โมริยาสุควรอยู่หรือไป? ความล้มเหลวของทีมชาติญี่ปุ่นชุด U-23 กับเบื้องหลังเหตุการณ์เปลี่ยนโค้ชเมื่อ 23 ปีที่แล้ว
ผลงาน เสมอ 1 แพ้ 2 และต้องกลับบ้านด้วยตำแหน่งบ๊วยของกลุ่มของ ฮาจิเมะ โมริยาสุ ซึ่งรับหน้าที่กุมบังเหียนทั้งทีมชาติญี่ปุ่นชุดใหญ่และชุด U-23 ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมในการทำหน้าที่ต่อของโค้ชโมริยาสุ
จริงๆกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในตัวของโมริยาสุก็ปรากฏมาก่อนช่วงหน้านี้แล้ว แต่พอผลงานในรอบสุดท้ายที่ประเทศไทยมันออกมาแบบนี้ก็ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องกล่าวถึง ประเด็นโมริยาสุควรอยู่หรือไปเริ่มเป็นที่ถกเถียงในโลกโซเชียลของญี่ปุ่น คอมเมนต์ประเภทว่า
"ลาออกเถอะ!" "โมริยาสุควรต้องไป!" แต่ตามความคิดเห็นของสื่อญี่ปุ่นบางสำหนักก็เห็นว่ายังไม่ควรเปลี่ยนม้าก่อนศึก (โอลิมปิค 2020 ที่โตเกียว) เพราะถึงเวลาจะเปลี่ยน แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่เคยเปลี่ยน และก็ไม่ได้จางหายไปไหน
ย้อนกลับไปเมื่อ 23 ปีที่แล้วในปี 1997 ซึ่งเป็นช่วงที่ลูกทีมของโมริยาสุบางคนยังไม่เกิด ทีมชาติญี่ปุ่นมีโปรแกรมทำศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนเอเชีย รอบ 10 ทีมสุดท้ายเพื่อคัดเอา 3.5 ทีมไปแข่งรอบสุดท้ายที่ฝรั่งเศสโดยอัตโนมัติ 3 ทีม ส่วนอีก 1 ทีมต้องไปแข่งเพลย์ออฟกับโซนโอเชียเนีย ในตอนนั้น ทีมชาติญี่ปุ่นมี ชู คาโมะ อดีตโค้ชของสโมสรนิสสันและโยโกฮาม่า ฟลูเกลส์ เป็นโค้ชใหญ่ ซึ่งก่อนทำศึกรอบคัดเลือก โค้ชคาโมะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากที่ทำทีมตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายเอเชี่ยนคัพ 1996 ที่ UAE (แพ้คูเวต 0-2) แต่ก็ยังได้รับโอกาสให้คุมทีมต่อ ญี่ปุ่นทำผลงานได้ค่อนข้างดีด้วยการเปิดบ้านถล่มอุซเบกิสถาน 6-3 ก่อนบุกไปเสมอ UAE 0-0 แบบน่าชนะ แต่การจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญก็เกิดขึ้นในเกมที่ 3 ที่ญี่ปุ่นต้องเปิดบ้านต้อนรับคู่ปรับรายสำคัญ...เกาหลีใต้
ผลปรากฏว่าญี่ปุ่นแพ้คาบ้านต่อเกาหลีใต้ 1-2 โค้ชคาโมะถูกวิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับแทคติคการเปลี่ยนตัวในนาทีที่ 73 ขณะที่ทีมยังนำอยู่ 1-0 (ถอดกองหน้าวากเนอร์ โลเปสออก แล้วให้เซ็นเตอร์แบ็คยูทากะ อาคิตะลงไปแทน) ในยุคที่อินเตอร์เน็ตยังเป็นข้อจำกัด แฟนบอลญี่ปุ่นเริ่มก่นไล่คาโมะผ่านการโทรมาด่ากับสื่อกีฬาของญี่ปุ่นในขณะนั้น
