเบาๆ บางทีก็แบบโลกาวินาศล้างเมืองเลย ซึ่งบางเรื่องสามารถปกป้องโลกกู้วิกฤติกลับมาได้ เช่น Armageddon, The Core ส่วนเรื่อง 2012 ก็เป็นแบบกู้วิกฤติไม่ได้แต่เหลือไว้ให้สร้างอารยธรรมกันใหม่  แล้วก็จะมีเรื่องแบบหายไปหมดโลกเลย อย่าง Knowing

แต่ที่ผมคัดมาไม่ได้เอาแนวนั้น ผมจะขอหยิบหนังประเภทที่ดำเนินเรื่องตอนที่บ้านเมืองและอารยธรรมล่มสลายไปแล้ว เป็นเนื้อหาในช่วงกลียุค ซึ่งจะมีแฟนๆบางกลุ่มชอบแนวนี้โดยเฉพาะ



Mortal Engines (2018) สมรภูมิล่าเมือง: จักรกลมรณะ

ถ้าแฟนหนังทั่วไปอาจจะไม่ค่อยชอบ แต่สำหรับคอหนังประเภทชอบดูไอเดียเกี่ยวกับโลกหลังอารยธรรมล่มสลาย ก็ต้องบอกว่าไอเดียดีใช้ได้เลย สร้างแบบอลังการฟอร์มหนังใหญ่ สนุกดูเพลิน

เนื้อหาเป็นเรื่องยุคสมัยที่ประเทศอยู่บนเครื่องจักรกลแทนผืนแผ่นดิน ปลาใหญ่กินปลาเล็กเพื่อความอยู่รอดและความสุขสบายของตัวเอง เหมือนประเทศมหาอำนาจในปัจจุบัน




Children of Men (2006) พลิกวิกฤต ขีดชะตาโลก

เรื่องนี้ฉากดีมาก ถูกใจคนนิยมเรื่องราวของกลียุคประเทศล่มสลาย ในเรื่องฉากเสื่อมโทรมของบ้านเมืองและอารยธรรมก็สร้างได้ถึงอารมณ์ มีความเป็นแนวดิสโทเปีย และสะท้อนสังคมถึงรัฐบาลประเทศมหาอำนาจที่เห็นแก่ตัวและกดขี่คนอพยพพลัดถิ่น กับฝ่ายกบฏที่เห็นแก่ประโยชน์ตัวเอง รวมไปถึงการลุกฮือของผู้ถูกกดขี่ กลายเป็นกองโจรหรือผู้ก่อการร้ายอะไรทำนองนั้น

ส่วนเนื้อหาก็เป็นเรื่องการช่วยเหลือสาวน้อยคนนึงที่ตั้งครรภ์ได้ ซึ่งในยุคนั้นผู้คนเป็นหมันกันทั่วโลกโดยไม่ทราบสาเหตุ




Bird Box (2018) มองอย่าให้เห็น

เป็นหนังดียอดเยี่ยมทาง Netflix  เนื้อหาไอเดียดี สร้างจากหนังสือนวนิยายปี 2014  เป็นเนื้อหาวันสิ้นยุคจากน้ำมือของภูติ, ปีศาจ ต้องเลือกเอาว่าใครจะตาย หรือใครจะตกเป็นสาวกของมัน ส่วนคนที่มีสิทธิ์รอดคือต้องปิดตา ใช้ชีวิตแบบตาบอด



A Quiet Place (2018) ดินแดนไร้เสียง

ก็เป็นไอเดียที่มาจากหนังยุคเก่าอย่าง The Quiet Earth แล้วก็หนังสือ Bird Box นี่แหละ แต่เปลี่ยนจากการใช้ชีวิตรอดแบบตาบอด มาเป็นการใช้ภาษาใบ้ คือต้องเงียบอย่างเดียว เรียกว่าใช้ชีวิตง่ายกว่าตรงที่อย่างน้อยก็มองเห็น แต่ก็ถึงจะง่ายกว่าแต่ก็ยังลำบากอยู่ดี เรื่องการไม่ใช้เครื่องยนต์ไม่เท่าไหร่ แต่ที่ยากคือต้องระวังแม้แต่ของตก ของแตกก็ไม่ได้ เสียงร้องเท้าเดินก็ไม่ได้ กดส้วมล้างน้ำก็ไม่ได้ ฉะนั้นก็ต้องอยู่แบบธรรมชาติ ส้วมก็คือในสวนในป่า ไหนจะต้องมีเด็กๆ ที่ธรรมชาติก็จะซุกซนหรือซุ่มซ่ามบ้าง หรือเด็กทารกก็จะร้องไห้แบบห้ามไม่ได้

