ข่าวการลาออกของ ceo ท่านนี้ เป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายว่า จะเกิดขึ้นได้เร็วขนาดนี้ เพราะทุกคนคาดหวังว่า คุณป้าแกจะอยู่กับ dtac ไปนานๆ ไม่น่าด่วนจากไปเลย
ซึ่งถ้ามาดูผลจากที่คุณป้าทำมาตั้งแต่ปี 61 จนถึงบัดนี้ นับว่าน่าประทับใจมากเลยทีเดียว ทั้งเรื่องการขยายโครงข่าย 2100/2300 ทั่วประเทศได้อย่างรวดเร็ว และการเซ็นต์ mou กับ jas ทำให้เกิดเน็ตบ้าน+เน็ตมือถือ 3bb+dtac สามารถทำให้แข่งขันกับค่ายอื่นได้อย่างสูสีมากยิ่งขึ้น แต่ก็เสียดายตรงที่ว่ากาาขยายโครงข่าย 900 ให้ครอบคลุมทั่วประเทศยังไม่เกิดขึ้นในยุคของป้าแก แกจากไปเสียก่อน เพราะถ้าหากคลื่น 900 ครอบคลุมทั่วประเทศได้ คงจะเห็นผลต่างและความเปลี่ยนแปลงไปอีกเยอะทีเดียว
ทีนี้ขอพูดถึงเน็ตบ้าน+เน็ตมือถือ 3bb+dtac ที่หลายคนมองว่า การร่วมมือครั้งนี้ไม่น่าสร้างรายได้เพิ่มให้ dtac ซักเท่าไร หรือสร้างผลลัพธ์ให้ dtac และ 3bb ได้น้อย ก็ถือว่าเป็นความจริงในระดับนึง ซึ่งก็ไม่น่าแปลกเพราะมาทำหลังค่ายคู่แข่งถึง 2 ปีกว่า มาอยู่ในฐานะผู้ตาม อะไรๆมันก็ไม่ง่ายอย่างนี้แหละ
ที่จริงแล้วการจับมือกันระหว่าง dtac กับ jas ควรเกิดขึ้นเร็วกว่านี้ซักช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว ที่มาจับมือกันช่วงเวลานี้ก็ไม่ใช่ไม่ดีนะ ก็ดีอยู่ประมาณนึง แต่การสร้างผลลัพธ์ทำได้ไม่สุดเท่าไร สาเหตุหนึ่งก็คือ โปรโมชั่น no limit ที่ออกมาในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมาอย่าง 200 บาท 4 mbps 100 GB หรือ โปร 100 บาท 4 mbps 30 GB หรือที่ออกมาช่วงหลัง 200 บาท 10 mbps ตัดความคุ้มค่าของโปร 3bb+dtac ไปเยอะพอสมควร โปร no limit ที่กล่าวมาคุ้มค่าน่าใช้กว่าโปรไม่จำกัดความเร็วแบบ 299 บาท 16 GB หรือ 349 บาท 20 GB เป็นต้น เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะเร็ว 4 mbps หรือ 30 mbps ก็ยังสามารถใช้งานต่างๆหลายงานได้ไม่ต่างกัน เอาจำนวนข้อมูลเยอะ 100 GB ขึ้นไปดีกว่า
เช่นว่าซื้อแบบแยก เน็ตบ้าน 3bb 590 บาท 200/200 mbps
เน็ตมือถือ dtac 200 บาท 10 mbps
2 โปรรวมกัน จ่าย 790 บาท ซึ่งแพงกว่าโปรเน็ตบ้าน+เน็ตมือถือ 3bb+dtac 690 บาท เพียง 100 บาท แต่ได้อะไรหลายๆอย่างที่คุ้มค่ามากกว่า
ที่กล่าวมานี้ยังไม่นับรวมโปรเน็ตบ้านที่มีราคาต่ำกว่า 500 บาท หรือต่ำกว่า 400 บาท และเมื่อเอามารวมกับเน็ตมือถือ 200 บาท 10 mbps ก็ยังมีราคาถูกและคุ้มค่ากว่าโปร 3bb+dtac ราคา 690 บาทอีก