เกมนัดที่ 4 ญี่ปุ่นออกไปเยือนคาซัคสถานที่ตอนนั้นยังอยู่กับ AFC และออกนำไปก่อน 1-0 ตั้งแต่ต้นเกม แต่สุดท้ายปิดเกมไม่ได้และโดนเจ้าบ้านตีเสมอ 1-1 ในช่วงทดเวลาเจ็บ ประเด็นก็คือโค้ชคาโมะถูกแฟนบอลญี่ปุ่นวิจารณ์ (อีกแล้ว) เกี่ยวกับการเปลี่ยนตัวในนาทีที่ 84 (ถอดฮิโรชิ นานามิ กองกลางที่ทำเกมรุกได้ออก แล้วส่งยาสุโตะ ฮอนดะ กองกลางตัวรับลงไปแทน)
ผู้เขียนบทความเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ตอนนั้นที่สำนักงานมีโทรศัพท์อยู่ 4 คู่สาย สายไม่ว่างเลยสักสาย เพราะแฟนบอลญี่ปุ่นโทรเข้ามาก่นด่าโค้ชคาโมะ ทำให้เห็นว่ากระแสต่อต้านในตัวโค้ชคาโมะเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งสุดท้ายแล้ว 4 ชั่วโมงครึ่งหลังการแข่งขันเสร็จ มีสายหนึ่งโทรเข้ามา เป็นโทรศัพท์ทางไกลของผู้สื่อข่าวอาวุโสท่านหนึ่งที่ไปทำข่าวที่คาซัคสถาน โทรมาบอกว่า "โค้ชคาโมะโดนปลดแล้วนะ เตรียมทำหน้าปกรอไว้เลย" สมัยนี้เราอาจจะเปลี่ยนข้อความได้ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แต่สมัยนั้นการทำปกต้องใช้เวลา สื่อมีแต่ฟอนต์เกี่ยวกับผลชนะ เสมอ แพ้...แต่ไม่บ่อยครั้งนักที่มีเรื่องการโดนปลด ทั้งนี้ โค้ชคาโมะเองก็เพิ่งทราบว่าตัวเองถูกปลดจากตำแหน่งที่โรงแรมที่พักของตนเอง ต่อมาเวลาเที่ยงคืนครึ่ง มีการประกาศว่าโค้ชผู้ช่วยทาเคชิ โอคาดะเข้ามารับตำแหน่งต่อชู คาโมะที่ถูกปลดไป
อย่างที่หลายท่านก็ทราบดี สุดท้ายแล้ว ทาเคชิ โอคาดะก็พาญี่ปุ่นไปฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศสได้สำเร็จ ย้อนกลับมาดูในช่วงปัจจุบัน สถานการณ์ของโค้ชโมริยาสุไม่ต่างอะไรกับโค้ชคาโมะในตอนนั้นเลย (ผู้เขียนบทความเขียนบทความส่งท้ายว่า) ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับโค้ชโมริยาสุ แต่ไม่ว่าอย่างไร ขออวยพรให้ทีมชาติญี่ปุ่นมีผลงานที่ดีในโอลิมปิคที่บ้านตัวเองกลางปีนี้ก็แล้วกัน
---------
แปลมาจาก เว็บซอคเกอร์ไดเจสต์ / ในวงเล็บคือข้อคิดเห็นเสริมของผมเอง
กระแสเริ่มแรงแล้วสินะ
คิดว่า Summer Olympic ที่โตเกียวจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายว่าโมริยาสุจะได้ไปต่อไหม เพราะถือว่าให้โอกาสลองทีมกันมาเต็มที่แล้ว คิดว่าหลายคนในชุดที่มาเตะบ้านเราหลายคนอาจจะไม่ได้ไปต่อ ส่วนโควต้าอายุเกิน 3 คน และตัวต่างประเทศต้องจัดเต็มมาแน่นอน
ยังคิดว่าผลงานของทีทชาติญี่ปุ่นยังจะดีกว่านี้ได้อีกครับ แต่ถ้าจบไม่สวย กระเทือนถึงตำแหน่งเฮดโค้ชชุดใหญ่ด้วยไหม...ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ
"กลิ่นแปลกๆ !!!" สื่อญี่ปุ่นเริ่มโปรย...โค้ช ฮาจิเมะ โมริยาสุของญี่ปุ่น ควรอยู่หรือไป?
