ทำความเข้าใจกันก่อน
บทความนี้ผมเขียนไว้เมื่อปี 2013 หลังได้บวชพระเป็นเวลา 1 เดือน เลยลองทำกรรมฐานขบคิดพุทธธรรมไปพร้อมทำความเข้าใจตัวหนังสือ
เป็นการตีความพุทธธรรมตามหลักวิทยาศาสตร์ เพราะผมจบฟิสิกส์ หลังได้ลองนั่งกรรมฐานจนจับกระบวนการทางจิตได้มากพอ
...
ถึงเป็นบทความที่ยังเขียนไม่สมบูรณ์ แต่ผมอยากเอามาลงให้อ่านกันไปพลางๆดีกว่าดองเอาไว้ในเครื่อง
อ่านแล้ว คิดเห็นอย่างไร อยากถามอะไรสามารถคอมเม้นกันได้ แต่ผมอาจไม่ค่อยได้เข้ามาตอบ
...
ลองรับฟังกันดูนะครับ
..
...
กระบวนการแห่งชีวิต : สัจธรรมแห่งชีวิตโดยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า (สิทธัตถะ โคตมะ)
Processes of Life : Axiom of life by Buddha (Siddhattha Gotama)
สิทธิกร นวลรอด : ค้นคว้า ตีความ และเรียบเรียง
Sittikorn Nualrod : Researched and Written
Incomplete Thai Version
..
คำนำ
บทความฉบับนี้เกิดขึ้นเนื่องจากความสงสัยในหลักธรรมของศาสนาพุทธที่ผ่านการถ่ายทอดและตีความมาอย่างยาวนาน จนผู้เขียนเกิดความสงสัยในหลักธรรมที่ถูกเผยแพร่ในปัจจุบันว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือ อาจด้วยการผสมปนเปกันระหว่างความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ ฮินดู หรือความเชื่อในภูติ ผี เทวดาที่ยังสืบทอดมาของคนไทย จึงทำให้พุทธศาสนาถูกดูดกลืนหรือได้ดูดกลืนความเชื่อมากมายเหล่านั้นไว้ด้วยกัน และด้วยความเข้าใจที่ไม่ถ่องแท้ของนักบวชหลายๆท่านที่สืบทอดกันมาและสั่งสอนแก่ศิษย์อย่างหละหลวม บวกกับการตีความพระธรรมที่สลับซับซ้อนและเข้าใจได้ยากมาเป็นเวลาเนิ่นนานกว่าพันปีจึงมีความเป็นไปได้สูงมากที่หลักธรรมแท้จริงที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้จะถูกบิดเบือน หรือบางบทธรรมที่สำคัญอาจถูกมองข้ามโดยผู้ไม่ทราบความสำคัญ ก่อนอื่นโปรดเข้าใจว่าด้านหนึ่งของพระธรรมเช่นหลักธรรมปฏิบัติของบุคคลทั้งหลาย เช่น ศีลปฏิบัติทั้งหลาย หลักธรรมปฏิบัติเหล่านี้ไม่ได้รวมอยู่ในความสงสัยในเรื่องการบิดเบือนดังที่ข้าพเจ้ากล่าว แต่สิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าสงสัยคือความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดในระดับความต่อเนื่องชนิดข้ามช่วงชีวิต พูดง่ายๆคือการตายแล้วไปเกิดใหม่ หรือความเชื่อเรื่อง ภูติ ผี นรก สวรรค์ชั้นต่างๆเหล่านี้ ล้วนทำให้เกิดความสงสัยทั้งสิ้น และข้าพเจ้าเชื่อว่ายังมีนักวิชาการมากมายหลายท่านที่เคลือบแคลงใจในส่วนต่างๆเหล่านี้ แต่ก็ไม่ได้ศึกษาค้นคว้าอย่างจริงๆจังๆ อาจเนื่องด้วยไม่มีเวลาหรือเนื้อหาดูแล้วเข้าถึงยาก
...
อันที่จริงเป็นที่ทราบกันดีว่า องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมิได้ทำการบันทึกพระธรรมคำสอนไว้เป็นลักษณ์อีกษรด้วยตัวเอง แต่บทธรรมทั้งหลายถูกบันทึกผ่านเหล่าสาวกในรูปแบบของการท่องจำผ่านการเรียบเรียงและคัดกรองโดยสงฆ์หมู่มากหรือเรียกว่าพิธีการสังคายนา หมวดหมู่ของพระธรรมเหล่านั้นเรียกกันว่า พระไตรปิฎก ดังนั้นจึงเป็นที่น่าเชื่อถือว่า การศึกษาพระธรรมผ่านพระไตรปิฎกโดยตรงนั้นจะเป็นการศึกษาโดยตรงที่สุด ผ่านการตีความของบุคคลจำนวนน้อยที่สุดและจะทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนของเนื้อหาน้อยที่สุดเช่นกัน
...