ในความเป็นจริง ถ้า 3bb จับมือกับ dtac ตั้งแต่ช่วงปลายปี 61 ต้นปี 62 ซึ่งยังไม่มีโปรเน็ตมือถือ 150/200 บาท เล่นได้ไม่จำกัด ก็จะเห็นผลความคุ้มค่าอย่างชัดเจน
แล้วปัญหาที่ผ่านมาอีกลักษณะหนึ่ง เมื่อจับมือกันแล้วคือ ลูกค้าบางคนที่ซื้อใช้เน็ตบ้าน 3bb กับเน็ตมือถือ dtac แบบแยกของใครของมัน ก่อนหน้าที่จะมีโปรเหมารวม 3bb+dtac 690 บาท และ 890 บาท ก็อยากจะเปลี่ยนมาใช้โปรเหมารวมเน็ตบ้าน+เน็ตมือถือมากกว่าซื้อแบบแยก เช่นลูกค้าที่ใช้โปร 3bb 700 บาท 400/400 mbps และซื้อเน็ตมือถือ dtac 249 บาท 10 GB รวมจ่าย 949 บาท พอมาเจอโปร 3bb 300/300 mbps+dtac 10 GB ราคา 690 บาท อย่างนี้ก็ทำให้เขาตัดสินใจเลือกโปรเหมารวม 690 บาทดีกว่า ลูกค้าบางคนอยากได้โปรก็ขู่จะย้ายค่ายถ้าหากทางผู้ให้บริการไม่ยอมให้โปรที่ลูกค้าต้องการ สุดท้ายผู้ให้บริการก็ต้องให้ไป ซึ่งก็ทำให้รายได้บางส่วนลดลง แต่การให้โปรตามที่ลูกค้าต้องการถือว่าเป็นสิ่งถูกนะ เพราะลูกค้าที่คิดตั้งใจจะย้ายค่ายแบบไม่ขู่ก็มีอยู่จริง หรือบางคนก็คิดย้ายค่ายต่อไปในอนาคตจริงๆ ถ้าต่อไปค่ายอื่นทำเน็ตบ้านได้ครอบคลุมทั่วประเทศและทำได้อย่างมีคุณภาพ แล้ว 3bb กับ dtac ยังไม่จับมือกัน น่าจะโดนแย่งลูกค้ามากกว่านี้ เสียผลประโยชน์มากกว่านี้
อีกอย่างหนึ่ง เรื่องที่กล่าวมานี้ ก็ต้องย้อนกลับไปดูว่าเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ค่ายอื่นที่เริ่มต้นทำโปรเหมารวมเน็ตบ้าน+เน็ตมือถือมีปัญหารายได้ลดลงเพราะลูกค้าเปลี่ยนจากการซื้อบริการในรูปแบบแยกเน็ตบ้านและเน็ตมือถือมาเป็นโปรเหมารวมแบบที่ dtac+3bb เจอตอนนี้บ้างมั้ย ค่ายอื่นๆก็ต้องเจอมาบ้างเหมือนกัน แต่พวกเขาผ่านปัญหาลักษณะนี้มาจนสถานการณ์นิ่งแล้ว และมีความได้เปรียบ dtac อยู่อย่างนึงคือ เริ่มทำโปรแบบนี้มาก่อน ทำให้แย่งลูกค้าจาก dtac ไปได้ส่วนหนึ่ง
เพราะฉะนั้นการที่ dtac จับมือกับ 3bb ในตอนนี้ก็ทำให้เกิดผลลักษณะที่เด่นชัดในเรื่องการป้องกันไม่ให้ลูกค้าที่มีอยู่ย้ายค่ายหนีไปอยู่ค่ายอื่นในช่วงเวลานี้และต่อไปในอนาคตมากกว่า ส่วนแย่งลูกค้าจากค่ายอื่นคงต้องลุ้นกันอีกที และควรจะทำโปรเน็ตบ้าน+เน็ตมือถือให้มีความน่าสนใจกว่านี้ด้วย
ส่วนเรื่องประมูล 5G ที่มีคนบอกว่า หาก dtac ไม่เข้าร่วม ก็จะต้องพบความเสียหายอย่างโน้นบ้างอย่างนี้บ้าง ตรงนี้เป็นเรื่องที่บอกยากพอสมควรว่า จะเสียหายอย่างที่ใครเขาพูดกันจริงทุกกรณีหรือเปล่า