ส่วนหายนะก็เปลี่ยนจากภูติผีมาเป็นแนววิทยาศาสตร์สยองขวัญ เป็นสัตว์ประหลาดตาบอดจำนวนมากที่ออกมาฆ่าชาวโลกด้วยการฟังเสียง ไม่มีอาวุธอะไรฆ่ามันได้ง่ายๆ ไม่งั้นกองทัพคงกวาดล้างไปแล้ว แต่สุดท้ายก็พบวิธีต่อสู้

ในภาค 2 ก็จะออกฉายเดือนมีนา 2020 นี้ คงอาจจะได้คำตอบว่าสัตว์ประหลาดมาจากไหน แต่จากตัวอย่างก็เผยเนื้อหาว่า เป็นการเล่าย้อนกลับไปในช่วงที่สัตว์ประหลาดออกมาล้างบางผู้คน แล้วอีกส่วนก็ดำเนินเรื่องต่อจากภาคแรก



Waterworld (1995) ผ่าโลกมหาสมุทร

หนังคลาสสิคยุค 90 เป็นเรื่องของอนาตตในแบบน้ำท่วมโลก จนผู้คนในยุคอนาคตที่อาศัยอยู่บนเรือ บนเมืองลอยน้ำ ไม่รู้เลยว่าเมืองที่มีแผ่นดินเคยมีอยู่จริงรึเปล่าที่เล่าต่อกันมา มีเมืองที่จมอยู่ใต้น้ำจริงรึเปล่า ต้องมีการพิสูจน์

อันนี้ถ้าเป็นคนที่ผ่านสมัยยุค 90 มายังไงก็ต้องเคยดูเรื่องนี้เพราะเป็นหนังดัง



Terminator : Salvation (2009) มหาสงครามจักรกลล้างโลก

หนังฅนเหล็กภาคอื่นทุกภาคจะเป็นเนื้อหาของเวลาปัจจุบัน แล้วมีหน่วยสังหารจากอนาคตถูกส่งมา แต่สำหรับภาคนี้เป็นเรื่องราวของยุคอนาคตล้วนๆ เป็นยุคที่จักรกลถล่มจนบ้านเมืองล่มสลายไปแล้ว มนุษยชาติอยู่แบบคอยหนีหลบๆซ่อนๆ แล้วก็มีกลุ่มคนที่ออกมาหาทางโค่นจักรกล

มันก็แน่นอนว่าไม่มีภาคไหนสนุกเท่า 2 ภาคแรกสุดคลาสสิคได้ แต่ถ้าพูดถึงเฉพาะแนว Apocalypse สำหรับฅนเหล็กแล้วก็มีอยู่ภาคนี้ภาคเดียวที่ดำเนินเนื้อเรื่องในยุคอนาคต แล้วก็ถือว่าเป็นหนังที่สร้างดีใช้ได้เลยตามมาตรฐานของมัน



Day After Tomorrow (2004) วิกฤติวันสิ้นโลก

เกิดภัยพิบัติน้ำแข็งปกคลุมทั่วโลกในเวลาไม่กี่ชั่วโมง อารยธรรมบ้านเมืองก็ล่มสลายทันที

แล้วเนื้อหาก็จะเป็นเรื่องการฝ่าฟันในยุคน้ำแข็ง เพื่อช่วยเหลือสมาชิกครอบครัว ถือว่าเป็นหนังสนุกฟอร์มใหญ่ของปีนั้น



The 5th Wave (2016) อุบัติการณ์ล้างโลก

เรื่องนี้อาจไม่ถูกใจแฟนหนังทั่วไป เลยไม่ปังแล้วก็ไม่มีภาค 2 ต่อ ในขณะที่แฟนๆหนังสือก็ไม่ชอบด้วย ก็เป็นธรรมดา เพราะภาพยนตร์จะให้ทำออกมาเหมือนหนังสือก็เป็นไปไม่ได้ มันต้องปรับและบีบเนื้อหาให้อยู่ในเวลาจำกัด

