เรื่องที่จะเล่าต่อจากนี้ ตั้งใจให้เป็นธรรมทาน ไม่ได้เจตนาจะหลอกลวงแต่อย่างใด
เหตุเกิดขึ้นจากการที่เราขึ้นไปเที่ยวเล่นบนสวรรค์ชั้นดุสิต แล้วไปได้ยินเทพธิดาสององค์คุยเล่นกันขณะเก็บดอกไม้ พอจับใจความได้ว่า จะมีการแสดงธรรม ณ สวนนันทวัน ชั้นดาวดึงส์ เราจึงเกิดความสงสัยว่าการแสดงธรรมในโลกสวรรค์จะเป็นเช่นไร จะแตกต่างกับโลกมนุษย์หรือไม่ แล้วเนื้อหาที่แสดงล่ะ จะเป็นอย่างไร จึงตัดสินใจลองไปดู เมื่อตัดสินใจได้เช่นนั้นแล้วจึงคำนวณเวลาที่จะไป ถ้าเทียบเวลาในโลกมนุษย์เป็นเวลาประมาณ 4-5 ทุ่ม
เมื่อถึงเวลา เราขึ้นไปบนชั้นดาวดึงส์ ปรากฏว่ามาก่อนเวลาพอสมควร จึงมีเวลาให้มองสิ่งต่างๆรอบตัวอย่างละเอียดขึ้น สถานที่แสดงธรรมเป็นลานกว้าง รอบด้านเป็นต้นไม้เล็กใหญ่ออกดอกผลิบานให้ความรู้สึกร่มรื่น ต้นไม้ที่ว่านั้นดูคล้ายต้นไม้ในโลกมนุษย์แต่มีความงดงามกว่ามาก มีใบไม้ร่วงหล่นบ้างไม่มากเกินไป พอให้สวยงาม เมื่อใบไม้ใกล้ถึงพื้นก็จะสลายหายไป ไม่ต้องเก็บกวาดอย่างโลกมนุษย์ ในอากาศมีละอองสีขาวนวลเล็กๆคล้ายหิ่งห้อยล่องลอยไปมา คอยสร้างความเพลิดเพลินให้กับเหล่าเทวดา มีรั้วแก้วเตี้ยๆเป็นผลึกใสสลักลายสวยงามส่องประกายสีรุ้งกั้นระหว่างสวนกับลานกว้าง มีธรรมาสน์แก้วประกายรุ้งลักษณะคล้ายดอกบัวมีความวิจิตรงดงามอย่างมาก เปล่งแสงสว่างไสวไปทั่วบริเวณ ตั้งอยู่ด้านหน้าลาน ส่วนพื้นเป็นพื้นเมฆ มีลักษณะนุ่มฟู ละเอียดยิ่งกว่านุ่น พอเหยียบไปให้ความรู้สึกอ่อนนุ่มสบาย มีความแข็งเล็กน้อยแต่ไม่มาก พอให้ความรู้สึกว่ายืนได้ไม่ตกแน่ๆ ช่วงที่เรามายังไม่ค่อยมีใครมามากนัก ทำให้มีพื้นที่เหลือว่างมากพอสมควร
และเมื่อเลือกได้แล้วว่าจะนั่งตรงไหน พอนั่งลงไปกับพื้น จากพื้นที่แข็งๆแต่มีความอ่อนนุ่มจะกลายเป็นพื้นที่นิ่มๆให้ความรู้สึกคล้ายนั่งบนฟูก เมื่อใกล้เวลา เหล่าเทวดานางฟ้าเริ่มพากันมามากขึ้นจากตอนแรก บ้างมาจากชั้นดาวดึงส์ บ้างลงมาจากชั้นยามา ชั้นดุสิตและชั้นอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญน่าจะมาจากชั้นดุสิต แต่ละองค์ล้วนมีความงดงามอันเป็นเอกลักษณ์ของตนทั้งสิ้น และมีความน่าอัศจรรย์เกิดขึ้นก็คืออาณาบริเวณของลานแสดงธรรมสามารถขยายใหญ่ออกไปได้อย่างไม่จำกัด จึงสามารถรองรับเหล่าเทวดานางฟ้าที่มาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลา เสียงพูดคุยของเหล่าเทวดานางฟ้าก็เงียบลง
ท้าวสักกะและเทวดาชั้นผู้ใหญ่อีกสององค์ได้เชิญภิกษุรูปหนึ่งขึ้นธรรมาสน์ด้วยกิริยาอันนอบน้อม เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ท่านเริ่มแสดงธรรม ที่น่าแปลกคือเสียงที่ท่านเปล่งออกมากังวานไปทั่ว ไม่ได้ดังหรือเบาจนเกินไป ขนาดเราที่นั่งอยู่ค่อนข้างห่างจากธรรมาสน์พอควร ยังรู้สึกเหมือนท่านมาพูดให้ฟังตรงหน้า