ในโอกาสที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสบรรพชาเพื่อตอบแทนในหลวงและบิดา มารดาในวันที่ 5 ธันวาคม 2555 นั้น ข้าพเจ้าจึงตั้งจิตมุ่งมั่นที่จะศึกษาหลักธรรมดังกล่าวโดยตรงจากพระไตรปิฎกเหล่านั้น ซึ่งหากเป็นดังว่า ภายในเวลา 15 วันที่ข้าพเจ้าได้บรรพชา แม้จะขยันขันแข็งแค่ไหนก็คงไม่อาจศึกษาพระธรรมทั้งหมดเหล่านั้นได้ และเผลอๆอาจไม่ได้ความอันใดเลย เนื่องจากคัมภีร์พระไตรปิฎกเหล่านั้นมีจำนวนมากมายนัก อาจต้องใช้เวลาเป็นปีๆถึงจะอ่านได้หมด โชคดีของข้าพเจ้าที่ได้สนทนาธรรมกับพระครูสิริธรรมาภิรัตน์ ซึ่งท่านเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุที่ข้าพเจ้าบรรพชาอยู่ ทำให้ได้แนวทางที่ดีในการศึกษา แม้ท่านจะต้องไปต่างประเทศในตอนที่ข้าพเจ้าบรรพชาจึงไม่ได้มีเวลาสนทนากันนานนัก แต่ท่านก็ได้ทิ้งหนังสือเล่มสำคัญไว้ให้ข้าพเจ้าได้ศึกษาต่อ หนังสือเล่มนั้นชื่อพุทธธรรม เขียนโดยพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) หรือพระพรหมคุณาภรณ์ในปัจจุบัน หนังสือเล่มนี้เองที่เปลี่ยนความคิดของข้าพเจ้าไปโดยปริยาย แทบจะเรียกได้ว่าความเข้าใจในพุทธธรรมของพระพุทธองค์ที่ข้าพเจ้ามีนั้นไม่มีค่าอันใดเลยเมื่อเทียบกับหลักธรรมที่บันทึกในหนังสือเล่มนี้ เรื่องราวที่สำคัญในหนังสือเล่มนี้โดยเฉพาะครึ่งแรกของหนังสือนั้นแม้เคยได้เห็นมาบ้างแต่เป็นเพียงหัวข้อไม่ได้รู้ความหมายที่แท้จริงเลย และเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงน้อยมากในวงการศาสนา(อาจเพราะเข้าใจยาก) ข้าพเจ้าถือเป็นความโชคดีอย่างยิ่งที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้เพราะข้อความที่ถูกเรียบเรียงในหนังสือเล่มนี้เปรียบเหมือนเพชรเม็ดโตที่ถูกสกัดออกมาจากพระไตรปิฎกจำนวนมากให้อยู่ในหนังสือเล่มเดียว รวมถึงรูปแบบการเขียนแบบนักวิชาการทำให้ข้าพเจ้าชื่นชมและชื่นชอบหนังสือเล่มนี้เป็นอย่างยิ่ง และนั่นนำข้าพเจ้าไปสู่ “สัจธรรม” มากมายที่ถูกมองข้าม แต่หากได้ศึกษาแล้ว ท่านจะเห็นถึงความยิ่งใหญ่และความเป็นอัจฉริยะของผู้ค้นพบเรื่องราวเหล่านั้น นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาและเพียรปฏิบัติของข้าพเจ้า จนกลายมาเป็นบทความชิ้นนี้ แม้ไม่ได้พูดถึงทุกเรื่องที่ถูกเขียนไว้แต่ข้าพเจ้าตั้งใจยกเอาหัวข้อที่น่าสนใจที่สุดมาเรียบเรียงไว้ ณ ที่นี้
...