4 ปีที่แล้วมีคนบอกว่าประมูล 1800 ปี 61 ทาง dtac จะต้องโดนดันราคาประมูลคลื่นไปที่ 50,000 ล้าน คลื่น 900 โดนดันไปที่ 80,000 ล้าน ก็ไม่เห็นเป็นจริงตามคำพูด
ใครจะบอกว่าถ้า dtac ไม่เข้าประมูล 5G รอบนี้ จะต้องตกอยู่ในสถานการณ์เหมือนแพ้ประมูล 4G เมื่อ 4 ปีที่แล้ว มันเป็นคำพูดไม่ถูกหรอก เพราะเป็นคนละกรณี คนละเงื่อนไขกัน
การที่ dtac แพ้ประมูลเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ทำให้ส่อแววหมดอนาคตที่จะทำธุรกิจในไทยต่อ หากแพ้ประมูลคลื่นอีกในรอบต่อไป เพราะการที่มี 2100 เพียงคลื่นเดียวนั้นไม่เพียงพอรองรับลูกค้า แต่วันนี้ dtac มีคลื่นใช้งานเพียงพออยู่แล้ว และรอเปิดบริการ 5G 700 อยู่ นับว่ามีความแตกต่างจากการแพ้ประมูลคลื่น 900 มากๆ ตอนแพ้ประมูล 900 ทำให้หลายคนคิดว่า จะต้องปิดกิจการในไทยแน่ๆ ส่วนการประมูล 5G เดือนหน้าต่อให้ dtac ประมูลคลื่นไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่เข้าประมูลเลยก็ไม่เป็นไร จะประมูลคลื่น 3500 ปี 65 ก็ไม่เป็นไร เพราะมีคลื่นเพียงพอให้บริการอยู่แล้ว
หากใครมีมือถือ 5G ยังไงก็มี 5G โชว์อยู่หน้าจอนั่นแหละ เพราะคลื่น 700 ที่ส่งสัญญาณครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่
สมมติว่าค่ายนึงมีคลื่น 700 คลื่นเดียว กับอีกค่ายนึงมีทั้ง 700,2600,26 Ghz หน้าจอมันก็โชว์ 5G ทุกพื้นที่เหมือนกันแหละ เพียงแต่ค่ายที่มีคลื่น 2600,3500,26 Ghz ก็จะสามารถเทสสปีดได้ถึงระดับ Gbps เป็นหย่อมๆได้ เป็นบางพื้นที่ และคงใช้เวลาเกินกว่า 2 ปีในการขยายโครงข่าย 2600,3500,26 Ghz ให้ครอบคลุมได้เกินกว่า 60% ของประชากร ใครที่เอามือถือมาเทสความเร็ว 5G ระดับ Gbps ไม่นานเน็ตก็หมด ติด fup แล้วก็มาบ่นกัน ทำไมเน็ตหมดเร็วจัง
การเอามือถือ 5G มาเทสสปีด 5G ที่เร็วระดับ Gbps คงเทสได้ไม่บ่อย และไม่คุ้มค่าเท่าไรนัก
แล้วถ้าถามว่า การลงทุน 5G จะทำกำไรได้มากน้อยแค่ไหน ข้อนี้ก็ตอบยากอีกล่ะ
สมมติว่า มีโปรอยู่ประมาณนี้ได้แก่
โปร 4G 150 บาท/เดือน 4 mbps
200 บาท/เดือน 10 mbps
โปร 5G 400 บาท/เดือน 20 mbps
500 บาท/เดือน 30 mbps
จะมีคนยอมจ่ายเงินเพิ่มเพื่อโปร 5G ที่เร็วซัก 20-30 mbps ซักเท่าไร ในเมื่อทุกวันนี้ความเร็ว 4-10 mbps ก็ยังใช้งานได้อีกหลายงาน แถมบางคนยังเรียกร้องโปร 2 mbps 90 บาทอยู่เลย
จริงอยู่ที่มีคนบางกลุ่มต้องการให้มี 5G โชว์ขึ้นหน้าจอ แต่คนกลุ่มใหญ่ต้องการโปรราคาถูกๆ จ่ายเงินน้อย เซฟเงินในกระเป๋ามากกว่า เผลอๆคนบางคนที่ต้องการ 5G โชว์บนหน้าจอ ลึกๆในใจแล้วก็ยังต้องการโปรที่จ่ายน้อยๆประหยัดตังค์ด้วย แถมเครื่องรองรับ 5G มีน้อยและราคาแพงทีเดียว สภาพเศรษฐกิจตอนนี้ก็ไม่แน่ใจว่า จะมีคนควักกระเป๋าออกมาเพื่อซื้อเครื่อง 5G เป็นการเฉพาะซักกี่คน
