" การกำหนดความหมายของศีลในแง่ละเว้นความชั่ว ไม่ให้มีความเสียหายและเบียดเบียนนั้นเป็นการกำหนดข้อปฏิบัติพื้นฐานแห่งความเป็นปกติ ทำให้เจตนาที่เป็นองค์ประกอบของจิตใจที่ออกมาเกี่ยวข้องด้านนี้ ปลอดพ้นความเสียหาย ไม่มีความชั่ว เมื่อมีความเรียบร้อยปกติปลอดสภาพยุ่งยากวุ่นวายเป็นพื้นฐาน ทั้งภายนอกและภายในแล้ว ในฝ่ายความดีงามเกื้อกูล ก็เป็นเรื่องที่จะพึงขยายออกไปได้อย่างไม่มีขอบเขตจำกัดและพัฒนาต่อไปสู่ความสมบูรณ์
ตามความจริง ความดีเป็นเรื่องกว้างขวางไม่มีที่สิ้นสุด มีรายละเอียดแนวทางและวิธีการยักเยื้องไปได้มากมายตามฐานะและโอกาสต่างๆ ส่วนความชั่วที่จะต้องเว้น เป็นเรื่องกำหนดได้แน่นอน เช่น ทั้งพระสงฆ์และคฤหัสถ์ ควรละเว้นการพูดเท็จด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่โอกาสและวิธีการที่จะทำความดีที่ปราศจากการพูดเท็จนั้นต่างกัน การวางหลักกลาง จึงระบุแต่ฝ่ายเว้นชั่วไว้เป็นเกณฑ์พื้นฐาน ส่วนรายละเอียด และวิธีการกระทำในขั้นบำเพ็ญความดี เป็นเรื่องในขั้นยายและประยุกต์ให้เหมาะสมกับฐานะ โอกาส และสภาพชีวิตของบุคคลต่อไป"
ตอบว่า
ข้อนี้พูดดีมาก ทำให้คนงงมาก งงด้วยว่าไม่รู้จะทำยังไง เอาให้ใกล้กว่านี้ และชัดเจนกว่านี้ ก็คือว่า คุณทำอะไรอยู่ให้เหมาะสมแก่ตัว
นี่เป็นโวหารเกินไป กลายเป็นว่าคนไม่รู้จะทำยังไง
ถ้าสรุปในข้อนี้ก็คือ ทุกคนควรมีปัญญารู้ว่าผิดหรือถูก คุณรู้แล้วคุณต้องมาตัดสินใจสรุปว่าจะเอาหรือไม่เอา คุณตั้งเจตนาปฏิเสธ คุณเอาตั้งปณิธานจะทำยังไงก็ว่ากันไป สุดแล้วแต่ขั้นตอนค่อยไปพิจารณา จากน้อยไปหามาก เริ่มลดลง ละลง ไปถึงจนในที่สุดเราเลิกได้ แล้วจะมีเส้นทางให้เขารู้ว่าจะทำยังไง ถ้าไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่รู้ว่า แล้วจะให้เราทำยังไง เราต้องมีขั้นที่ ๑ ขั้นที่ ๒ ฯลฯ ให้เขา
เวลาเขาถามว่า แก้กรรมไปทำไหม? แก้กรรมเพื่อให้เราเกิดสิทธิ์ ที่จะทำให้เราได้อยู่ อยู่อย่างเป็นทุกข์หรืออยู่อย่างเป็นสุข ถ้าอยู่อย่างเป็นสุขเราต้องแก้กรรม เราต้องแก้พฤติกรรมตรงนี้ ต้องสร้างเหตุใหม่ ถ้าเราไม่แก้เราก็ต้องทุกข์ เพราะเป็นเหตุเก่า แล้วทำถามว่าเวลานี้ทุกข์ไหมล่ะ? ก็ทุกข์ จึงต้องมาหาวิธีการแก้กรรม นี่แหละ ต้องทำ ทำไมต้องทำ
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต
ศีลในแง่ละเว้นความชั่ว ไม่ให้มีความเสียหายและเบียดเบียน
ตามความจริง ความดีเป็นเรื่องกว้างขวางไม่มีที่สิ้นสุด มีรายละเอียดแนวทางและวิธีการยักเยื้องไปได้มากมายตามฐานะและโอกาสต่างๆ ส่วนความชั่วที่จะต้องเว้น เป็นเรื่องกำหนดได้แน่นอน เช่น ทั้งพระสงฆ์และคฤหัสถ์ ควรละเว้นการพูดเท็จด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่โอกาสและวิธีการที่จะทำความดีที่ปราศจากการพูดเท็จนั้นต่างกัน การวางหลักกลาง จึงระบุแต่ฝ่ายเว้นชั่วไว้เป็นเกณฑ์พื้นฐาน ส่วนรายละเอียด และวิธีการกระทำในขั้นบำเพ็ญความดี เป็นเรื่องในขั้นยายและประยุกต์ให้เหมาะสมกับฐานะ โอกาส และสภาพชีวิตของบุคคลต่อไป"
ตอบว่า
ข้อนี้พูดดีมาก ทำให้คนงงมาก งงด้วยว่าไม่รู้จะทำยังไง เอาให้ใกล้กว่านี้ และชัดเจนกว่านี้ ก็คือว่า คุณทำอะไรอยู่ให้เหมาะสมแก่ตัว
นี่เป็นโวหารเกินไป กลายเป็นว่าคนไม่รู้จะทำยังไง
ถ้าสรุปในข้อนี้ก็คือ ทุกคนควรมีปัญญารู้ว่าผิดหรือถูก คุณรู้แล้วคุณต้องมาตัดสินใจสรุปว่าจะเอาหรือไม่เอา คุณตั้งเจตนาปฏิเสธ คุณเอาตั้งปณิธานจะทำยังไงก็ว่ากันไป สุดแล้วแต่ขั้นตอนค่อยไปพิจารณา จากน้อยไปหามาก เริ่มลดลง ละลง ไปถึงจนในที่สุดเราเลิกได้ แล้วจะมีเส้นทางให้เขารู้ว่าจะทำยังไง ถ้าไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่รู้ว่า แล้วจะให้เราทำยังไง เราต้องมีขั้นที่ ๑ ขั้นที่ ๒ ฯลฯ ให้เขา
เวลาเขาถามว่า แก้กรรมไปทำไหม? แก้กรรมเพื่อให้เราเกิดสิทธิ์ ที่จะทำให้เราได้อยู่ อยู่อย่างเป็นทุกข์หรืออยู่อย่างเป็นสุข ถ้าอยู่อย่างเป็นสุขเราต้องแก้กรรม เราต้องแก้พฤติกรรมตรงนี้ ต้องสร้างเหตุใหม่ ถ้าเราไม่แก้เราก็ต้องทุกข์ เพราะเป็นเหตุเก่า แล้วทำถามว่าเวลานี้ทุกข์ไหมล่ะ? ก็ทุกข์ จึงต้องมาหาวิธีการแก้กรรม นี่แหละ ต้องทำ ทำไมต้องทำ
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต