คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 23
ความเชื่อที่ว่ารัชกาลสมเด็จพระเพทราชาและพระเจ้าเสือปิดประเทศเลิกคบค้ากับชาติยุโรปโดยสิ้นเชิง ขัดแย้งกับหลักฐานประวัติศาสตร์จำนวนมากที่บ่งชี้ว่าสยามไม่เคยยังคงค้าขายกับชาติยุโรปมาตลอดสมัยกรุงศรีอยุทธยาครับ
อันที่จริง ในช่วงที่พระเพทราชาปฏิวัติยึดอำนาจ ชาติยุโรปอื่นๆ นอกจากฝรั่งเศสได้รับผลกระทบจากโดนลูกหลงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่อยู่ในสยามได้ต่อมาโดยไม่มีปัญหา ชาวดัตช์ก็อยู่ข้างพระเพทราชาต่อต้านฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสเองก็มีปัญหาอยู่กับสยามจริงจังในช่วง ๒ ปีแรกของรัชกาลสมเด็จพระเพทราชาเท่านั้น เนื่องจากตอนที่นายพลเดส์ฟาร์ฌส์ถอนทหารไปจากสยาม มีการทำหนังสือสัญญากับฝ่ายไทยว่าด้วยการถอนทหารฉบับหนึ่ง โดยมีข้อตกลงว่าหากทางฝรั่งเศสละเมิดสัญญาจะจับนายประกันชาวฝรั่งเศสที่ลงนามในสัญญา (มีสังฆราชเมเตลโลโปลิส มองซิเออร์เวเรต์หัวหน้าบริษัทฝรั่งเศส และบาทหลวงฝรั่งเศสอีก ๑๒๐ รูป) ทั้งหมดทำร้าย เนื้อหาตอนหนึ่งกล่าวถึงว่าในระหว่างที่ฝรั่งเศสล่องเรือออกจากสันดอนจะมีเรือไทยตามไปด้วย และบนเรือทั้งสองฝ่ายก็จะมีตัวประกันอยู่ พอเรือฝรั่งเศสข้ามสันดอนไปแล้วก็จะแลกตัวประกัน
แต่ว่าในช่วงที่ทหารฝรั่งเศสกำลังล่องเรือออกจากสันดอน หลักฐานฝรั่งเศสอ้างว่ามีเหตุไม่ชอบมาพากลด้วยฝั่งไทยทำทีเหมือนจะยึดเรือฝรั่งเศส เดส์ฟาร์ฌส์จึงฉุดตัวประกันฝ่ายไทยคือออกพระพิไชยสงครามกับออกหลวงราชนิกุลนิตยภักดี (คือออกหลวงกัลยาราชไมตรีอุปทูตที่ไปฝรั่งเศส) ออกทะเลไปเลย ส่วนตัวประกันฝรั่งเศสรวมถึงเวเรต์ที่อยู่บนเรือไทยก็ขึ้นเรือฝรั่งเศสหนีไปพร้อมกัน ฝ่ายเดส์ฟาร์ฌส์นั้นเดินเรือไปเทียบท่าอยู่ที่เมืองถลาง (ภูเก็ต) โดยหวังจะยึดเป็นฐานที่มั่นของฝรั่งเศส
ฝ่ายไทยเห็นว่าเดส์ฟาร์ฌส์ละเมิดสัญญา จึงเอาบรรดาบาทหลวงที่เป็นนายประกันในหนังสือสัญญามาลงโทษทำทารุณกรรมอย่างหนักและจำคุกเป็นเวลาประมาณ ๒ ปี (มาดามคอนสตันซ์ก็ถูกจับทั้งที่ทางไทยเคยสัญญาว่าจะไม่ทำอะไร เข้าใจว่าคงมาจากเรื่องผิดสัญญานี้) จนกระทั่งมีการเจรจาให้ทางฝรั่งเศสยอมส่งตัวประกันชาวไทยคืนมาในปลาย พ.ศ. ๒๒๓๒ ใช้เวลาอีกหลายเดือนบาทหลวงจึงถูกปล่อยตัวในภายหลัง และได้กลับมาสอนศาสนาได้ที่โรงเรียนสามเณรตามเดิม จนถึง พ.ศ. ๒๒๓๙ ยังปรากฏในจดหมายของสังฆราช เดอ เมเตลโลโปลิส ว่ามิชชันนารีสามารถสอนศาสนาได้โดยปกติไม่มีผู้ใดกีดขวาง เข้าได้ทั้งคนชั้นสูงและชั้นต่ำ แม้แต่สมเด็จพระเพทราชายังพระราชทานเงินให้สังฆราชไปซ่อมแซมโบสถ์เก่าที่สร้างไว้สมัยสมเด็จพระนารายณ์ด้วย
สยามในรัชกาลพระเพทราชายังคงมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ (VOC) อยู่ มีการค้าขายติดต่อกับผู้สำเร็จราชการเมืองปัตตาเวียอยู่เป็นประจำ และมีขุนนางชาวดัตช์ในราชสำนัก ถึงกระนั้นราชสำนักอยุทธยาในรัชกาลพระเพทราชากับพระเจ้าเสือก็ระวังไม่ให้ดัตช์เข้ามามีอิทธิพลมากเหมือนกับฝรั่งเศสและฟอลคอนในอดีต สุดท้ายจึงไม่ได้มีผลประโยชน์ให้แก่กันนัก แม้ว่าดัตช์จะไม่ได้ผลกำไรทางการค้าจากสยามมากเท่าไหร่ แต่ยังคงตั้งห้างอยู่ในสยามอยู่มาจนก่อนเสียกรุง พ.ศ. ๒๓๑๐ ไม่นาน
ในรัชกาลสมเด็จพระเพทราชาเองก็มีความพยายามฟื้นฟูสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศสขึ้นใหม่ โดยใน พ.ศ. ๒๒๓๖ เจ้าพระยาศรีธรรมราช (ปาน) หรือโกษาปานได้ส่งจดหมายไปถึงบาทหลวง เดอ ลา แชส (François de la Chaise) ผู้อภัยบาปพระจำพระองค์พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ เพื่อชี้แจงเรื่องเหตุการณ์ปฏิวัติในสยามว่าความวุ่นวายทั้งหลายเกิดจากฟอลคอนและกองทหารฝรั่งเศส โดยที่พระเจ้าหลุยส์ไม่ได้ทรงรับรู้ และสยามยังคงเป็นไมตรีกับฝรั่งเศสตามเดิม ส่วนหนึ่งมีรายงานว่าเพราะสยามเองไม่ไว้ในดัตช์และต้องการดึงฝรั่งเศสกลับมาคานอำนาจดัตช์อีก
บาทหลวงกีย์ ตาชารด์ (Guy Tachard) ที่เดินทางกลับมาพร้อมคณะทูตไทยชุดสุดท้ายที่สมเด็จพระนารายณ์ส่งไปฝรั่งเศส ได้เตรียมการที่จะกลับเข้ามาในสยามตั้งแต่ช่วงหลังปฏิวัติไม่นานและมีจดหมายติดต่อกับเจ้าพระยาศรีธรรมราชบ่อยครั้ง (แต่ถูกกีดกันอยู่หลายหน) จนในที่สุดสยามได้จัดพิธีรับราชทูตและบาทหลวงตาชารด์เข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์นของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ กับสมณสาส์นของสมเด็จพระสันตปาปาใน พ.ศ. ๒๒๔๒ (พระราชสาส์นฉบับนี้เป็นพระราชสาส์นที่ทางฝรั่งเศสเตรียมไว้ถวายสมเด็จพระนารายณ์ตั้งแต่ก่อนสวรรคต แต่เนื่องจากเกิดการปฏิวัติในสยามจึงไม่ได้ถวาย)
แต่พิธีการครั้งนั้นไม่ได้ให้ผลอะไรเป็นรูปธรรม เพราะสยามเองยังมีท่าทีเป็นปรปักษ์กับฝรั่งเศสอยู่ ความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสก็ไม่ได้แน่นแฟ้นเท่าในอดีต และมีปัญหากันพอสมควรเพราะทางฝรั่งเศสพยายามขอเมืองมะริดเหมือนในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ แต่กรุงศรีอยุทธยาปฏิเสธ
การค้าของชาติยุโรปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซบเซาลงเมื่อเทียบกับศตวรรษที่ 17 ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากปัจจัยในสยามเองที่มีความวุ่นวายภายในมากในช่วงรัชกาลพระเพทราชา แต่ก็มีปัจจัยทางทางยุโรปร่วมด้วย เพราะยุโรปตอนนั้นมีสงครามใหญ่ติดต่อกันคือ "สงครามมหาสัมพันธมิตร" (War of the Grand Alliance) กับ "สงครามสืบราชบัลลังก์สเปน" (War of the Spanish Succession) เมืองพอนดิเชอร์รีซึ่งเป็นเมืองท่าของฝรั่งเศสถูกฮอลันดายึดใน ค.ศ. 1694 (พ.ศ. 2237) ทำให้ฝรั่งเศสเดินทางเข้ามาค้าขายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ได้จนกระทั่งสงครามมหาสัมพันธมิตรจบ บวกกับทางตะวันตกเองก็ทำกำไรในแถบนี้ได้ไม่ค่อยดีนัก ทำให้ในช่วงปลายอยุทธยาชาติยุโรปไม่นิยมส่งคณะทูตขนาดใหญ่มาเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักตะวันออกในระดับรัฐต่อรัฐแล้ว จะมีแต่พ่อค้าเอกชนเข้ามาเป็นส่วนใหญ่
ถึงกระนั้นกิจกรรมการค้าสำเภากับต่างประเทศยังคงเป็นหนึ่งในรายได้หลักสำคัญของราชสำนักอยุทธยาตอนปลาย ปรากฏในหลักฐานร่วมสมัยของดัตช์ว่าพระเจ้าเสือเมื่อครั้งเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงมีสิทธิในการทำการค้าสำเภาด้วยพระองค์เองกับเมืองท่าของชายฝั่งโจฬะมณฑล (Coromandel coast) ในอินเดีย ญี่ปุ่น และปัตตาเวีย (ดัตช์)
เมื่อถึงรัชกาลสมเด็จพระเจ้าเสือ ปรากฏในหลักฐานของสังฆราชคณะมิสซังต่างประเทศในสยามว่า พระองค์ทรงหวังจะให้ฝรั่งเศสกลับเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีและติดต่อค้าขายกันอีกรวมถึงตั้งห้างในสยาม และยังทรงติดต่อให้บาทหลวงฝรั่งเศสในสยามช่วยประสานกับฝรั่งเศสให้ด้วย โดยเสนอสิทธิพิเศษทางการค้าให้หลายอย่าง สังฆราชฝรั่งเศสวิเคราะห์เหตุผลของพระเจ้าเสือไว้ว่า
๑. เนื่องจากการค้าในสยามร่วงโรยลงไปมากเพราะไม่มีชาวยุโรปเดินทางมา และมีพ่อค้าจากภูมิภาคอินเดียมาน้อย
๒. ได้ข่าวว่าเจ้าชายฟิลิป พระราชนัดดาของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ได้ครองราชบัลลังก์สเปน ทำให้สเปนกับฝรั่งเศสเป็นไมตรีกันแล้ว
๓. อังกฤษไปตั้งฐานอยู่ที่ เกาะปูโล คอนดอ (Pulo Condore) ทางใต้ของดั่ยเหวียด ทำให้อังกฤษแย่งผลประโยชน์มีอำนาจในการค้าทางทะเลแถบอ่าวไทยไปถึงจีนและญี่ปุ่น นอกจากนี้พระเจ้าเสือทรงระแวงชาวอังกฤษเนื่องจากในปลายรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มีการสังหารหมู่ชาวอังกฤษที่เมืองมะริด ซึ่งฝรั่งเศสเข้าใจว่าสมเด็จพระเพทราชามีส่วนเกี่ยวข้อง
๔. พระเจ้าเสือทรงเกรงชาวดัตช์ เนื่องจากดัตช์มีเหตุหลายประการไม่พอใจในตัวพระองค์ ทำให้ทรงหวังจะได้ฝรั่งเศสไว้คานอำนาจ
ทั้งนี้พบว่าพระเจ้าเสือไม่ได้เชิญชวนฝรั่งเศสเพียงชาติเดียว แต่ยังเสนอให้อังกฤษ เดนมาร์ก และชาติยุโรปทั้งหมดที่ต้องการเข้ามาตั้งรกรากในสยามด้วย แต่ภายหลังฝรั่งเศสเสื่อมความสนใจต่อสยามเพราะสยามไม่ยอมยกเมืองท่ามะริดให้ตามที่ร้องขอ อย่างไรก็ตามฝรั่งเศสก็เพิ่งเข้ามามีบทบาททางการค้าจริงจังในสยามในช่วง 4-5 ปีสุดท้ายของรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์เท่านั้น การปฏิวัติขับไล่ฝรั่งเศสออกไปจากสยามของพระเพทราชาในความเป็นจริงจึงไม่น่าจะสร้างผลกระทบสำคัญต่อการค้าของสยามมากอย่างที่เคยเข้าใจครับ
สยามกับฝรั่งเศสก็ยังมีไมตรีกันดีในรัชกาลพระเจ้าเสือและพระเจ้าท้ายสระ ดังที่จดหมายเหตุของบาทหลวงฝรั่งเศสบันทึกไว้ในช่วงต้นรัชกาลพระเจ้าท้ายสระว่า "ด้วยเหตุว่าเวลานี้ฝรั่งเศสยังเป็นไมตรีกับไทยอยู่ คือว่าทุก ๆ ปีบริษัทฝรั่งเศสก็ได้อาศัยซ่อมแซมเรือที่เมืองมะริด ไทยก็รับรองอย่างดี เมืองฝรั่งเศสจะต้องการอะไรไทยก็จัดหาให้โดยบริษัทไม่ต้องใช่โสหุ้ยมากมายเท่าไรนัก พระเจ้ากรุงสยามองค์ที่สวรรคตก็ได้รับสั่งไว้ แก่เจ้าเมืองตะนาวศรีและเจ้าเมืองมะริดให้รับรองให้ดี และถ้าบริษัทจะต้องการอะไรก็ให้จัดหาให้ ข้อนี้เมื่อมองซิเออร์หลุยได้ไปยังเมืองมะริดก็ได้เห็นปรากฏอยู่แล้ว แลพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ก็ได้มีรับกำชับอย่างนี้เหมือนกัน"