การประมูล 4G เมื่อปี 58 เป็นการชี้วัดการสร้างผลกำไรให้กับบริษัท แต่ละค่ายจึงยอมแบกหนี้ก้อนใหญ่เพื่อชนะการประมูล 900/1800 แต่การประมูลครั้งนี้นัยยะการสร้างกำไรความคุ้มค่ามีน้อยกว่าการประมูล 4G เมื่อปี 58 มากๆ ถ้าไม่มีค่ายใหญ่ๆเข้าประมูลเลย ก็ถือเป็นเรื่องปกตินะ
แต่หากมีบางค่ายเข้าประมูล บางค่ายไม่เข้า
ค่ายที่เข้าประมูลก็ได้เปรียบเรื่องภาพลักษณ์อยู่ประมาณนึง
ส่วนค่ายที่ไม่เข้า ก็ได้เปรียบเรื่องต้นทุน เล่นสงครามราคาได้ง่ายกว่า การเงินคล่องตัวกว่า
แต่จะว่าไป ก็อย่างที่บอกทุกค่ายมี 5G 700 อยู่ในมือ ถึงไม่เข้าประมูล 5G 2600 เดือนหน้า ยังไงก็ยังมี 5G ไว้โชว์หน้าจออยู่ดี
พูดถึงคลื่น 2600 mhz นี้ ก็ยังสงสัยอยู่ว่าสิ่งที่ทางเจ้าหน้าที่รัฐได้กระทำอยู่เป็นเรื่องที่ฉลาดมั้ย คือทางกสทช.ได้บอกไปก่อนแล้วว่า ค่าคลื่นอสมท.ได้ใช้สูตรคำนวณตามมูลค่าคลื่นจริงเพื่อจ่ายอสมท.จำนวน 11,172 ล้านบาท หากอสมท.ไม่พอใจก็ไปฟ้องศาลได้ แต่สุดท้ายโดนบอร์ดกสทช.ตีกลับ
ในเมื่อกสทช.เป็นคนบอกแต่แรกเองว่า ใช้สูตรคำนวณตามมูลค่าคลื่นจริง หากอสมท.ไม่พอใจก็ไปฟ้องศาล แสดงว่าสูตรคำนวณค่าคลื่นนั้นต้องเป็นสูตรที่เป็นมาตราฐานแล้ว เพียงแต่บอร์ดอาจเห็นว่าราคาไม่เหมาะสม ต้องถามว่าบอร์ดมีสูตรอะไรมาคำนวณค่าคลื่นที่ถูกต้องจริงๆ งานนี้ถ้าคำนวณใหม่แล้วจ่ายให้อสมท.ต่ำกว่าจำนวน 11,172 ล้านอย่างที่ประกาศไว้แต่แรก อาจจะโดนอสมท.ฟ้องกลับก็ได้ ก็รอดูไปว่าจะจ่ายให้อสมท.เท่าไร
"ดังนั้น หาก อสมท ไม่พอใจกับเงินเยียวยาที่ได้ อสมท. ต้องดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลเอง เพราะ กสทช. ยืนยันว่าได้คิดมูลค่าจากคลื่นที่ อสมท ใช้งานจริงเท่านั้น แต่จำนวนดังกล่าวก็สูงมากแล้ว จึงขอให้ อสมท ตอบรับในมูลค่าดังกล่าวที่เสนอไป"
https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9630000003534
สรุปว่าสำหรับ dtac ถ้าจะไม่เข้าประมูล 5G ก็ควรรีบขยายโครงข่าย 900 ให้ครอบคลุมทั่วประเทศก็เป็นการดี เอาเงินที่จะต้องเข้าประมูลรอบนี้มาขยายคลื่น 900 ให้ครอบคลุมทั่วประเทศโดยเร็วที่สุด ก็จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและการให้บริการที่ดีแก่ลูกค้าได้มาก แล้วราคาหุ้น dtac ก็จะขึ้นมาอย่างดีทีเดียว
