จะลาออกจากออฟฟิศที่ทำงานอยู่ จะพูดยังไงดีครับ ??

ขอเกริ่นเนื้อเรื่องหน่อยนะครับ มันยาวนิดนึง แต่จะได้ทราบเหตุการณ์และภูมิหลังนะครับว่าเป็นยังไง ผมต้องรบกวนทุกคนช่วยให้คำตอบผมด้วยนะครับ

เริ่มเรื่องด้วยผมที่จบ ป.ตรี มาใหม่ ผมเรียนสถาปัตยกรรมนะครับ หลักสูตร 5 ปี ซึ่งออฟฟิศที่ผมทำงานอยู่ตอนนี้เป็นออฟฟิศจัดสวนครับและมีงานสถาปัตย์ด้วย ซึ่งส่วนตัวผมรู้จักกับเจ้าของออฟฟิศดี ซึ่งเขาจดทะเบียนเป็นสถานประกอบการนะครับ (หจก.) ผมมีโอกาสร่วมงานกับเขาตอนผมเรียน ปวช. และได้ฝึกงานในช่วงเรียน ป.ตรี ซึ่งในตอนฝึกงานนั้นมีงานที่น่าสนใจและสนุกมากครับ เนื่องจากตัวผมเริ่มลงไหลในงาน landscape design -  site planing ต่าง ๆ จึงเลือกมาฝึกงานออฟฟิศจัดสวนนี้

แต่ตอนฝึกงานผมไม่ได้เงินเลยสักบาทเดียว และตอน ปวช. ที่เคยร่วมงานกันครั้งแรกเป็นงาน event จัดสวนซึ่งราคาเป็น 7 หลัก ผมได้ค่าออกแบบมา 2 พันบาทและตอนฝึกงานก็ไม่ได้เงินเลยอย่างที่บอกไป ก่อนฝึกงานจะจบลง เขาบอกผมว่าจะจ้างตอนจบ ป.ตรี 15,000 บาท/เดือน ผมก็ตกลงเพราะ ณ ตอนนั้นงานมันสนุกมากครับ มีแต่งานที่น่าทำ น่าสนใจ จนผมจบออกมา เป็นฟรีแลนด์อยู่ 2 เดือนครับหลังจากนั้นก็ไม่มีงานเข้ามา

เลยรอไปรับปริญญาก่อน พอรับเสร็จ ทางเขาก็โทรมาหาผม ว่าหาคนมาเขียนแบบให้ออฟฟิศเขาได้ไหม ผมเลยบอกไปว่าก็จ้างผมไหมครับ เป็นกิจลักษณะไปเลย เพราะก่อนหน้านั้นก็มีงานแว่บมาให้ผมทำตลอดแต่ไม่เคยพูดเรื่องเงินเลยครับ ก่อนหน้านั้นช่วงที่ผมทำทีสีสอยู่ เขายังจะให้ผมไปทำงานให้เขาเลยครับ เราก็เด็กแล้วเกรงใจเลยต้องไปทำ สุดท้ายเจ้าของงานเขาไม่มีแผนจะเดินต่อ เป็นงาน ๆ ไปครับ ซึ่งแต่ละงานไม่เคยได้เงินเลยครับ ซึ่งก็โอเคผมถือว่าผมเองก็ไม่ได้เข้าไปทำงานเต็มตัวครับ หลังจากนี้ก็จะทำงานแล้ว ก็ตกลงไปทำงานครับ

เริ่มกลางเดือนตุลาคมครับ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือผมต้องเอาคอมพิวเตอร์ไปทำงานด้วย แล้วก็ไม่มีค่าคอมพิวเตอร์อะไรเลยครับ ก็ไม่เป็นไร ทำไปจนถึงเดือน พ.ย. ผมก็บอกตรง ๆ ว่าขอเอาคอมกลับ เนื่องจากเป็นคอมส่วนตัวผมต้องการใช้หลังเลิกงาน เลยบอกให้ซื้อคอมมาไว้ออฟฟิศครับ ผมเองก็ตั้งใจเต็มที่และอยากให้มันเป็นออฟฟิศจริง ๆ ที่ควรจะเป็น ซึ่งตอนที่ผมเข้าไปทำงานวันแรก ผมก็พูดถึงหนังสือสัญญาจ้างและเขาก็ทำเมินเฉยแล้วมาบอกว่าค่อยทำตอนไปทำประกันสังคมครับ

ผมก็รอจนเดือน พ.ย. เพื่อนร่วมงานผมก็พาไปทำประกันสังคมครับ ในออฟฟิศมีแค่ผมกับเพื่อนร่วมงาน แค่ 2 คนเองครับ มันเป็นออฟฟิศเล็ก ๆ ซึ่งเพื่อนร่วมงานก็ไม่ได้จบมาทำงานตรงสาย มีแต่ผมที่ทำงานอยู่คนเดียวและเราเองก็จบใหม่ครับ ต้องการประสบการณ์ในการทำงาน ซึ่งที่ผมไม่รู้ ไม่ทราบ ผมก็ถามแต่ไม่ได้คำตอบเพราะในออฟฟิศไม่มีใครรู้ แม้แต่เจ้าของออฟฟิศเขาก็พูดเก่งอย่างเดียวครับแต่ไม่รู้และตอบคำถามที่ผมถาม หรือผมทำไม่ได้ ได้เลยครับ