ถึงกระนั้นการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับฝรั่งเศสไม่เคยประสบความสำเร็จเหมือนในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ เพราะผลจากสถานการณ์ในการค้าของโลก รวมถึงทั้งสองฝ่ายต่างเสื่อมความสนใจของกันและกันไปครับ
ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าท้ายสระยังมีพิธีรับคณะทูตสเปนจากเมืองมะนิลาใน พ.ศ. ๒๒๖๑ ซึ่งเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับสยามเพราะต้องการซื้อข้าวเพื่อแก้ปัญหาภาวะขาดแคลนอาหารในฟิลิปปินส์เวลานั้น โดยเป็นคณะทูตขนาดใหญ่มีสมาชิกถึง ๑๒๒ คน ราชทูตเป็นหลานชายของผู้สำเร็จราชการแห่งฟิลิปปินส์ นับเป็นคณะทูตยุโรปชุดสุดท้ายที่เข้ามายังกรุงศรีอยุทธยา ในยุคที่ชาติอื่นๆ ไม่นิยมส่งคณะทูตแล้ว นอกจากนี้ยังมีการทำสนธิสัญญาทางการค้าและอนุญาตให้ตั้งสถานีการค้าในสยามด้วย แต่เพราะมีการยึดอำนาจในมะนิลาจนผู้สำเร็จราชการถูกสังหาร สนธิสัญญาที่ทำไว้จึงกลายเป็นแผ่นกระดาษเปล่า
ด้วยความที่การค้ากับยุโรปลดบทบาทลงไป การค้ากับจีนราชวงศ์ชิงจึงเฟื่องฟูขึ้นแทนในรัชกาลพระเจ้าท้ายสระ เพราะตั้งแต่ปลายรัชสมัยคังซี ที่มณฑลกวางตุ้งและฝูเจี้ยนมีภัยธรรมชาติมากทำให้ขาดแคลนข้าว ซึ่งไทยเองก็นำข้าวไปค้าสำเภาให้จีนโดยไม่ต้องเสียภาษี ทำกำไรเข้าท้องพระคลังอย่างมหาศาล การค้ากับจีนทั้งในระดับรัฐและเอกชนจึงขยายตัวขึ้นอย่างมาก และยังดึงดูดให้ชาวจีนเข้ามาในระบบราชการของไทยจำนวนมากด้วยครับ นอกจากนี้สยามยังอาศัยชาวจีนทำการค้ากับญี่ปุ่นที่กำลังปิดประเทศอยู่ด้วย (เพราะญี่ปุ่นอนุญาตให้จีนค้าขายได้ที่นางาซากิ)
รายละเอียดอ่านเพิ่มเติมที่
การค้าข้าวระหว่างต้าชิงและกรุงศรีอยุทธยา ในยุคทองคัง-เฉียน
https://www.facebook.com/WipakHistory/posts/1901348896595238
โกษาธิบดีจีน และอิทธิพลชาวจีนในรัชกาลพระเพทราชาถึงพระเจ้าท้ายสระ
https://www.facebook.com/WipakHistory/posts/2641678035895650
ราชสำนักอยุทธยาตอนปลายยังทำการค้ากับโลกตะวันตกคืออินเดียอยู่เสมอ มีการซื้อสินค้าจากอินเดียจำนวนมาก โดยเฉพาะสิ่งทอซึ่งมีการจัดหาสินค้าประเภทนี้ผ่านหลายช่องทาง เช่น VOC พ่อค้ามุสลิมในอินเดีย และอังกฤษที่มีฐานการค้าอยู่ในอินเดีย โดยอาศัยเมืองมะริดเป็นเมืองท่าสำคัญสำหรับทำการค้ากับเมืองท่าในชายฝั่งโจฬะมณฑล
สรุปแล้ว กรุงศรีอยุทธยาไม่เคยโดดเดี่ยวตนเองจากโลกภายนอกหรือยุติการค้ากับชาติตะวันตกเลย การค้าต่างประเทศยังคงเป็นกิจการสำคัญในราชสำนักอยู่เสมอ แต่ลดปริมาณของการค้ากับชาติยุโรปลงไปจากในอดีต ซึ่งมาจากความต้องการของทั้งสองฝ่ายที่เสื่อมความสนใจต่อกันและกันเนื่องจากไม่ได้ผลประโยชน์มากนัก และเป็นเพราะผลจากการเปลี่ยนแปลงทางการค้าของโลกด้วยครับ
อันที่จริง ในช่วงที่พระเพทราชาปฏิวัติยึดอำนาจ ชาติยุโรปอื่นๆ นอกจากฝรั่งเศสได้รับผลกระทบจากโดนลูกหลงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่อยู่ในสยามได้ต่อมาโดยไม่มีปัญหา ชาวดัตช์ก็อยู่ข้างพระเพทราชาต่อต้านฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสเองก็มีปัญหาอยู่กับสยามจริงจังในช่วง ๒ ปีแรกของรัชกาลสมเด็จพระเพทราชาเท่านั้น เนื่องจากตอนที่นายพลเดส์ฟาร์ฌส์ถอนทหารไปจากสยาม มีการทำหนังสือสัญญากับฝ่ายไทยว่าด้วยการถอนทหารฉบับหนึ่ง โดยมีข้อตกลงว่าหากทางฝรั่งเศสละเมิดสัญญาจะจับนายประกันชาวฝรั่งเศสที่ลงนามในสัญญา (มีสังฆราชเมเตลโลโปลิส มองซิเออร์เวเรต์หัวหน้าบริษัทฝรั่งเศส และบาทหลวงฝรั่งเศสอีก ๑๒๐ รูป) ทั้งหมดทำร้าย เนื้อหาตอนหนึ่งกล่าวถึงว่าในระหว่างที่ฝรั่งเศสล่องเรือออกจากสันดอนจะมีเรือไทยตามไปด้วย และบนเรือทั้งสองฝ่ายก็จะมีตัวประกันอยู่ พอเรือฝรั่งเศสข้ามสันดอนไปแล้วก็จะแลกตัวประกัน
แต่ว่าในช่วงที่ทหารฝรั่งเศสกำลังล่องเรือออกจากสันดอน หลักฐานฝรั่งเศสอ้างว่ามีเหตุไม่ชอบมาพากลด้วยฝั่งไทยทำทีเหมือนจะยึดเรือฝรั่งเศส เดส์ฟาร์ฌส์จึงฉุดตัวประกันฝ่ายไทยคือออกพระพิไชยสงครามกับออกหลวงราชนิกุลนิตยภักดี (คือออกหลวงกัลยาราชไมตรีอุปทูตที่ไปฝรั่งเศส) ออกทะเลไปเลย ส่วนตัวประกันฝรั่งเศสรวมถึงเวเรต์ที่อยู่บนเรือไทยก็ขึ้นเรือฝรั่งเศสหนีไปพร้อมกัน ฝ่ายเดส์ฟาร์ฌส์นั้นเดินเรือไปเทียบท่าอยู่ที่เมืองถลาง (ภูเก็ต) โดยหวังจะยึดเป็นฐานที่มั่นของฝรั่งเศส