การแสดงธรรมผ่านไปสักพัก เราเห็นเทพธิดาที่นั่งอยู่ข้างๆ เอามือกุมอกด้วยความปิติแล้วก็บังเกิดรัศมีสีขาวสว่างขึ้นรอบๆตัว พอมองไปยังเทวดาองค์อื่นๆก็เป็นเช่นเดียวกัน คือมีรัศมีอ่อนๆรอบตัวเพิ่มมากขึ้นจากเดิม สิ่งที่ทำให้เราเกิดความวิตกก็คือ เราไม่สามารถจับใจความที่ท่านพูดได้เลยแม้แต่คำเดียว เราเห็นท่านพูด เห็นท่านขยับปาก เราได้ยินเสียงท่านแต่เราไม่รู้ว่าท่านพูดอะไร มันแปลไม่ออก เหมือนระบบการประมวลผลหยุดทำงานไปชั่วขณะ ไม่มีอะไรอยู่ในหัวเลยตอนนั้นนอกจากความคิดเรา เรารู้สึกไม่สบายใจมาก คิดอยู่แต่ว่าทำไมเราฟังไม่รู้เรื่อง ไม่มีอะไรเข้าหัวเลย คือมันโล่งไปหมด ตอนนั้นเราวิตกมาก แล้วคิดว่าอาจเป็นเพราะบุญบารมีเราไม่ถึงพอที่ฟังพระธรรมในสวรรค์ หรืออาจเป็นเราที่ไม่มีปัญญามากพอที่จะเข้าใจ อยู่ๆคำหนึ่งก็ผุดขึ้นมา คือ จิตเราจะเป็นผู้สอนเราเอง เมื่อตระหนักได้เช่นนี้ เราจึงละจากบนนั้นลงมาดูที่ลมหายใจเข้าออกแทน มาดูสภาพกายที่เคลื่อนไหวแทน
หลังจากได้กลับมาโลกมนุษย์แล้ว จึงคิดได้ในภายหลังว่า
ภิกษุบนสวรรค์รูปนั้นท่านได้แสดงธรรมที่แท้จริงให้เราได้เห็นชัดเจนแล้ว คือได้เห็นสิ่งที่เป็นสิ่งดั้งเดิม แสดงไตรลักษณ์ ให้เห็นอยู่ เป็นธรรมแท้ที่พ้นจากสมมติบัญญัติ ปราศจากการปรุงแต่ง เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ได้ยิน ซึ่งการที่เราไปคิดอะไรต่างๆนานานั้น เกิดจากจิตที่มีอวิชชา เมื่อได้รับรู้สภาวะธรรม ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้นทางกาย ทางใจ แล้วก็จะปรุงแต่งเป็นตัวตนบุคคลขึ้นมา ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้น
แชร์ประสบการณ์ ไปฟังธรรมบนสวรรค์
เหตุเกิดขึ้นจากการที่เราขึ้นไปเที่ยวเล่นบนสวรรค์ชั้นดุสิต แล้วไปได้ยินเทพธิดาสององค์คุยเล่นกันขณะเก็บดอกไม้ พอจับใจความได้ว่า จะมีการแสดงธรรม ณ สวนนันทวัน ชั้นดาวดึงส์ เราจึงเกิดความสงสัยว่าการแสดงธรรมในโลกสวรรค์จะเป็นเช่นไร จะแตกต่างกับโลกมนุษย์หรือไม่ แล้วเนื้อหาที่แสดงล่ะ จะเป็นอย่างไร จึงตัดสินใจลองไปดู เมื่อตัดสินใจได้เช่นนั้นแล้วจึงคำนวณเวลาที่จะไป ถ้าเทียบเวลาในโลกมนุษย์เป็นเวลาประมาณ 4-5 ทุ่ม
เมื่อถึงเวลา เราขึ้นไปบนชั้นดาวดึงส์ ปรากฏว่ามาก่อนเวลาพอสมควร จึงมีเวลาให้มองสิ่งต่างๆรอบตัวอย่างละเอียดขึ้น สถานที่แสดงธรรมเป็นลานกว้าง รอบด้านเป็นต้นไม้เล็กใหญ่ออกดอกผลิบานให้ความรู้สึกร่มรื่น ต้นไม้ที่ว่านั้นดูคล้ายต้นไม้ในโลกมนุษย์แต่มีความงดงามกว่ามาก มีใบไม้ร่วงหล่นบ้างไม่มากเกินไป พอให้สวยงาม เมื่อใบไม้ใกล้ถึงพื้นก็จะสลายหายไป ไม่ต้องเก็บกวาดอย่างโลกมนุษย์ ในอากาศมีละอองสีขาวนวลเล็กๆคล้ายหิ่งห้อยล่องลอยไปมา คอยสร้างความเพลิดเพลินให้กับเหล่าเทวดา มีรั้วแก้วเตี้ยๆเป็นผลึกใสสลักลายสวยงามส่องประกายสีรุ้งกั้นระหว่างสวนกับลานกว้าง มีธรรมาสน์แก้วประกายรุ้งลักษณะคล้ายดอกบัวมีความวิจิตรงดงามอย่างมาก เปล่งแสงสว่างไสวไปทั่วบริเวณ ตั้งอยู่ด้านหน้าลาน ส่วนพื้นเป็นพื้นเมฆ มีลักษณะนุ่มฟู ละเอียดยิ่งกว่านุ่น พอเหยียบไปให้ความรู้สึกอ่อนนุ่มสบาย มีความแข็งเล็กน้อยแต่ไม่มาก พอให้ความรู้สึกว่ายืนได้ไม่ตกแน่ๆ ช่วงที่เรามายังไม่ค่อยมีใครมามากนัก ทำให้มีพื้นที่เหลือว่างมากพอสมควร