ผลงาน เสมอ 1 แพ้ 2 และต้องกลับบ้านด้วยตำแหน่งบ๊วยของกลุ่มของ ฮาจิเมะ โมริยาสุ ซึ่งรับหน้าที่กุมบังเหียนทั้งทีมชาติญี่ปุ่นชุดใหญ่และชุด U-23 ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมในการทำหน้าที่ต่อของโค้ชโมริยาสุ
จริงๆกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในตัวของโมริยาสุก็ปรากฏมาก่อนช่วงหน้านี้แล้ว แต่พอผลงานในรอบสุดท้ายที่ประเทศไทยมันออกมาแบบนี้ก็ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องกล่าวถึง ประเด็นโมริยาสุควรอยู่หรือไปเริ่มเป็นที่ถกเถียงในโลกโซเชียลของญี่ปุ่น คอมเมนต์ประเภทว่า "ลาออกเถอะ!" "โมริยาสุควรต้องไป!" แต่ตามความคิดเห็นของสื่อญี่ปุ่นบางสำหนักก็เห็นว่ายังไม่ควรเปลี่ยนม้าก่อนศึก (โอลิมปิค 2020 ที่โตเกียว) เพราะถึงเวลาจะเปลี่ยน แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่เคยเปลี่ยน และก็ไม่ได้จางหายไปไหน
ย้อนกลับไปเมื่อ 23 ปีที่แล้วในปี 1997 ซึ่งเป็นช่วงที่ลูกทีมของโมริยาสุบางคนยังไม่เกิด ทีมชาติญี่ปุ่นมีโปรแกรมทำศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนเอเชีย รอบ 10 ทีมสุดท้ายเพื่อคัดเอา 3.5 ทีมไปแข่งรอบสุดท้ายที่ฝรั่งเศสโดยอัตโนมัติ 3 ทีม ส่วนอีก 1 ทีมต้องไปแข่งเพลย์ออฟกับโซนโอเชียเนีย ในตอนนั้น ทีมชาติญี่ปุ่นมี ชู คาโมะ อดีตโค้ชของสโมสรนิสสันและโยโกฮาม่า ฟลูเกลส์ เป็นโค้ชใหญ่ ซึ่งก่อนทำศึกรอบคัดเลือก โค้ชคาโมะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากที่ทำทีมตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายเอเชี่ยนคัพ 1996 ที่ UAE (แพ้คูเวต 0-2) แต่ก็ยังได้รับโอกาสให้คุมทีมต่อ ญี่ปุ่นทำผลงานได้ค่อนข้างดีด้วยการเปิดบ้านถล่มอุซเบกิสถาน 6-3 ก่อนบุกไปเสมอ UAE 0-0 แบบน่าชนะ แต่การจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญก็เกิดขึ้นในเกมที่ 3 ที่ญี่ปุ่นต้องเปิดบ้านต้อนรับคู่ปรับรายสำคัญ...เกาหลีใต้
ผลปรากฏว่าญี่ปุ่นแพ้คาบ้านต่อเกาหลีใต้ 1-2 โค้ชคาโมะถูกวิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับแทคติคการเปลี่ยนตัวในนาทีที่ 73 ขณะที่ทีมยังนำอยู่ 1-0 (ถอดกองหน้าวากเนอร์ โลเปสออก แล้วให้เซ็นเตอร์แบ็คยูทากะ อาคิตะลงไปแทน) ในยุคที่อินเตอร์เน็ตยังเป็นข้อจำกัด แฟนบอลญี่ปุ่นเริ่มก่นไล่คาโมะผ่านการโทรมาด่ากับสื่อกีฬาของญี่ปุ่นในขณะนั้น