ฝ่ายไทยเห็นว่าเดส์ฟาร์ฌส์ละเมิดสัญญา จึงเอาบรรดาบาทหลวงที่เป็นนายประกันในหนังสือสัญญามาลงโทษทำทารุณกรรมอย่างหนักและจำคุกเป็นเวลาประมาณ ๒ ปี (มาดามคอนสตันซ์ก็ถูกจับทั้งที่ทางไทยเคยสัญญาว่าจะไม่ทำอะไร เข้าใจว่าคงมาจากเรื่องผิดสัญญานี้) จนกระทั่งมีการเจรจาให้ทางฝรั่งเศสยอมส่งตัวประกันชาวไทยคืนมาในปลาย พ.ศ. ๒๒๓๒ ใช้เวลาอีกหลายเดือนบาทหลวงจึงถูกปล่อยตัวในภายหลัง และได้กลับมาสอนศาสนาได้ที่โรงเรียนสามเณรตามเดิม จนถึง พ.ศ. ๒๒๓๙ ยังปรากฏในจดหมายของสังฆราช เดอ เมเตลโลโปลิส ว่ามิชชันนารีสามารถสอนศาสนาได้โดยปกติไม่มีผู้ใดกีดขวาง เข้าได้ทั้งคนชั้นสูงและชั้นต่ำ แม้แต่สมเด็จพระเพทราชายังพระราชทานเงินให้สังฆราชไปซ่อมแซมโบสถ์เก่าที่สร้างไว้สมัยสมเด็จพระนารายณ์ด้วย
สยามในรัชกาลพระเพทราชายังคงมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ (VOC) อยู่ มีการค้าขายติดต่อกับผู้สำเร็จราชการเมืองปัตตาเวียอยู่เป็นประจำ และมีขุนนางชาวดัตช์ในราชสำนัก ถึงกระนั้นราชสำนักอยุทธยาในรัชกาลพระเพทราชากับพระเจ้าเสือก็ระวังไม่ให้ดัตช์เข้ามามีอิทธิพลมากเหมือนกับฝรั่งเศสและฟอลคอนในอดีต สุดท้ายจึงไม่ได้มีผลประโยชน์ให้แก่กันนัก แม้ว่าดัตช์จะไม่ได้ผลกำไรทางการค้าจากสยามมากเท่าไหร่ แต่ยังคงตั้งห้างอยู่ในสยามอยู่มาจนก่อนเสียกรุง พ.ศ. ๒๓๑๐ ไม่นาน
ในรัชกาลสมเด็จพระเพทราชาเองก็มีความพยายามฟื้นฟูสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศสขึ้นใหม่ โดยใน พ.ศ. ๒๒๓๖ เจ้าพระยาศรีธรรมราช (ปาน) หรือโกษาปานได้ส่งจดหมายไปถึงบาทหลวง เดอ ลา แชส (François de la Chaise) ผู้อภัยบาปพระจำพระองค์พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ เพื่อชี้แจงเรื่องเหตุการณ์ปฏิวัติในสยามว่าความวุ่นวายทั้งหลายเกิดจากฟอลคอนและกองทหารฝรั่งเศส โดยที่พระเจ้าหลุยส์ไม่ได้ทรงรับรู้ และสยามยังคงเป็นไมตรีกับฝรั่งเศสตามเดิม ส่วนหนึ่งมีรายงานว่าเพราะสยามเองไม่ไว้ในดัตช์และต้องการดึงฝรั่งเศสกลับมาคานอำนาจดัตช์อีก
บาทหลวงกีย์ ตาชารด์ (Guy Tachard) ที่เดินทางกลับมาพร้อมคณะทูตไทยชุดสุดท้ายที่สมเด็จพระนารายณ์ส่งไปฝรั่งเศส ได้เตรียมการที่จะกลับเข้ามาในสยามตั้งแต่ช่วงหลังปฏิวัติไม่นานและมีจดหมายติดต่อกับเจ้าพระยาศรีธรรมราชบ่อยครั้ง (แต่ถูกกีดกันอยู่หลายหน) จนในที่สุดสยามได้จัดพิธีรับราชทูตและบาทหลวงตาชารด์เข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์นของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ กับสมณสาส์นของสมเด็จพระสันตปาปาใน พ.ศ. ๒๒๔๒ (พระราชสาส์นฉบับนี้เป็นพระราชสาส์นที่ทางฝรั่งเศสเตรียมไว้ถวายสมเด็จพระนารายณ์ตั้งแต่ก่อนสวรรคต แต่เนื่องจากเกิดการปฏิวัติในสยามจึงไม่ได้ถวาย)
แต่พิธีการครั้งนั้นไม่ได้ให้ผลอะไรเป็นรูปธรรม เพราะสยามเองยังมีท่าทีเป็นปรปักษ์กับฝรั่งเศสอยู่ ความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสก็ไม่ได้แน่นแฟ้นเท่าในอดีต และมีปัญหากันพอสมควรเพราะทางฝรั่งเศสพยายามขอเมืองมะริดเหมือนในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ แต่กรุงศรีอยุทธยาปฏิเสธ
การค้าของชาติยุโรปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซบเซาลงเมื่อเทียบกับศตวรรษที่ 17 ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากปัจจัยในสยามเองที่มีความวุ่นวายภายในมากในช่วงรัชกาลพระเพทราชา แต่ก็มีปัจจัยทางทางยุโรปร่วมด้วย เพราะยุโรปตอนนั้นมีสงครามใหญ่ติดต่อกันคือ "สงครามมหาสัมพันธมิตร" (War of the Grand Alliance) กับ "สงครามสืบราชบัลลังก์สเปน" (War of the Spanish Succession) เมืองพอนดิเชอร์รีซึ่งเป็นเมืองท่าของฝรั่งเศสถูกฮอลันดายึดใน ค.ศ. 1694 (พ.ศ. 2237) ทำให้ฝรั่งเศสเดินทางเข้ามาค้าขายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ได้จนกระทั่งสงครามมหาสัมพันธมิตรจบ บวกกับทางตะวันตกเองก็ทำกำไรในแถบนี้ได้ไม่ค่อยดีนัก ทำให้ในช่วงปลายอยุทธยาชาติยุโรปไม่นิยมส่งคณะทูตขนาดใหญ่มาเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักตะวันออกในระดับรัฐต่อรัฐแล้ว จะมีแต่พ่อค้าเอกชนเข้ามาเป็นส่วนใหญ่
ถึงกระนั้นกิจกรรมการค้าสำเภากับต่างประเทศยังคงเป็นหนึ่งในรายได้หลักสำคัญของราชสำนักอยุทธยาตอนปลาย ปรากฏในหลักฐานร่วมสมัยของดัตช์ว่าพระเจ้าเสือเมื่อครั้งเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงมีสิทธิในการทำการค้าสำเภาด้วยพระองค์เองกับเมืองท่าของชายฝั่งโจฬะมณฑล (Coromandel coast) ในอินเดีย ญี่ปุ่น และปัตตาเวีย (ดัตช์)
