ลิเวอร์พูลยังคงทำสถิติอันน่ากลัว รั้งสถิติปลดโค้ชสูงสุดในอังกฤษ

วันอาทิตย์ที่ 19 นี้  ไม่รู้สถิตินี้จะเพิ่มขึ้นอีกหรือเปล่า?
ผมมีบทความมาประกอบการตัดสินใจของบอร์ดว่า
ถ้าแพ้หงส์นัดนี้ก็อย่าเพิ่งปลดเลยนะครับ

"รากเหง้าที่ต้องถอน"

เครดิต : เพจกระทรวงฟุตบอล  
.
.
Ole OUT!!!
แฟนผีจำนวนไม่น้อยคงอยากตะโกนไล่ โซลชาร์ ไปให้พ้นๆ สักที สถานการณ์มันกลับมาย่ำแย่อีกแล้ว
จะเอาใครมาแทนดีล่ะ? พอช, อัลเลกรี หรือใครดี ?
คำถามคือ เปลี่ยนกุนซือแล้วสิ่งต่างๆ จะดีขึ้นจริงหรือ? สิ่งหนึ่งที่ต้องต้องนึกก่อนก็คือ แมนฯ ยูไนเต็ด อยากให้ทีมกระเตื้องขึ้นแล้วกลับมาฟุบอีก หรืออยากให้ทีมดีในระยะยาว
เป้าหมายของแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ใช่แค่จบอันดับ 4 หรือลุ้นบอลถ้วยนัดต่อนัด มาตรฐานที่พวกเขาเคยมีคือต้องเป็นแบบ แมนฯ ซิตี้ และลิเวอร์พูล ทำอยู่ในเวลานี้ นั่นคือเราลงเล่นรายการไหนต้องได้ลุ้นแชมป์ทุกรายการ ลงสนามทุกนัดเป้าหมายคือชนะ
การเปลี่ยนกุนซือ และเสริมนักเตะใหม่ ช่วยได้ แต่ในระยะยาวคงไม่ใช่ หาก "เบื้องหลัง" ยังเป็นแบบนี้
เมื่อเรามองไปที่โครงสร้างการบริหารของปีศาจแดง ไม่มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดการที่มีตำแหน่งเฉพาะเลย มีแค่ เอ็ด วูดเวิร์ด ที่ดูแลทุกอย่าง
ส่วนสโมสรอื่นๆ ที่พัฒนาขึ้นมาตอนนี้ มีตำแหน่งงานแบ่งแยกชัดเจน แมนฯ ซิตี้, ลิเวอร์พูล หรือแม้แต่ เลสเตอร์ ซิตี้
พวกเขามี จอห์น รัดกิ้น คนนี้รู้ดีเรื่องเลสเตอร์ เขาให้คุณค่ากับระบบเยาวชน เพราะตัวเองเคยเป็นเด็กฝึกเลสเตอร์มาก่อน จากนั้นมาเป็นโค้ชทีมเยาวชน ก่อนก้าวมาเป็นผู้อำนวยการฟุตบอลในปัจจุบัน (เคยนั่งตำแหน่ง ผอ ศูนย์เยาวชนควบกันด้วย)
ขณะที่หน้างาน ร็อดเจอร์ส หนีบ ลี คองเกอร์ตัน ที่เคยทำงานด้วยกันตั้งแต่ทที่ เชลซี และเซลติก เข้ามาเป็นเหมือนหัวหน้าแมวมองอีกที
ยิ่งไปกว่านั้น ในทีมงานภาคสนามของ ร็อดเจอร์ส มีคนดูแลเรื่องฟิตเนส, วิเคราะห์ศักยภาพผู้เล่น, ทีมแพทย์, นักกายภาพ, นักนวด, นักโภชนาการ ทั้งหมด 20 กว่าคน ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มแน่นไฟแรงทั้งสิ้น ซึ่งหลายคนก็ทำงานมาตั้งแต่ยุค รานิเอรี่
ในตำแหน่งมือขวา ก็มี คริส เดวิส คนเดียว ที่เหลือเป็นโค้ชคอยดูแลการซ้อม
นี่ก็คล้ายๆ กับลิเวอร์พูล ลองไปเปิดในเว็บไซต์สโมสรดูสิ จะเจอทีมงานเต็มไปหมด แต่ตำแหน่งไม่ได้ทับซ้อน