ยังไงก็ขอให้ CEO Alexandra ไปอย่างโชคดีมีชัย หวังว่าอนาคตจะได้เห็นแกกลับมาคุม dtac อีกครั้งนะ
การที่ CEO Alexandra ลาออกก่อนการประมูล 5G แบบฟ้าแลบ ส่งผลดีและผลเสียต่อ dtac อย่างไรบ้าง
ซึ่งถ้ามาดูผลจากที่คุณป้าทำมาตั้งแต่ปี 61 จนถึงบัดนี้ นับว่าน่าประทับใจมากเลยทีเดียว ทั้งเรื่องการขยายโครงข่าย 2100/2300 ทั่วประเทศได้อย่างรวดเร็ว และการเซ็นต์ mou กับ jas ทำให้เกิดเน็ตบ้าน+เน็ตมือถือ 3bb+dtac สามารถทำให้แข่งขันกับค่ายอื่นได้อย่างสูสีมากยิ่งขึ้น แต่ก็เสียดายตรงที่ว่ากาาขยายโครงข่าย 900 ให้ครอบคลุมทั่วประเทศยังไม่เกิดขึ้นในยุคของป้าแก แกจากไปเสียก่อน เพราะถ้าหากคลื่น 900 ครอบคลุมทั่วประเทศได้ คงจะเห็นผลต่างและความเปลี่ยนแปลงไปอีกเยอะทีเดียว
ทีนี้ขอพูดถึงเน็ตบ้าน+เน็ตมือถือ 3bb+dtac ที่หลายคนมองว่า การร่วมมือครั้งนี้ไม่น่าสร้างรายได้เพิ่มให้ dtac ซักเท่าไร หรือสร้างผลลัพธ์ให้ dtac และ 3bb ได้น้อย ก็ถือว่าเป็นความจริงในระดับนึง ซึ่งก็ไม่น่าแปลกเพราะมาทำหลังค่ายคู่แข่งถึง 2 ปีกว่า มาอยู่ในฐานะผู้ตาม อะไรๆมันก็ไม่ง่ายอย่างนี้แหละ
ที่จริงแล้วการจับมือกันระหว่าง dtac กับ jas ควรเกิดขึ้นเร็วกว่านี้ซักช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว ที่มาจับมือกันช่วงเวลานี้ก็ไม่ใช่ไม่ดีนะ ก็ดีอยู่ประมาณนึง แต่การสร้างผลลัพธ์ทำได้ไม่สุดเท่าไร สาเหตุหนึ่งก็คือ โปรโมชั่น no limit ที่ออกมาในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมาอย่าง 200 บาท 4 mbps 100 GB หรือ โปร 100 บาท 4 mbps 30 GB หรือที่ออกมาช่วงหลัง 200 บาท 10 mbps ตัดความคุ้มค่าของโปร 3bb+dtac ไปเยอะพอสมควร โปร no limit ที่กล่าวมาคุ้มค่าน่าใช้กว่าโปรไม่จำกัดความเร็วแบบ 299 บาท 16 GB หรือ 349 บาท 20 GB เป็นต้น เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะเร็ว 4 mbps หรือ 30 mbps ก็ยังสามารถใช้งานต่างๆหลายงานได้ไม่ต่างกัน เอาจำนวนข้อมูลเยอะ 100 GB ขึ้นไปดีกว่า
เช่นว่าซื้อแบบแยก เน็ตบ้าน 3bb 590 บาท 200/200 mbps
เน็ตมือถือ dtac 200 บาท 10 mbps
2 โปรรวมกัน จ่าย 790 บาท ซึ่งแพงกว่าโปรเน็ตบ้าน+เน็ตมือถือ 3bb+dtac 690 บาท เพียง 100 บาท แต่ได้อะไรหลายๆอย่างที่คุ้มค่ามากกว่า
ที่กล่าวมานี้ยังไม่นับรวมโปรเน็ตบ้านที่มีราคาต่ำกว่า 500 บาท หรือต่ำกว่า 400 บาท และเมื่อเอามารวมกับเน็ตมือถือ 200 บาท 10 mbps ก็ยังมีราคาถูกและคุ้มค่ากว่าโปร 3bb+dtac ราคา 690 บาทอีก