กระบวนการแห่งชีวิตที่น่าฉงนของเรา ความคิดเกิดขึ้นได้อย่างไร จิตและวิญญาณที่แท้จริงคือสิ่งใด ชีวิตคืออะไร สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์มากมายเฝ้าศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ทั้งในทางกายภาพและจิตวิทยา แม้ในปัจจุบันเราก็ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกรัก โลภ โกรธ หลง การทำงานของสมอง ความคิด จิตใจเกิดขึ้นได้อย่างไร มีลำดับการเกิดเช่นไร มันเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนมากแม้จะเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวที่สุดของเรา อันที่จริงสิ่งที่น่าฉงนที่สุดในเอกภพใบนี้ได้ถูกค้นพบและอธิบายไว้อย่างดีแล้วเมื่อเกือบ 2600 ปีที่แล้ว ทฤษฎีพร้อมวิธีการปฏิบัติที่สมบูรณ์แบบเป็นอย่างยิ่ง พร้อมทั้งวิธีการทดลองให้เห็นด้วยตัวเอง ทั้งหมดทั้งสิ้นได้ถูกแอบแฝงไว้ภายใต้หน้ากากของความเชื่อและเรื่องราวตกแต่งมากมายที่ปิดบังโฉมหน้าที่แท้จริงของธรรมะที่เป็นตรรกะศาสตร์แรกสุดของโลกใบนี้ สิ่งที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าคือทุกเรื่องที่กล่าวนี้เกิดขึ้นโดยคนๆเดียวภายใต้สภาพแวดล้อมเมื่อกว่า 2600 ปีมาแล้ว สมัยที่ยังไม่มีใครรู้จักคำว่า เหตุ และผล ก่อนหน้านักปราชญ์กรีกผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ให้กำเนิดอารยธรรมตะวันตกอย่างพลาโตนับพันปี คนผู้นี้เรานับถือและยกย่องเค้าในฐานะของศาสดาแห่งศาสนาพุทธ แต่หากท่านได้ศึกษาเช่นข้าพเจ้าแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะจะไม่ใช้เพียงศาสดาของศาสนาเท่านั้น ตอนนี้ข้าพเจ้าถือท่านเป็นศาสดาของวิทยาศาสตร์ด้วย อัจฉริยะบุคคลผู้เกิดก่อนยุคแห่งวิทยาการนับพันปี มีเรื่องราวมากมายนักที่พระพุทธองค์ได้แสดงไว้อย่างน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย ท่านไม่ควรให้ความเชื่องมงายและคำสั่งสอนแบบผิดๆมาบดบังธรรมมะอันน่าอัศจรรย์สำหรับนักวิทยาศาสตร์เช่นเรา ดังเช่นเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าจะยกมาเรียบเรียงให้ฟัง เรื่องที่ข้าพเจ้าถือวิสาสะยกให้เป็น สัจพจน์ หรือ Axiom ชิ้นแรกของโลกใบนี้ โดยนักวิทยาศาสตร์(อาจเป็นสาขาจิตวิทยา)คนแรกของโลกที่ชื่อ สิทธัตถะ โคตมะ
...
กระบวนการแห่งชีวิตเป็นเรื่องราวที่อยู่ภายใต้หัวข้อ ขันธ์ 5 ในทางธรรม และวิธีการทดลองเพื่อให้เห็นจริงด้วยตัวเองเรียกว่าการวิปัสสนา ข้าพเจ้าได้เรียบเรียงผลจากการศึกษาและปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างหนักบนพื้นฐานของความเป็นนักวิทยาศาสตร์อย่างเต็มรูปแบบ ดังนั้นบทความนี้จึงไม่ต้องการชี้นำความคิดของผู้ใด หากท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์โดยสายเลือดเช่นข้าพเจ้า โปรดใช้วิจารณญาณอันยิ่งยวดในการศึกษาและทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง
“กฎแห่งแรงโน้มถ่วงท่านเห็นได้ด้วยตาฉันใด กฎแห่งชีวิตจิตใจท่านพึงเห็นได้ด้วยสติฉันนั้น”
และเมื่อท่านได้ลงมือปฏิบัติอย่างสมบูรณ์แล้ว ท่านจึงจะเข้าใจความหมายของคำว่า
“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา”
...