ในเดือนตุลาคมผมจะได้เงิน 7500 บาทครับ ก็ปกติครับเพราะเริ่มงานกลางเดือน ซึ่งผมต้องเดินทางไกลเหมือนกันครับ ใช้รถยนต์เก่า ๆ ที่บ้านทิ้งไว้ให้ ก็ต้องซ่อมไปขับไปครับ ระยะทางไปกลับเกือบ 90 - 100 กม.เลยครับ และเป็นรถเก่าค่าน้ำมันต่อเดือนมันตกที่ 5000 บาทเลยครับ ก็ต้องมีสิ่งที่ต้องซ่อมครับซึ่งไม่บอกรายละเอียดแล้วกันครับ ในเดือน ตุลาคม ค่าซ่อมรถเป็นราคา 4300 บาท เงินเดือนผมเหลือ 3200 บาท เขาตัดไปในเงินเดือนครับเนื่องจากผมต้องใช้เงินซ่อมรถก่อน ก็โอเคครับดีมากไม่มีปัญหาอะไร

พอมาเดือน พ.ย. ครับ ผมเอาคอมกลับและแนะนำให้ซื้อคอมใหม่เป็นคอมออฟฟิศไปเลย จะได้ทำงานอย่างตั้งใจมีพนักงาน คือ ผมอยากให้มันเป็นออฟฟิศจริง ๆ ที่ทั่วประเทศเขาเป็นกันอะครับก็เสนอไป เขาก็ทำเฉยแล้วเอาโน้ตบุคเก่า ๆ แรม 4 gb มาให้ผมทำงานครับ งานสถาปัตย์จะรู้ดีนะครับว่าคอมที่ใช้สเปคจะสูง Google Chrome ยังค้างเลยครับโน้ตบุคตัวนั้น ก็ทนทำไปครับจนวันที่ 18 เขาก็ให้หยุดงานก่อนเพราะว่างานที่ผมทำมันช้าครับ ค้างบ้าง ทำไม่ได้บ้างเนื่องจากคอมมันสเปคต่ำ เลยบอกให้หยุดงานตั้งแต่วันที่ 18 ไปถึงเดือนหน้าเลยครับเขาจะหาเงินมาซื้อคอมครับ ซึ่งก่อนหน้านั้นผมเองก็ต้องซ่อมรถครับอย่างที่บอก เขาเลยแนะนำอู่มาซึ่งผมก็โอเคจะไปซ่อมตอนสิ้นเดือนให้เงินเดือนออกก่อน ซึ่ง ณ ตอนนี้สัญญาจ้างก็ไม่ยังได้นะครับ น้ำลายของคนครับ เขาทำเหมือนเดือนที่แล้ว คือ ให้ผมเอารถไปตั้งที่อู่เลย แล้วค่าใช้จ่ายเขาจะออกให้เองและจะตัดไปในเงินเดือนครับ ผมก็โอเคครับแต่ที่ไม่โอเค คือ ผมไม่ทราบราคาซ่อมทั้งหมดว่าเท่าไหร่ครับ สรุปสิ้นเดือนช่างที่อู่โทรมาหาผมครับว่าค่าซ่อมรถราคา 10,000 บาทครับ และเขาบอกว่าเจ้าของออฟฟิศผมไม่ได้ไปจ่ายเงินเขาครับ เขาเลยไม่ซ่อมต่อให้ แล้วในวันนั้นเองเจ้าของออฟฟิศโอนเงินให้ผมมาใช้ก่อนแค่ 5000 บาทครับรวมกับเงินอีก 25,000 บาทที่จะซื้อคอมออฟฟิศ ผมเลยปวดหัวเลยครับ ต้องยืมเงินที่บ้าน อีก 5000 เพื่อไปจ่ายค่าซ่อมรถ

มาเดือน ธ.ค. แล้วนะครับ เริ่มงานวันแรกผมเอาคอมใหม่ไปติดตั้งที่ออฟฟิศและต้องไปรับรถที่อู่ครับ เขาก็ให้ผมกลับก่อนเวลางานครับให้ไปรับรถก่อน แต่ไม่มีเลยครับที่จะถามว่า รถมันราคาเท่าไหร่ยังไง เพราะคุณไม่ได้ไปจ่ายเงินที่อู่เลย ผมรู้สึกแย่มากครับ ต้องบอกก่อนว่าผมโอนมัดจำไป 6000 บาทครับให้อู่แล้ววันที่รับรถจะไปจ่ายที่เหลืออีก 4000 บาทครับ ก็ต้องไปจ่ายครับกับเงินที่ยืมที่บ้านมา แต่เงินเดือนของเดือน พ.ย. ผมยังไม่ได้เลยครับได้แค่ 5000 บาท จนมาช่วงกลางเดือน ผมได้มาอีก 5000 ครับ ผมก็เลยถามเขาว่าแล้วที่เหลือละครับผมจะได้อีกทีตอนไหน เพราะตอนนี้ผมเงินติดลบครับ ไปจ่ายค่าอู่แล้วตั้ง 10,000 บาท ซึ่งผมบอกเขาก่อนหน้านั้นแล้วครับว่าต้องการเงินเดือนก่อน ผมจะได้ทราบว่าต้องซ่อมไหม มีเงินพอไหม แต่เขาบอกจะจัดการให้แล้วไปหักในเงินเดือน ผมก็ตามนั้นไม่ได้อะไร สุดท้ายเขาไม่จ่ายเงินให้ที่อู่ ผมก็ต้องหาเงินจ่ายเอง ติดลบครับ ซึ่งที่ได้ยินคือเสียงหัวเราะครับ
" 555 ติดลบเลยหรอ เออ ๆ อดทน ๆ ไปก่อนละกัน" นั้นคือสิ่งที่เขาพูดกับผมครับ จนจะปลายเดือน ธ.ค. ผมก็ได้มาอีก 5000 บาท ครบ 15,000 ครับแต่เป็นเงินของเดือน พ.ย.