ในความเป็นจริง ถ้า 3bb จับมือกับ dtac ตั้งแต่ช่วงปลายปี 61 ต้นปี 62 ซึ่งยังไม่มีโปรเน็ตมือถือ 150/200 บาท เล่นได้ไม่จำกัด ก็จะเห็นผลความคุ้มค่าอย่างชัดเจน
แล้วปัญหาที่ผ่านมาอีกลักษณะหนึ่ง เมื่อจับมือกันแล้วคือ ลูกค้าบางคนที่ซื้อใช้เน็ตบ้าน 3bb กับเน็ตมือถือ dtac แบบแยกของใครของมัน ก่อนหน้าที่จะมีโปรเหมารวม 3bb+dtac 690 บาท และ 890 บาท ก็อยากจะเปลี่ยนมาใช้โปรเหมารวมเน็ตบ้าน+เน็ตมือถือมากกว่าซื้อแบบแยก เช่นลูกค้าที่ใช้โปร 3bb 700 บาท 400/400 mbps และซื้อเน็ตมือถือ dtac 249 บาท 10 GB รวมจ่าย 949 บาท พอมาเจอโปร 3bb 300/300 mbps+dtac 10 GB ราคา 690 บาท อย่างนี้ก็ทำให้เขาตัดสินใจเลือกโปรเหมารวม 690 บาทดีกว่า ลูกค้าบางคนอยากได้โปรก็ขู่จะย้ายค่ายถ้าหากทางผู้ให้บริการไม่ยอมให้โปรที่ลูกค้าต้องการ สุดท้ายผู้ให้บริการก็ต้องให้ไป ซึ่งก็ทำให้รายได้บางส่วนลดลง แต่การให้โปรตามที่ลูกค้าต้องการถือว่าเป็นสิ่งถูกนะ เพราะลูกค้าที่คิดตั้งใจจะย้ายค่ายแบบไม่ขู่ก็มีอยู่จริง หรือบางคนก็คิดย้ายค่ายต่อไปในอนาคตจริงๆ ถ้าต่อไปค่ายอื่นทำเน็ตบ้านได้ครอบคลุมทั่วประเทศและทำได้อย่างมีคุณภาพ แล้ว 3bb กับ dtac ยังไม่จับมือกัน น่าจะโดนแย่งลูกค้ามากกว่านี้ เสียผลประโยชน์มากกว่านี้
อีกอย่างหนึ่ง เรื่องที่กล่าวมานี้ ก็ต้องย้อนกลับไปดูว่าเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ค่ายอื่นที่เริ่มต้นทำโปรเหมารวมเน็ตบ้าน+เน็ตมือถือมีปัญหารายได้ลดลงเพราะลูกค้าเปลี่ยนจากการซื้อบริการในรูปแบบแยกเน็ตบ้านและเน็ตมือถือมาเป็นโปรเหมารวมแบบที่ dtac+3bb เจอตอนนี้บ้างมั้ย ค่ายอื่นๆก็ต้องเจอมาบ้างเหมือนกัน แต่พวกเขาผ่านปัญหาลักษณะนี้มาจนสถานการณ์นิ่งแล้ว และมีความได้เปรียบ dtac อยู่อย่างนึงคือ เริ่มทำโปรแบบนี้มาก่อน ทำให้แย่งลูกค้าจาก dtac ไปได้ส่วนหนึ่ง
เพราะฉะนั้นการที่ dtac จับมือกับ 3bb ในตอนนี้ก็ทำให้เกิดผลลักษณะที่เด่นชัดในเรื่องการป้องกันไม่ให้ลูกค้าที่มีอยู่ย้ายค่ายหนีไปอยู่ค่ายอื่นในช่วงเวลานี้และต่อไปในอนาคตมากกว่า ส่วนแย่งลูกค้าจากค่ายอื่นคงต้องลุ้นกันอีกที และควรจะทำโปรเน็ตบ้าน+เน็ตมือถือให้มีความน่าสนใจกว่านี้ด้วย
ส่วนเรื่องประมูล 5G ที่มีคนบอกว่า หาก dtac ไม่เข้าร่วม ก็จะต้องพบความเสียหายอย่างโน้นบ้างอย่างนี้บ้าง ตรงนี้เป็นเรื่องที่บอกยากพอสมควรว่า จะเสียหายอย่างที่ใครเขาพูดกันจริงทุกกรณีหรือเปล่า
4 ปีที่แล้วมีคนบอกว่าประมูล 1800 ปี 61 ทาง dtac จะต้องโดนดันราคาประมูลคลื่นไปที่ 50,000 ล้าน คลื่น 900 โดนดันไปที่ 80,000 ล้าน ก็ไม่เห็นเป็นจริงตามคำพูด
ใครจะบอกว่าถ้า dtac ไม่เข้าประมูล 5G รอบนี้ จะต้องตกอยู่ในสถานการณ์เหมือนแพ้ประมูล 4G เมื่อ 4 ปีที่แล้ว มันเป็นคำพูดไม่ถูกหรอก เพราะเป็นคนละกรณี คนละเงื่อนไขกัน
การที่ dtac แพ้ประมูลเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ทำให้ส่อแววหมดอนาคตที่จะทำธุรกิจในไทยต่อ หากแพ้ประมูลคลื่นอีกในรอบต่อไป เพราะการที่มี 2100 เพียงคลื่นเดียวนั้นไม่เพียงพอรองรับลูกค้า แต่วันนี้ dtac มีคลื่นใช้งานเพียงพออยู่แล้ว และรอเปิดบริการ 5G 700 อยู่ นับว่ามีความแตกต่างจากการแพ้ประมูลคลื่น 900 มากๆ ตอนแพ้ประมูล 900 ทำให้หลายคนคิดว่า จะต้องปิดกิจการในไทยแน่ๆ ส่วนการประมูล 5G เดือนหน้าต่อให้ dtac ประมูลคลื่นไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่เข้าประมูลเลยก็ไม่เป็นไร จะประมูลคลื่น 3500 ปี 65 ก็ไม่เป็นไร เพราะมีคลื่นเพียงพอให้บริการอยู่แล้ว
หากใครมีมือถือ 5G ยังไงก็มี 5G โชว์อยู่หน้าจอนั่นแหละ เพราะคลื่น 700 ที่ส่งสัญญาณครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่
สมมติว่าค่ายนึงมีคลื่น 700 คลื่นเดียว กับอีกค่ายนึงมีทั้ง 700,2600,26 Ghz หน้าจอมันก็โชว์ 5G ทุกพื้นที่เหมือนกันแหละ เพียงแต่ค่ายที่มีคลื่น 2600,3500,26 Ghz ก็จะสามารถเทสสปีดได้ถึงระดับ Gbps เป็นหย่อมๆได้ เป็นบางพื้นที่ และคงใช้เวลาเกินกว่า 2 ปีในการขยายโครงข่าย 2600,3500,26 Ghz ให้ครอบคลุมได้เกินกว่า 60% ของประชากร ใครที่เอามือถือมาเทสความเร็ว 5G ระดับ Gbps ไม่นานเน็ตก็หมด ติด fup แล้วก็มาบ่นกัน ทำไมเน็ตหมดเร็วจัง
การเอามือถือ 5G มาเทสสปีด 5G ที่เร็วระดับ Gbps คงเทสได้ไม่บ่อย และไม่คุ้มค่าเท่าไรนัก
แล้วถ้าถามว่า การลงทุน 5G จะทำกำไรได้มากน้อยแค่ไหน ข้อนี้ก็ตอบยากอีกล่ะ
สมมติว่า มีโปรอยู่ประมาณนี้ได้แก่
โปร 4G 150 บาท/เดือน 4 mbps
200 บาท/เดือน 10 mbps
โปร 5G 400 บาท/เดือน 20 mbps
500 บาท/เดือน 30 mbps
จะมีคนยอมจ่ายเงินเพิ่มเพื่อโปร 5G ที่เร็วซัก 20-30 mbps ซักเท่าไร ในเมื่อทุกวันนี้ความเร็ว 4-10 mbps ก็ยังใช้งานได้อีกหลายงาน แถมบางคนยังเรียกร้องโปร 2 mbps 90 บาทอยู่เลย
จริงอยู่ที่มีคนบางกลุ่มต้องการให้มี 5G โชว์ขึ้นหน้าจอ แต่คนกลุ่มใหญ่ต้องการโปรราคาถูกๆ จ่ายเงินน้อย เซฟเงินในกระเป๋ามากกว่า เผลอๆคนบางคนที่ต้องการ 5G โชว์บนหน้าจอ ลึกๆในใจแล้วก็ยังต้องการโปรที่จ่ายน้อยๆประหยัดตังค์ด้วย แถมเครื่องรองรับ 5G มีน้อยและราคาแพงทีเดียว สภาพเศรษฐกิจตอนนี้ก็ไม่แน่ใจว่า จะมีคนควักกระเป๋าออกมาเพื่อซื้อเครื่อง 5G เป็นการเฉพาะซักกี่คน