เมื่อถึงรัชกาลสมเด็จพระเจ้าเสือ ปรากฏในหลักฐานของสังฆราชคณะมิสซังต่างประเทศในสยามว่า พระองค์ทรงหวังจะให้ฝรั่งเศสกลับเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีและติดต่อค้าขายกันอีกรวมถึงตั้งห้างในสยาม และยังทรงติดต่อให้บาทหลวงฝรั่งเศสในสยามช่วยประสานกับฝรั่งเศสให้ด้วย โดยเสนอสิทธิพิเศษทางการค้าให้หลายอย่าง สังฆราชฝรั่งเศสวิเคราะห์เหตุผลของพระเจ้าเสือไว้ว่า
๑. เนื่องจากการค้าในสยามร่วงโรยลงไปมากเพราะไม่มีชาวยุโรปเดินทางมา และมีพ่อค้าจากภูมิภาคอินเดียมาน้อย
๒. ได้ข่าวว่าเจ้าชายฟิลิป พระราชนัดดาของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ได้ครองราชบัลลังก์สเปน ทำให้สเปนกับฝรั่งเศสเป็นไมตรีกันแล้ว
๓. อังกฤษไปตั้งฐานอยู่ที่ เกาะปูโล คอนดอ (Pulo Condore) ทางใต้ของดั่ยเหวียด ทำให้อังกฤษแย่งผลประโยชน์มีอำนาจในการค้าทางทะเลแถบอ่าวไทยไปถึงจีนและญี่ปุ่น นอกจากนี้พระเจ้าเสือทรงระแวงชาวอังกฤษเนื่องจากในปลายรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มีการสังหารหมู่ชาวอังกฤษที่เมืองมะริด ซึ่งฝรั่งเศสเข้าใจว่าสมเด็จพระเพทราชามีส่วนเกี่ยวข้อง
๔. พระเจ้าเสือทรงเกรงชาวดัตช์ เนื่องจากดัตช์มีเหตุหลายประการไม่พอใจในตัวพระองค์ ทำให้ทรงหวังจะได้ฝรั่งเศสไว้คานอำนาจ
ทั้งนี้พบว่าพระเจ้าเสือไม่ได้เชิญชวนฝรั่งเศสเพียงชาติเดียว แต่ยังเสนอให้อังกฤษ เดนมาร์ก และชาติยุโรปทั้งหมดที่ต้องการเข้ามาตั้งรกรากในสยามด้วย แต่ภายหลังฝรั่งเศสเสื่อมความสนใจต่อสยามเพราะสยามไม่ยอมยกเมืองท่ามะริดให้ตามที่ร้องขอ อย่างไรก็ตามฝรั่งเศสก็เพิ่งเข้ามามีบทบาททางการค้าจริงจังในสยามในช่วง 4-5 ปีสุดท้ายของรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์เท่านั้น การปฏิวัติขับไล่ฝรั่งเศสออกไปจากสยามของพระเพทราชาในความเป็นจริงจึงไม่น่าจะสร้างผลกระทบสำคัญต่อการค้าของสยามมากอย่างที่เคยเข้าใจครับ
สยามกับฝรั่งเศสก็ยังมีไมตรีกันดีในรัชกาลพระเจ้าเสือและพระเจ้าท้ายสระ ดังที่จดหมายเหตุของบาทหลวงฝรั่งเศสบันทึกไว้ในช่วงต้นรัชกาลพระเจ้าท้ายสระว่า "ด้วยเหตุว่าเวลานี้ฝรั่งเศสยังเป็นไมตรีกับไทยอยู่ คือว่าทุก ๆ ปีบริษัทฝรั่งเศสก็ได้อาศัยซ่อมแซมเรือที่เมืองมะริด ไทยก็รับรองอย่างดี เมืองฝรั่งเศสจะต้องการอะไรไทยก็จัดหาให้โดยบริษัทไม่ต้องใช่โสหุ้ยมากมายเท่าไรนัก พระเจ้ากรุงสยามองค์ที่สวรรคตก็ได้รับสั่งไว้ แก่เจ้าเมืองตะนาวศรีและเจ้าเมืองมะริดให้รับรองให้ดี และถ้าบริษัทจะต้องการอะไรก็ให้จัดหาให้ ข้อนี้เมื่อมองซิเออร์หลุยได้ไปยังเมืองมะริดก็ได้เห็นปรากฏอยู่แล้ว แลพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ก็ได้มีรับกำชับอย่างนี้เหมือนกัน"
ถึงกระนั้นการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับฝรั่งเศสไม่เคยประสบความสำเร็จเหมือนในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ เพราะผลจากสถานการณ์ในการค้าของโลก รวมถึงทั้งสองฝ่ายต่างเสื่อมความสนใจของกันและกันไปครับ
ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าท้ายสระยังมีพิธีรับคณะทูตสเปนจากเมืองมะนิลาใน พ.ศ. ๒๒๖๑ ซึ่งเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับสยามเพราะต้องการซื้อข้าวเพื่อแก้ปัญหาภาวะขาดแคลนอาหารในฟิลิปปินส์เวลานั้น โดยเป็นคณะทูตขนาดใหญ่มีสมาชิกถึง ๑๒๒ คน ราชทูตเป็นหลานชายของผู้สำเร็จราชการแห่งฟิลิปปินส์ นับเป็นคณะทูตยุโรปชุดสุดท้ายที่เข้ามายังกรุงศรีอยุทธยา ในยุคที่ชาติอื่นๆ ไม่นิยมส่งคณะทูตแล้ว นอกจากนี้ยังมีการทำสนธิสัญญาทางการค้าและอนุญาตให้ตั้งสถานีการค้าในสยามด้วย แต่เพราะมีการยึดอำนาจในมะนิลาจนผู้สำเร็จราชการถูกสังหาร สนธิสัญญาที่ทำไว้จึงกลายเป็นแผ่นกระดาษเปล่า
ด้วยความที่การค้ากับยุโรปลดบทบาทลงไป การค้ากับจีนราชวงศ์ชิงจึงเฟื่องฟูขึ้นแทนในรัชกาลพระเจ้าท้ายสระ เพราะตั้งแต่ปลายรัชสมัยคังซี ที่มณฑลกวางตุ้งและฝูเจี้ยนมีภัยธรรมชาติมากทำให้ขาดแคลนข้าว ซึ่งไทยเองก็นำข้าวไปค้าสำเภาให้จีนโดยไม่ต้องเสียภาษี ทำกำไรเข้าท้องพระคลังอย่างมหาศาล การค้ากับจีนทั้งในระดับรัฐและเอกชนจึงขยายตัวขึ้นอย่างมาก และยังดึงดูดให้ชาวจีนเข้ามาในระบบราชการของไทยจำนวนมากด้วยครับ นอกจากนี้สยามยังอาศัยชาวจีนทำการค้ากับญี่ปุ่นที่กำลังปิดประเทศอยู่ด้วย (เพราะญี่ปุ่นอนุญาตให้จีนค้าขายได้ที่นางาซากิ)
รายละเอียดอ่านเพิ่มเติมที่