แล้วผมมาสิ้นเดือน ธ.ค. ผมทำเงินให้ออฟฟิศได้ 50,000 บาทครับ แต่รับเช็คได้หลังปีใหม่ สุดท้ายก็ไม่ได้เงินเลยสักบาทครับสิ้นเดือน ธ.ค. พอมาหลังปีใหม่ก็ทำงานปกติครับ ผมตั้งใจจะลาออกตั้งแต่วันที่เขาไม่จ่ายค่าอู่แล้วครับ แต่กลางเดือน ธ.ค. มีน้องมาฝึกงานครับ ถ้าผมออกอาจจะทำให้ออฟฟิศนี้ปิดก็ได้ครับ เนื่องจากมีผมคนเดียวที่ทำงานให้เขาได้ และอาจจะทำลายอนาคตของน้องฝึกงานที่อาจจะต้องฝึกงานใหม่ เป็นเด็ก ปวช. เองครับ 2 คน ผมก็มาทำงานปกติครับจนถึงกลางเดือน มกราคมเลยครับ ผมเพิ่งได้เงินเดือน 15,000 บาทของเดือน ธ.ค. ซึ่งกลายเป็นผลัดไปทุก ๆ เดือน เท่ากับว่าผมไม่ได้เงินเดือนหรือเงินเดือนหายไปเดือนนึงถูกไหมครับ ผมเลยตั้งจะออกจากที่นี่ตั้งแต่เดือน ธ.ค. แล้วแต่ติดที่น้องฝึกงาน เพราะผมก็ต้องเป็นพี่เลี้ยงเขา

สรุปจนถึงวันนี้มีประมาณ 5 ข้อครับที่จะบอกให้ฟัง
1.สัญญาจ้างผมไม่มี
2.ประกันสังคมที่ทำไว้ เขาไม่ได้ไปจ่ายให้เลยครับ 3 เดือนแล้ว
3.เงินเดือนที่ต้องได้ ไม่รู้เลยครับว่าจะได้มาเป็นแบบไหน มาเป็นงวด ๆ หรือมาเป็นยังไง ซึ่งมันจะเกินไปเดือนหน้าทุกครั้ง
4.ผมไม่ได้ประสบการณ์ใด ๆ จากออฟฟิศนี้เลยครับ ถามอะไรก็ไม่ได้คำตอบ ผมไม่ทราบสิ่งใดก็ไม่มีใครให้คำตอบได้เลยครับ
5.100 % เลยครับว่าผมจะไม่มีวันเติบโต อัพเงินเดือนหรืออะไรก็แล้วแต่

ขอคำปรึกษาครับ ว่าควรจะบอกเขายังไงดี ซึ่งตอนนี้มีอาจารย์ที่มหาลัยตอนที่เรียนอยู่ ชวนไปทำงานด้วยครับ ซึ่งผมคุยไว้แล้วว่าอยากไปทำกับแกครับ แต่ของสักกลางเดือน ก.พ. ก่อน จะออกจากออฟฟิศเก่าช่วงนั้นครับเพราะว่าน้องฝึกงานจะฝึกจบในกลางเดือน ก.พ. ครับ ซึ่งตัวผมตั้งใจจะออกตั้งแต่ ธ.ค. แต่อาจารย์มาชวนไปทำงานตอนเดือน ม.ค. ครับเลยทำให้ผมมีงานรองรับอยู่ถ้าออกจากที่นี่ 

ขอคำปรึกษาและความคิดเห็นหน่อยครับ ว่าผมควรจะพูดยังไงบอกเขายังไงดีครับ ผมรู้สึกเหนื่อยและเสียเวลาไปมาก ๆ เลยครับตอนนี้ซึ่งผมเองก็มั่นใจว่าสิ้นเดือน ม.ค. ก็คงไม่ได้เงินเดือนแน่เลยครับ เพราะเงินเดือนของ ธ.ค. เพิ่งจ่ายผมมาตอนกลางเดือน ม.ค. นี้เอง

ขอบคุณมากนะครับที่อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่