การประมูล 4G เมื่อปี 58 เป็นการชี้วัดการสร้างผลกำไรให้กับบริษัท แต่ละค่ายจึงยอมแบกหนี้ก้อนใหญ่เพื่อชนะการประมูล 900/1800 แต่การประมูลครั้งนี้นัยยะการสร้างกำไรความคุ้มค่ามีน้อยกว่าการประมูล 4G เมื่อปี 58 มากๆ ถ้าไม่มีค่ายใหญ่ๆเข้าประมูลเลย ก็ถือเป็นเรื่องปกตินะ
แต่หากมีบางค่ายเข้าประมูล บางค่ายไม่เข้า
ค่ายที่เข้าประมูลก็ได้เปรียบเรื่องภาพลักษณ์อยู่ประมาณนึง
ส่วนค่ายที่ไม่เข้า ก็ได้เปรียบเรื่องต้นทุน เล่นสงครามราคาได้ง่ายกว่า การเงินคล่องตัวกว่า
แต่จะว่าไป ก็อย่างที่บอกทุกค่ายมี 5G 700 อยู่ในมือ ถึงไม่เข้าประมูล 5G 2600 เดือนหน้า ยังไงก็ยังมี 5G ไว้โชว์หน้าจออยู่ดี
พูดถึงคลื่น 2600 mhz นี้ ก็ยังสงสัยอยู่ว่าสิ่งที่ทางเจ้าหน้าที่รัฐได้กระทำอยู่เป็นเรื่องที่ฉลาดมั้ย คือทางกสทช.ได้บอกไปก่อนแล้วว่า ค่าคลื่นอสมท.ได้ใช้สูตรคำนวณตามมูลค่าคลื่นจริงเพื่อจ่ายอสมท.จำนวน 11,172 ล้านบาท หากอสมท.ไม่พอใจก็ไปฟ้องศาลได้ แต่สุดท้ายโดนบอร์ดกสทช.ตีกลับ
ในเมื่อกสทช.เป็นคนบอกแต่แรกเองว่า ใช้สูตรคำนวณตามมูลค่าคลื่นจริง หากอสมท.ไม่พอใจก็ไปฟ้องศาล แสดงว่าสูตรคำนวณค่าคลื่นนั้นต้องเป็นสูตรที่เป็นมาตราฐานแล้ว เพียงแต่บอร์ดอาจเห็นว่าราคาไม่เหมาะสม ต้องถามว่าบอร์ดมีสูตรอะไรมาคำนวณค่าคลื่นที่ถูกต้องจริงๆ งานนี้ถ้าคำนวณใหม่แล้วจ่ายให้อสมท.ต่ำกว่าจำนวน 11,172 ล้านอย่างที่ประกาศไว้แต่แรก อาจจะโดนอสมท.ฟ้องกลับก็ได้ ก็รอดูไปว่าจะจ่ายให้อสมท.เท่าไร
"ดังนั้น หาก อสมท ไม่พอใจกับเงินเยียวยาที่ได้ อสมท. ต้องดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลเอง เพราะ กสทช. ยืนยันว่าได้คิดมูลค่าจากคลื่นที่ อสมท ใช้งานจริงเท่านั้น แต่จำนวนดังกล่าวก็สูงมากแล้ว จึงขอให้ อสมท ตอบรับในมูลค่าดังกล่าวที่เสนอไป"
https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9630000003534
สรุปว่าสำหรับ dtac ถ้าจะไม่เข้าประมูล 5G ก็ควรรีบขยายโครงข่าย 900 ให้ครอบคลุมทั่วประเทศก็เป็นการดี เอาเงินที่จะต้องเข้าประมูลรอบนี้มาขยายคลื่น 900 ให้ครอบคลุมทั่วประเทศโดยเร็วที่สุด ก็จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและการให้บริการที่ดีแก่ลูกค้าได้มาก แล้วราคาหุ้น dtac ก็จะขึ้นมาอย่างดีทีเดียว
ยังไงก็ขอให้ CEO Alexandra ไปอย่างโชคดีมีชัย หวังว่าอนาคตจะได้เห็นแกกลับมาคุม dtac อีกครั้งนะ