การค้าข้าวระหว่างต้าชิงและกรุงศรีอยุทธยา ในยุคทองคัง-เฉียน
https://www.facebook.com/WipakHistory/posts/1901348896595238
โกษาธิบดีจีน และอิทธิพลชาวจีนในรัชกาลพระเพทราชาถึงพระเจ้าท้ายสระ
https://www.facebook.com/WipakHistory/posts/2641678035895650
ราชสำนักอยุทธยาตอนปลายยังทำการค้ากับโลกตะวันตกคืออินเดียอยู่เสมอ มีการซื้อสินค้าจากอินเดียจำนวนมาก โดยเฉพาะสิ่งทอซึ่งมีการจัดหาสินค้าประเภทนี้ผ่านหลายช่องทาง เช่น VOC พ่อค้ามุสลิมในอินเดีย และอังกฤษที่มีฐานการค้าอยู่ในอินเดีย โดยอาศัยเมืองมะริดเป็นเมืองท่าสำคัญสำหรับทำการค้ากับเมืองท่าในชายฝั่งโจฬะมณฑล
สรุปแล้ว กรุงศรีอยุทธยาไม่เคยโดดเดี่ยวตนเองจากโลกภายนอกหรือยุติการค้ากับชาติตะวันตกเลย การค้าต่างประเทศยังคงเป็นกิจการสำคัญในราชสำนักอยู่เสมอ แต่ลดปริมาณของการค้ากับชาติยุโรปลงไปจากในอดีต ซึ่งมาจากความต้องการของทั้งสองฝ่ายที่เสื่อมความสนใจต่อกันและกันเนื่องจากไม่ได้ผลประโยชน์มากนัก และเป็นเพราะผลจากการเปลี่ยนแปลงทางการค้าของโลกด้วยครับ
ความคิดเห็นจาก Expert Account
ความคิดเห็นที่ 24
ส่วนเรื่องพระอัธยาศัยส่วนพระองค์ของสมเด็จพระเพทราชากับพระเจ้าเสือที่ปรากฏในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พอจะกล่าวได้ดังนี้ครับ
สมเด็จพระเพทราชา นอกจากเรื่องที่ยึดอำนาจสมเด็จพระนารายณ์แล้ว ไม่ปรากฏหลักฐานกล่าวถึงในแง่ลบเท่าไหร่นัก แต่ในรัชกาลของพระองค์ต้องเผชิญกับกบฏหลายครั้ง มาถึงปลายรัชกาลเกิดกบฏเมืองนครราชสีมาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๒๔๒ ถึง เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๒๔๓ หลักฐานร่วมสมัยของทั้งดัตช์และฝรั่งเศสระบุว่าพระอัธยาศัยของพระองค์เปลี่ยนไปในทางที่รุนแรงมากขึ้น เนื่องจากทรงระแวงว่าจะมีผู้ก่อกบฏชิงราชบัลลังก์ของพระองค์
จากบันทึกของ กิเดโยน ตันต์ (Gideon Tant) ผู้ดำรงตำแหน่ง Opperhoofd หรือหัวหน้าสถานีการค้าของ VOC ประจำกรุงศรีอยุทธยาในเวลานั้น ระบุว่ามี "ข่าวลือ" ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังการก่อกบฏครั้งนั้นคือกรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือไม่ก็พระอนุชาของสมเด็จพระนารายณ์ที่ยังมีพระชนม์อยู่ ตรงกับในหลักฐานจดหมายของบาทหลวงฝรั่งเศสคณะมิสซังต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ตันต์กลับสันนิษฐานว่าการกบฏครั้งนั้นเกิดขึ้นได้จากการสนับสนุนจากภายในราชสำนักเอง โดยมีจุดประสงค์เพื่อโค่นล้มสมเด็จพระเพทราชา และจะยกเจ้าพระขวัญ พระโอรสของพระเพทราชาที่ประสูติจากเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพ (ไม่ใช่กรมหลวงโยธาทิพตามพงศาวดารสมัยหลัง) เชื้อสายของสมเด็จพระนารายณ์เป็นพระเจ้าแผ่นดินแทน และก็เชื่อว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังของการก่อกบฏก็คือเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพ และขุนนางผู้ใหญ่ที่มีความใกล้ชิดกับพระนางคือ “พระคลัง” ซึ่งก็คือ เจ้าพระยาศรีธรรมราช (ปาน) หรือ “โกษาปาน”
ด้วยความหวาดระแวงจากภัยคุกคามและการก่อกบฎที่มีเกือบตลอดรัชกาลสมเด็จพระเพทราชาจึงปรากฏว่ามีการลงอาญาขุนนางอยู่บ่อยครั้ง ในเหหตุกบฏเมืองนครราชสีมาปรากฏการลงอาญาและถอดแม่ทัพนายกองจากบรรดาศักดิ์จำนวน ๔๘ คนด้วยเหตุที่เกรงว่าจะร่วมกันก่อกบฏ โดยหลักฐานฝรั่งเศสระบุว่ามีวิธีการที่โหดร้ายทารุณมาก
ฝ่ายเจ้าพระยาศรีธรรมราช (ปาน) ก็ถูกลงอาญาอย่างหนักอยู่บ่อยครั้งมาหลายปีก่อนหน้าเพราะไม่ทรงไว้วางพระทัย จนเป็นเหตุให้ถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๒๔๒ ตามหลักฐานดัตช์ และหลังจากนั้นก็ปรากฏว่าสมเด็จพระเพทราชาทรงปฏิบัติต่อเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพอย่างเลวร้ายมากขึ้น และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทรงทำร้ายพระนาง
นอกจากนี้ สมเด็จพระเพทราชาทรงแต่งตั้งขุนนางใหม่แทนขุนนางเก่าที่ถูกปลดจำนวนมาก ซึ่งล้วนแต่เป็นคนโปรดที่จงรักภักดีต่อพระองค์ ซึ่งน่าจะเป็นการลดอิทธิพลของกรมหลวงโยธาเทพในทางหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่แล้วอายุน้อยและขาดประสบการณ์และตันต์ได้รายงานว่าขุนนางกลุ่มใหม่นี้ยังข่มเหงราษฎร และทำให้การค้าต่างประเทศในช่วง พ.ศ. ๒๒๔๓ วุ่นวายพอสมควร