เกมนัดที่ 4 ญี่ปุ่นออกไปเยือนคาซัคสถานที่ตอนนั้นยังอยู่กับ AFC และออกนำไปก่อน 1-0 ตั้งแต่ต้นเกม แต่สุดท้ายปิดเกมไม่ได้และโดนเจ้าบ้านตีเสมอ 1-1 ในช่วงทดเวลาเจ็บ ประเด็นก็คือโค้ชคาโมะถูกแฟนบอลญี่ปุ่นวิจารณ์ (อีกแล้ว) เกี่ยวกับการเปลี่ยนตัวในนาทีที่ 84 (ถอดฮิโรชิ นานามิ กองกลางที่ทำเกมรุกได้ออก แล้วส่งยาสุโตะ ฮอนดะ กองกลางตัวรับลงไปแทน)
ผู้เขียนบทความเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ตอนนั้นที่สำนักงานมีโทรศัพท์อยู่ 4 คู่สาย สายไม่ว่างเลยสักสาย เพราะแฟนบอลญี่ปุ่นโทรเข้ามาก่นด่าโค้ชคาโมะ ทำให้เห็นว่ากระแสต่อต้านในตัวโค้ชคาโมะเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งสุดท้ายแล้ว 4 ชั่วโมงครึ่งหลังการแข่งขันเสร็จ มีสายหนึ่งโทรเข้ามา เป็นโทรศัพท์ทางไกลของผู้สื่อข่าวอาวุโสท่านหนึ่งที่ไปทำข่าวที่คาซัคสถาน โทรมาบอกว่า "โค้ชคาโมะโดนปลดแล้วนะ เตรียมทำหน้าปกรอไว้เลย" สมัยนี้เราอาจจะเปลี่ยนข้อความได้ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แต่สมัยนั้นการทำปกต้องใช้เวลา สื่อมีแต่ฟอนต์เกี่ยวกับผลชนะ เสมอ แพ้...แต่ไม่บ่อยครั้งนักที่มีเรื่องการโดนปลด ทั้งนี้ โค้ชคาโมะเองก็เพิ่งทราบว่าตัวเองถูกปลดจากตำแหน่งที่โรงแรมที่พักของตนเอง ต่อมาเวลาเที่ยงคืนครึ่ง มีการประกาศว่าโค้ชผู้ช่วยทาเคชิ โอคาดะเข้ามารับตำแหน่งต่อชู คาโมะที่ถูกปลดไป
อย่างที่หลายท่านก็ทราบดี สุดท้ายแล้ว ทาเคชิ โอคาดะก็พาญี่ปุ่นไปฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศสได้สำเร็จ ย้อนกลับมาดูในช่วงปัจจุบัน สถานการณ์ของโค้ชโมริยาสุไม่ต่างอะไรกับโค้ชคาโมะในตอนนั้นเลย (ผู้เขียนบทความเขียนบทความส่งท้ายว่า) ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับโค้ชโมริยาสุ แต่ไม่ว่าอย่างไร ขออวยพรให้ทีมชาติญี่ปุ่นมีผลงานที่ดีในโอลิมปิคที่บ้านตัวเองกลางปีนี้ก็แล้วกัน
---------
แปลมาจาก เว็บซอคเกอร์ไดเจสต์ / ในวงเล็บคือข้อคิดเห็นเสริมของผมเอง
กระแสเริ่มแรงแล้วสินะ
คิดว่า Summer Olympic ที่โตเกียวจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายว่าโมริยาสุจะได้ไปต่อไหม เพราะถือว่าให้โอกาสลองทีมกันมาเต็มที่แล้ว คิดว่าหลายคนในชุดที่มาเตะบ้านเราหลายคนอาจจะไม่ได้ไปต่อ ส่วนโควต้าอายุเกิน 3 คน และตัวต่างประเทศต้องจัดเต็มมาแน่นอน
ยังคิดว่าผลงานของทีทชาติญี่ปุ่นยังจะดีกว่านี้ได้อีกครับ แต่ถ้าจบไม่สวย กระเทือนถึงตำแหน่งเฮดโค้ชชุดใหญ่ด้วยไหม...ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