แต่สำหรับคอหนังที่ชอบซีนบ้านเมืองล่มสลาย ยังไงก็สนุก โดยเนื้อหาเป็นการล้างโลกที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ต่างดาวที่มายึดโลก แล้วมนุษยชาติก็ต้องออกมาหาทางต่อสู้ โดยวัยรุ่นกลุ่มเล็กๆ

นำแสดงโดยหนู "จิ๋วจี๊ด" จากเรื่อง Kick Ass เกรียนโคตรมหาประลัย) สำหรับแฟนๆ โคลอี มอเรตซ์ ยังไงก็ไม่พลาดอยู่แล้ว



28 Weeks Later (2007) มหาเชื้อภัยนรกถล่มเมือง

ก็แนวเป็นแนวเชื้อโรคซอมบี้ฆ่าคน แต่จะเป็นซอมบี้แบบวิทยาศาสตร์หน่อย ไม่ใช่เป็นแฟนตาซีเกินจริงเหมือน Resident Evil

สำหรับคนที่รอดชีวิตก็ต้องมารวมกันเป็นครอบครัวและต่อสู้หาทางรอดด้วยกัน พร้อมเผชิญกับความโหดร้ายของมนุษย์ด้วยกันเอง



28 Days Later… (2002) 28 วันให้หลัง เชื้อเขมือบคน

ก็เอาไอเดียจากเดิมมาสร้าง แต่เป็นคนละเรื่องกับ 28 Weeks ก็เป็นเชื้อโรคทำให้คนคุ้มคลั่งเป็นซ้อมบี้ แล้วก็แสดงให้เห็นถึงความงี่เง่าของคน ความงี่เง่าของตัวเอกไม่กี่คนในเรื่อง ความสิ้นคิดทำให้เดือดร้อนไปทั้งสังคม

ถ้าพูดถึงหนังวันสิ้นโลกแนวซอมบี้ที่สนุกที่สุดก็คือ World War Z แต่ ณ ที่นี้ผมไม่คัดมาสาธยายเพราะไม่ใช่เนื้อหาหลังยุคล่มสลาย



Zombieland (2009) ซอมบี้แลนด์ แก๊งคนซ่าส์ล่าซอมบี้
และ Zombieland 2 Double Tap (2019)

ก็ออกแนวซอมบี้จ๋า แบบไม่ต้องวิทยาศาสตร์หรือตรรกะเหตุผลอะไร เป็นหนังตลกสนุก มีบรรยากาศของการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด

ที่จริงหนังซอมบี้มีเยอะแต่ซ้ำซาก ส่วนเรื่องนี้สนุกดี มีมุขเด็ดๆ



I am Legend (2007) ข้าคือตํานานพิฆาตมหากาฬ

เป็นหนังซอมบี้อีกเรื่องนึง ก็คือเนื้อเรื่องดีแต่ตัวซอมบี้อาจจะโอเว่อร์เกินวิทยาศาสตร์ไปหน่อย หนังระดับวิล สมิธแสดงมันก็สนุกไม่น่าเบื่อ

เรื่องนี้ก็มีแนวศาสนาด้วย เพราะที่จริง Apocalypse มันก็เป็นความเชื่อทางศาสนา หนังบางเรื่องก็เลยใส่เนื้อหาเหล่านี้มาด้วย คือเรื่องนี้ใส่มาดีทำนองเดียวกับเรื่อง War of the Worlds และเรื่อง Signs (2 เรื่องนี้เป็นแนวมนุษย์ต่างดาวบุกโลก) ถือว่าเอาศาสนามาแทรกแบบโอเค มีเหตุผล ไม่เหมือนเรื่อง The Book of Eli อันนี้เป็นแนว Apocalypse เหมือนกัน แต่สำหรับผมรู้สึกไม่สนุก และคิดว่ามันโปรโมทศาสนาแบบโท่งๆไป แล้วก็มาแบบไม่เอาเหตุผลเลย

...
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่