สมเด็จพระเพทราชาทรงหันมาไว้วางพระทัยขุนนางชาวจีนผู้หนึ่งซึ่งมีบรรดาศักดิ์เป็น "ออกญาสมบัติบาล" เจ้ากรมพระคลังในขวา ซึ่งมีความดีความชอบยึดหนังสือลับที่เมืองนครราชสีมาส่งมาถึงพระสงฆ์หลายรูปไปทูลเกล้าฯ ถวายเป็นความดีความชอบ ทำให้กลายเป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระเพทราชา มีบันทึกว่าออกญาสมบัติบาลเป็นเสนาบดีคนเดียวที่สมเด็จพระเพทราชาทรงไว้วางพระทัย ในระดับที่พระองค์ต้องพึ่งเขามากยิ่งกว่าที่สมเด็จพระนารายณ์ทรงเคยพึ่งพาฟอลคอนเสียอีก สันนิษฐานว่าเพราะในเวลานั้นทรงพระชราแล้วและทรงหวาดระแวงว่าจะมีผู้โค่นล้มพระองค์อยู่เสมอ
ตันต์วิจารณ์ว่า หลังกบฏเมืองนครราชสีมา สมเด็จพระเพทราชาซึ่งเดิมมีพระอัธยาศัยไปในทาง "เคร่งศาสนาอย่างยิ่ง" (สอดคล้องกับหลักฐานดัตช์ที่นิยมเรียกพระองค์ว่า Phra Trong Than 'พระทรงธรรม์' ) กลับกลายเป็น "ทรราช" ที่เป็นที่หวาดกลัวของทุกคน
ส่วนพระเจ้าเสือ ทั้งพงศาวดารของไทย หลักฐานร่วมสมัยของต่างประเทศทั้งฝรั่งเศสและดัตช์ในช่วงรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มาถึงพระเจ้าเสือจำนวนมาก ล้วนระบุตรงกันว่าทรงมีพระอัธยาศัยโหดร้าย ทรงลงพระราชอาญาข้าราชการและพระโอรสทั้งสองคือพระเจ้าท้ายสระและพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศบ่อยครั้ง และพฤติกรรมมักมากในกามคุณตั้งแต่ยังไม่ได้ครองราชย์ครับ
ยกตัวอย่างจากพระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) วิจารณ์ว่า
“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพอพระทัยเสวยน้ำจัณฑ์ แล้วเสพสังวาสด้วยดรุณีอิตถีสตรีเด็กอายุ ๑๑- ๑๒ ปี ถ้าสตรีใดเสืoกดิ้นโคลงไป ทรงพระโกรธ ลงพระราชอาชญาถองยอดอกตายกับที่ ถ้าสตรีใดไม่ดิ้นเสืoกโคลงนิ่งอยู่ ชอบพระอัชฌาสัย พระราชทานบำเหน็จรางวัล ประการหนึ่งถ้าเสด็จไปประพาสมัจฉาชาติฉนากฉลามในชลมารคทางทะเลเกาะสีชังเขาสามมุข แลประเทศที่ใด ย่อมเสวยน้ำจัณฑ์พลาง ถ้าหมู่พระสนมนิกรนางในแลมหาดเล็กชาวที่ ทำให้เรือพระที่นั่งโคลงไหวไป มิได้มีพระวิจารณะ ปราศจากพระกรุณาญาณ ลุอำนาจแก่พระโทโส ดำรัสสั่งให้เอาผู้นั้นเกี่ยวเบ็ดทิ้งลงไปกลางทะเล ให้ปลาฉนากฉลามกินเป็นอาหาร ประการหนึ่งปราศจากพระเบญจางคิกศีล มักพอพระทัยทำอนาจารเสพสังวาสกับภรรยาขุนนาง แต่นั้นมาพระนามปรากฎเรียกว่า พระเจ้าเสือ”
แต่ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงปฏิบัติตามพระราชกรณียกิจที่กษัตริย์สมัยโบราณพึงกระทำคือการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา เช่น การบูรณะปฏิสังขรณ์พระพุทธบาท สร้างวัดโพธิ์ประทับช้าง บูรณะพระมงคลบพิตรที่ถูกฟ้าผ่าและสร้างพระวิหารครอบ หรือการขุดคลองมหาชัยซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญ แม้ว่าจุดประสงค์อาจจะเพื่อให้พระองค์เสด็จประพาสได้สะดวกก็ตาม
รายละเอียดอ่านได้ที่ บันทึกว่าด้วยความโหดร้ายของ "พระเจ้าเสือ"
https://www.facebook.com/WipakHistory/posts/2620274734702647/
สมเด็จพระเพทราชา นอกจากเรื่องที่ยึดอำนาจสมเด็จพระนารายณ์แล้ว ไม่ปรากฏหลักฐานกล่าวถึงในแง่ลบเท่าไหร่นัก แต่ในรัชกาลของพระองค์ต้องเผชิญกับกบฏหลายครั้ง มาถึงปลายรัชกาลเกิดกบฏเมืองนครราชสีมาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๒๔๒ ถึง เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๒๔๓ หลักฐานร่วมสมัยของทั้งดัตช์และฝรั่งเศสระบุว่าพระอัธยาศัยของพระองค์เปลี่ยนไปในทางที่รุนแรงมากขึ้น เนื่องจากทรงระแวงว่าจะมีผู้ก่อกบฏชิงราชบัลลังก์ของพระองค์
จากบันทึกของ กิเดโยน ตันต์ (Gideon Tant) ผู้ดำรงตำแหน่ง Opperhoofd หรือหัวหน้าสถานีการค้าของ VOC ประจำกรุงศรีอยุทธยาในเวลานั้น ระบุว่ามี "ข่าวลือ" ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังการก่อกบฏครั้งนั้นคือกรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือไม่ก็พระอนุชาของสมเด็จพระนารายณ์ที่ยังมีพระชนม์อยู่ ตรงกับในหลักฐานจดหมายของบาทหลวงฝรั่งเศสคณะมิสซังต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ตันต์กลับสันนิษฐานว่าการกบฏครั้งนั้นเกิดขึ้นได้จากการสนับสนุนจากภายในราชสำนักเอง โดยมีจุดประสงค์เพื่อโค่นล้มสมเด็จพระเพทราชา และจะยกเจ้าพระขวัญ พระโอรสของพระเพทราชาที่ประสูติจากเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพ (ไม่ใช่กรมหลวงโยธาทิพตามพงศาวดารสมัยหลัง) เชื้อสายของสมเด็จพระนารายณ์เป็นพระเจ้าแผ่นดินแทน และก็เชื่อว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังของการก่อกบฏก็คือเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพ และขุนนางผู้ใหญ่ที่มีความใกล้ชิดกับพระนางคือ “พระคลัง” ซึ่งก็คือ เจ้าพระยาศรีธรรมราช (ปาน) หรือ “โกษาปาน”