และเมื่อเลือกได้แล้วว่าจะนั่งตรงไหน พอนั่งลงไปกับพื้น จากพื้นที่แข็งๆแต่มีความอ่อนนุ่มจะกลายเป็นพื้นที่นิ่มๆให้ความรู้สึกคล้ายนั่งบนฟูก เมื่อใกล้เวลา เหล่าเทวดานางฟ้าเริ่มพากันมามากขึ้นจากตอนแรก บ้างมาจากชั้นดาวดึงส์ บ้างลงมาจากชั้นยามา ชั้นดุสิตและชั้นอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญน่าจะมาจากชั้นดุสิต แต่ละองค์ล้วนมีความงดงามอันเป็นเอกลักษณ์ของตนทั้งสิ้น และมีความน่าอัศจรรย์เกิดขึ้นก็คืออาณาบริเวณของลานแสดงธรรมสามารถขยายใหญ่ออกไปได้อย่างไม่จำกัด จึงสามารถรองรับเหล่าเทวดานางฟ้าที่มาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลา เสียงพูดคุยของเหล่าเทวดานางฟ้าก็เงียบลง
ท้าวสักกะและเทวดาชั้นผู้ใหญ่อีกสององค์ได้เชิญภิกษุรูปหนึ่งขึ้นธรรมาสน์ด้วยกิริยาอันนอบน้อม เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ท่านเริ่มแสดงธรรม ที่น่าแปลกคือเสียงที่ท่านเปล่งออกมากังวานไปทั่ว ไม่ได้ดังหรือเบาจนเกินไป ขนาดเราที่นั่งอยู่ค่อนข้างห่างจากธรรมาสน์พอควร ยังรู้สึกเหมือนท่านมาพูดให้ฟังตรงหน้า
การแสดงธรรมผ่านไปสักพัก เราเห็นเทพธิดาที่นั่งอยู่ข้างๆ เอามือกุมอกด้วยความปิติแล้วก็บังเกิดรัศมีสีขาวสว่างขึ้นรอบๆตัว พอมองไปยังเทวดาองค์อื่นๆก็เป็นเช่นเดียวกัน คือมีรัศมีอ่อนๆรอบตัวเพิ่มมากขึ้นจากเดิม สิ่งที่ทำให้เราเกิดความวิตกก็คือ เราไม่สามารถจับใจความที่ท่านพูดได้เลยแม้แต่คำเดียว เราเห็นท่านพูด เห็นท่านขยับปาก เราได้ยินเสียงท่านแต่เราไม่รู้ว่าท่านพูดอะไร มันแปลไม่ออก เหมือนระบบการประมวลผลหยุดทำงานไปชั่วขณะ ไม่มีอะไรอยู่ในหัวเลยตอนนั้นนอกจากความคิดเรา เรารู้สึกไม่สบายใจมาก คิดอยู่แต่ว่าทำไมเราฟังไม่รู้เรื่อง ไม่มีอะไรเข้าหัวเลย คือมันโล่งไปหมด ตอนนั้นเราวิตกมาก แล้วคิดว่าอาจเป็นเพราะบุญบารมีเราไม่ถึงพอที่ฟังพระธรรมในสวรรค์ หรืออาจเป็นเราที่ไม่มีปัญญามากพอที่จะเข้าใจ อยู่ๆคำหนึ่งก็ผุดขึ้นมา คือ จิตเราจะเป็นผู้สอนเราเอง เมื่อตระหนักได้เช่นนี้ เราจึงละจากบนนั้นลงมาดูที่ลมหายใจเข้าออกแทน มาดูสภาพกายที่เคลื่อนไหวแทน
หลังจากได้กลับมาโลกมนุษย์แล้ว จึงคิดได้ในภายหลังว่า ภิกษุบนสวรรค์รูปนั้นท่านได้แสดงธรรมที่แท้จริงให้เราได้เห็นชัดเจนแล้ว คือได้เห็นสิ่งที่เป็นสิ่งดั้งเดิม แสดงไตรลักษณ์ ให้เห็นอยู่ เป็นธรรมแท้ที่พ้นจากสมมติบัญญัติ ปราศจากการปรุงแต่ง เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ได้ยิน ซึ่งการที่เราไปคิดอะไรต่างๆนานานั้น เกิดจากจิตที่มีอวิชชา เมื่อได้รับรู้สภาวะธรรม ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้นทางกาย ทางใจ แล้วก็จะปรุงแต่งเป็นตัวตนบุคคลขึ้นมา ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้น