ผู้ช่วยของคล็อปป์มีแค่ ปีเตอร์ คราวีทซ์ กับ เปไปน์ ไลน์เดอร์ส ที่เหลือมีตำแหน่งแตกต่างกันไป ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญกับฟุตบอลยุคใหม่ทั้งสิ้น ผอ.กีฬาเขาก็มี ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์
การบริหารทีมฟุตบอลยุคนี้ มีข้อมูลป้อนเข้ามาเยอะ ต้องมีทีมงานวิเคราะห์และกรอง ที่เก่ง ฉับไว ทั้งรู้เขา คือข้อมูลคู่แข่ง และรู้เรา คือข่อมูลนักเตะตัวเอง
แมนฯ ยูไนเต็ด มีเจ้าหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลไม่กี่คน มีนักกายภาพกับนักวิทยาศาสตร์การกีฬา 3-4 คน กับ ไมเคิ่ล เคล็กก์ ที่เข้ามาดูแลเรื่องฟิตเนส
แต่ลองไปดูตำแหน่งมือขวาสิ ทั้ง คาร์ริค, คีแรน แม็คเคนน่า, ไมค์ ฟีแลน, มาร์ค เดมพ์ซี่ย์, มาร์ติน เพิร์ท เต็มไปหมด หน้าที่ชัดเจนคืออะไรแต่ละคน?
คล็อปป์ มาจากเยอรมัน ที่ทำงานกันเป็นระบบและชัดเจนอยู่แล้วตามนิสัยคนด๊อยท์ช ไปลองไล่ดูสโมสรในเยอรมันได้เลย แต่ละหน้าที่มีผู้เชี่ยวชาญทั้งสิ้น ไม่ใช่เอาคนเดียวทำงานหลายอย่างมั่วซั่ว
ตั้งแต่ คล็อปป์ เข้ามา เบื้องหลังของลิเวอร์พูลค่อยๆ ปรับให่เข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น วันก่อนก็มีนักโภชนาการสาวสวยเข้ามาอีกคน นี่คือรากฐานที่แข็งแกร่งของเบื้องหน้าคือนักเตะ
แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่มีทางจะกลับไปกินยาวๆ แบบเดิมได้เลยหากคิดเปลี่ยนแค่กุนซือกับทุ่มซื้อนักเตะ เพราะรากฐานมันอ่อนปวกเปียก
หมดยุคผู้จัดการทีมคนเดียวเอาทุกอย่างอยู่หมดอย่างยุค เซอร์ อเล็กซ์ แล้ว ฟุตบอลมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว
เอ็ด วูดเวิร์ด มันคงไม่เสนอตัวเองให้ออกจากตำแหน่งรับผิดชอบแล้วบอก เกลเซอร์ ว่าตั้ง ผอ กีฬา เถอะ ตั้งทีมงานมาช่วยวิเคราะห์สภาพนักเตะเถอะ หรอก
ส่วนเกลเซอร์ยิ่งแล้วใหญ่ มันนอนตีพุง เกาคาง ลูบเครา ตราบใดที่ยังมีตัวเลขในบัญชีไหลเข้า จะเหนื่อยไปทำไม
การแพ้แมนฯ ซิตี้ เมื่อคืนมันจึงไม่ใช่แค่เรื่องที่แพ้กันแค่หน้างานอย่างกุนซือกับนักเตะอย่างเดียว เพราะถ้าล้วงลงไปลึกๆ ตอนนี้มันสู้กันไม่ได้ทุกกระบวนท่าแล้ว เหลืออย่างเดียวคือ ประวัติศาสตร์กับศักดิ์ศรี ที่เอาไว้หากินแค่นั้น
สมัยก่อน แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้แมนฯ ซิตี้ คืออุบัติเหตุ แต่ตอนนี้ตรงข้าม ถ้า แมนฯ ซิตี้ แพ้แมนฯ ยูไนเต็ด สิคืออุบัติเหตุ
จึงอย่าแปลกใจที่ เป๊ป จะแก้ลำ โซลชาร์ ได้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากแบบนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่