ด้วยความหวาดระแวงจากภัยคุกคามและการก่อกบฎที่มีเกือบตลอดรัชกาลสมเด็จพระเพทราชาจึงปรากฏว่ามีการลงอาญาขุนนางอยู่บ่อยครั้ง ในเหหตุกบฏเมืองนครราชสีมาปรากฏการลงอาญาและถอดแม่ทัพนายกองจากบรรดาศักดิ์จำนวน ๔๘ คนด้วยเหตุที่เกรงว่าจะร่วมกันก่อกบฏ โดยหลักฐานฝรั่งเศสระบุว่ามีวิธีการที่โหดร้ายทารุณมาก
ฝ่ายเจ้าพระยาศรีธรรมราช (ปาน) ก็ถูกลงอาญาอย่างหนักอยู่บ่อยครั้งมาหลายปีก่อนหน้าเพราะไม่ทรงไว้วางพระทัย จนเป็นเหตุให้ถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๒๔๒ ตามหลักฐานดัตช์ และหลังจากนั้นก็ปรากฏว่าสมเด็จพระเพทราชาทรงปฏิบัติต่อเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพอย่างเลวร้ายมากขึ้น และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทรงทำร้ายพระนาง
นอกจากนี้ สมเด็จพระเพทราชาทรงแต่งตั้งขุนนางใหม่แทนขุนนางเก่าที่ถูกปลดจำนวนมาก ซึ่งล้วนแต่เป็นคนโปรดที่จงรักภักดีต่อพระองค์ ซึ่งน่าจะเป็นการลดอิทธิพลของกรมหลวงโยธาเทพในทางหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่แล้วอายุน้อยและขาดประสบการณ์และตันต์ได้รายงานว่าขุนนางกลุ่มใหม่นี้ยังข่มเหงราษฎร และทำให้การค้าต่างประเทศในช่วง พ.ศ. ๒๒๔๓ วุ่นวายพอสมควร
สมเด็จพระเพทราชาทรงหันมาไว้วางพระทัยขุนนางชาวจีนผู้หนึ่งซึ่งมีบรรดาศักดิ์เป็น "ออกญาสมบัติบาล" เจ้ากรมพระคลังในขวา ซึ่งมีความดีความชอบยึดหนังสือลับที่เมืองนครราชสีมาส่งมาถึงพระสงฆ์หลายรูปไปทูลเกล้าฯ ถวายเป็นความดีความชอบ ทำให้กลายเป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระเพทราชา มีบันทึกว่าออกญาสมบัติบาลเป็นเสนาบดีคนเดียวที่สมเด็จพระเพทราชาทรงไว้วางพระทัย ในระดับที่พระองค์ต้องพึ่งเขามากยิ่งกว่าที่สมเด็จพระนารายณ์ทรงเคยพึ่งพาฟอลคอนเสียอีก สันนิษฐานว่าเพราะในเวลานั้นทรงพระชราแล้วและทรงหวาดระแวงว่าจะมีผู้โค่นล้มพระองค์อยู่เสมอ
ตันต์วิจารณ์ว่า หลังกบฏเมืองนครราชสีมา สมเด็จพระเพทราชาซึ่งเดิมมีพระอัธยาศัยไปในทาง "เคร่งศาสนาอย่างยิ่ง" (สอดคล้องกับหลักฐานดัตช์ที่นิยมเรียกพระองค์ว่า Phra Trong Than 'พระทรงธรรม์' ) กลับกลายเป็น "ทรราช" ที่เป็นที่หวาดกลัวของทุกคน
ส่วนพระเจ้าเสือ ทั้งพงศาวดารของไทย หลักฐานร่วมสมัยของต่างประเทศทั้งฝรั่งเศสและดัตช์ในช่วงรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มาถึงพระเจ้าเสือจำนวนมาก ล้วนระบุตรงกันว่าทรงมีพระอัธยาศัยโหดร้าย ทรงลงพระราชอาญาข้าราชการและพระโอรสทั้งสองคือพระเจ้าท้ายสระและพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศบ่อยครั้ง และพฤติกรรมมักมากในกามคุณตั้งแต่ยังไม่ได้ครองราชย์ครับ
ยกตัวอย่างจากพระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) วิจารณ์ว่า
“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพอพระทัยเสวยน้ำจัณฑ์ แล้วเสพสังวาสด้วยดรุณีอิตถีสตรีเด็กอายุ ๑๑- ๑๒ ปี ถ้าสตรีใดเสืoกดิ้นโคลงไป ทรงพระโกรธ ลงพระราชอาชญาถองยอดอกตายกับที่ ถ้าสตรีใดไม่ดิ้นเสืoกโคลงนิ่งอยู่ ชอบพระอัชฌาสัย พระราชทานบำเหน็จรางวัล ประการหนึ่งถ้าเสด็จไปประพาสมัจฉาชาติฉนากฉลามในชลมารคทางทะเลเกาะสีชังเขาสามมุข แลประเทศที่ใด ย่อมเสวยน้ำจัณฑ์พลาง ถ้าหมู่พระสนมนิกรนางในแลมหาดเล็กชาวที่ ทำให้เรือพระที่นั่งโคลงไหวไป มิได้มีพระวิจารณะ ปราศจากพระกรุณาญาณ ลุอำนาจแก่พระโทโส ดำรัสสั่งให้เอาผู้นั้นเกี่ยวเบ็ดทิ้งลงไปกลางทะเล ให้ปลาฉนากฉลามกินเป็นอาหาร ประการหนึ่งปราศจากพระเบญจางคิกศีล มักพอพระทัยทำอนาจารเสพสังวาสกับภรรยาขุนนาง แต่นั้นมาพระนามปรากฎเรียกว่า พระเจ้าเสือ”
แต่ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงปฏิบัติตามพระราชกรณียกิจที่กษัตริย์สมัยโบราณพึงกระทำคือการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา เช่น การบูรณะปฏิสังขรณ์พระพุทธบาท สร้างวัดโพธิ์ประทับช้าง บูรณะพระมงคลบพิตรที่ถูกฟ้าผ่าและสร้างพระวิหารครอบ หรือการขุดคลองมหาชัยซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญ แม้ว่าจุดประสงค์อาจจะเพื่อให้พระองค์เสด็จประพาสได้สะดวกก็ตาม
รายละเอียดอ่านได้ที่ บันทึกว่าด้วยความโหดร้ายของ "พระเจ้าเสือ"
https://www.facebook.com/WipakHistory/posts/2620274734702647/
แสดงความคิดเห็น
พระเพทราชา กับพระเจ้าเสือ เอาจริงเป็นกษัตริย์ที่ ok รึเปล่า