ขันธ์ 5 กฎแห่งชีวิต
หากว่ากันด้วยเรื่องทฤษฎีเกี่ยวกับกายภาพที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่างๆในโลกและเอกภพใบนี้ ทฤษฎีมากมายก็ผุดขึ้นมาในหัวของข้าพเจ้า แน่นอนเพราะข้าพเจ้าก็จบฟิสิกส์มา ทำให้ได้พบเห็นได้ทดลองทดสอบเพื่อยืนยันความถูกต้องของทฤษฎีมากมายพวกนี้มาตลอดระยะเวลา 4 ปี ในทางฟิสิกส์นั้นเราแยกทฤษฎีต่างๆเป็น 3 ระดับ ตั้งแต่สมมุติฐานที่ใช้ทำนายปรากฏการณ์ต่างๆที่ยังพิสูจน์ไม่ได้หรือรอการพิสูจน์ เช่นสมมุติฐานเกี่ยวกับการกำเนิดของเอกภพ การเกิดขึ้นและลักษณะของหลุมดำ เป็นต้น หรือจะเป็นทฤษฎีระดับหนึ่งที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถใช้ทำนายสถานการณ์เฉพาะด้านนั้นๆได้ หรือเป็นกฎที่มีความน่าเชื่อถือสูงสุดที่ถูกพิสูจน์มาแล้วอย่างยาวนานและแสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นจริงในทุกสภาพแวดล้อม ทุกยุค ทุกสมัย แม้จะมีทฤษฎีใหม่ๆเกิดขึ้นมาก็จะยังอยู่ภายใต้กฎพื้นฐานเหล่านี้หรือจะเรียกว่าเป็น สัจพจน์ (Axiom) เช่น กฎอนุรักษ์พลังงาน กฎการเคลื่อนที่ เป็นต้น อันที่จริงกฎเหล่านี้มีอยู่ก่อนแล้วในธรรมชาติ(คำนี้คุ้นๆนะ) มนุษย์เป็นเพียงผู้สังเกตและเรียบเรียงให้อยู่ในรูปแบบของความสัมพันธ์ขององค์ประกอบที่ละเอียดกว่าในรูปของสัญลักษณ์(สูตร สมการ)ต่างๆ เพื่อให้เข้าใจและถ่ายทอดได้ง่ายในหมู่มนุษย์ด้วยกัน แต่การจะสังเกตและเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ก็ไม่ใช้เรื่องง่ายเลย(เข้าขั้นยากที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้) เพราะปรากฏการณ์บางอย่างมันอยู่กับเราตลอด กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันจนทำให้เราเห็นเป็นเรื่องธรรมดา มองข้ามและไม่ทันได้สังเกตเห็น เช่นการที่วัตถุรอบตัวเราวางอยู่ได้บนพื้นโลกหรือหล่นลงมา อันเป็นที่มาของกฎแรงดึงดูดที่ ไอแซค นิวตัน ได้ค้นพบในราว ค.ศ.1700 สังเกตได้ว่าก่อนหน้านั้นนับพันๆปี แม้จะมีมนุษย์มากมายพบเจอกับปรากฏการณ์นี้ก็ไม่เห็นมีใครจะขี้สงสัยมากพอจะสังเกตได้เลย อันที่จริงมันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนสิ่งมีชีวิตชนิดแรกจะอุบัติขึ้นบนโลกใบนี้ด้วยซ้ำไป แต่ถ้าหากลองคิดดูว่าปรากฏการณ์ที่ใกล้ตัวเราที่สุดยิ่งกว่าแรงดึงดูดคืออะไร ท่านอาจไม่ทันสังเกต ก็ตัวท่านเองยังไง ปรากฏการณ์อะไรกันที่ทำให้เราเป็นเรา ขอนไม้รู้หรือว่าตัวเองเป็นขอนไม้ ไม่เลย แต่เหตุใดท่านจึงรู้ตัวว่าตัวเองเป็นมนุษย์กัน อะไรทำให้ท่านรู้สึก ทำให้ท่านมีความคิด ทำให้ท่านรู้ว่านี่คือสิ่งต่างๆรอบตัว นี่คือสิ่งต่างๆที่เป็นตัวท่าน อย่าตอบว่าสมองเลย เพราะเราต่างรู้กันดีว่าองค์ประกอบทางกายภาพของสมองนั้นก็คือธาตุต่างๆที่ไม่มีชีวิต แล้วชีวิตมันคืออะไรกัน ความคิดจิตใจเกิดได้อย่างไร ท่านจะไม่มีวันเข้าใจเรื่องพวกนี้เช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าเคยเป็นมาก่อน แน่นอนว่าข้าพเจ้าเคยสนใจศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับความคิด ชีวิต จิตใจพวกนี้มาก่อนแล้ว เพราะข้าพเจ้าสนใจเรื่องปัญญาประดิษฐ์ของหุ่นยนต์มานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบที่น่าพอใจเลย ข้าพเจ้าเองเป็นคนชอบวิธีการเปรียบเทียบการทำงานของสมองกับส่วนประกอบต่างๆของคอมพิวเตอร์ และมีความฝันที่จะได้เห็นคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้เช่นเดียวกับสมองมนุษย์ มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ด้วยตนเอง แต่ไม่ว่าเราจะพัฒนาคอมพิวเตอร์ไปไกลแค่ไหนเราก็ไม่มีวันสร้างให้มันเป็นสมองที่มีชีวิตจิตใจเช่นมนุษย์ได้เลย จนกว่าเราจะเข้าใจจริงๆว่า “สมองและจิตใจของเราแท้จริงแล้วทำงานอย่างไร ?” แน่นอนว่าในตอนนั้นข้าพเจ้าเองก็ได้พยายามศึกษาค้นคว้าอยู่พอสมควรแต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก ครั้งหนึ่งที่พบเจอทฤษฎีที่พอจะใกล้เคียงอยู่บ้านก็เมื่อตอนได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาครู ซึ่งมีทฤษฎีการเรียนการสอนของนักจิตวิทยาผสมปนเปอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ความอะไรมากนัก(จริงๆก็อ่านผ่านๆ) จนเมื่อได้มาศึกษาในทางธรรมอย่างจริงจังในช่วงที่อุปสมบทอยู่ และได้อ่านหนังสือ พุทธธรรมของท่าน ป.อ.ปยุตโต ก็ได้พบกับเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นและดีใจเป็นยิ่งนัก(ไม่คิดว่าจะได้เจอของดีแบบนี้จากหนังสือธรรมะเลยจริงๆ) การเขียนของท่านพระพรหมคุณาภรณ์นั้นเป็นไปในเชิงวิชาการและท่านก็ฉลาดในการวางเนื้อหาเป็นอย่างยิ่ง เพียงได้อ่านหน้าแรกก็คิดขึ้นมาในใจว่า ท่านต้องคิดไว้แล้วล
กระบวนการแห่งชีวิต (บทความที่ตีความจากผลการปฎิบัติธรรมตามหนังสือ พุทธธรรม โดยท่าน ปอ.ปยตโต)
บทความนี้ผมเขียนไว้เมื่อปี 2013 หลังได้บวชพระเป็นเวลา 1 เดือน เลยลองทำกรรมฐานขบคิดพุทธธรรมไปพร้อมทำความเข้าใจตัวหนังสือ
เป็นการตีความพุทธธรรมตามหลักวิทยาศาสตร์ เพราะผมจบฟิสิกส์ หลังได้ลองนั่งกรรมฐานจนจับกระบวนการทางจิตได้มากพอ
...
ถึงเป็นบทความที่ยังเขียนไม่สมบูรณ์ แต่ผมอยากเอามาลงให้อ่านกันไปพลางๆดีกว่าดองเอาไว้ในเครื่อง
อ่านแล้ว คิดเห็นอย่างไร อยากถามอะไรสามารถคอมเม้นกันได้ แต่ผมอาจไม่ค่อยได้เข้ามาตอบ
...
ลองรับฟังกันดูนะครับ
..
...
กระบวนการแห่งชีวิต : สัจธรรมแห่งชีวิตโดยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า (สิทธัตถะ โคตมะ)
Processes of Life : Axiom of life by Buddha (Siddhattha Gotama)
สิทธิกร นวลรอด : ค้นคว้า ตีความ และเรียบเรียง
Sittikorn Nualrod : Researched and Written
Incomplete Thai Version
..
คำนำ
บทความฉบับนี้เกิดขึ้นเนื่องจากความสงสัยในหลักธรรมของศาสนาพุทธที่ผ่านการถ่ายทอดและตีความมาอย่างยาวนาน จนผู้เขียนเกิดความสงสัยในหลักธรรมที่ถูกเผยแพร่ในปัจจุบันว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือ อาจด้วยการผสมปนเปกันระหว่างความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ ฮินดู หรือความเชื่อในภูติ ผี เทวดาที่ยังสืบทอดมาของคนไทย จึงทำให้พุทธศาสนาถูกดูดกลืนหรือได้ดูดกลืนความเชื่อมากมายเหล่านั้นไว้ด้วยกัน และด้วยความเข้าใจที่ไม่ถ่องแท้ของนักบวชหลายๆท่านที่สืบทอดกันมาและสั่งสอนแก่ศิษย์อย่างหละหลวม บวกกับการตีความพระธรรมที่สลับซับซ้อนและเข้าใจได้ยากมาเป็นเวลาเนิ่นนานกว่าพันปีจึงมีความเป็นไปได้สูงมากที่หลักธรรมแท้จริงที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้จะถูกบิดเบือน หรือบางบทธรรมที่สำคัญอาจถูกมองข้ามโดยผู้ไม่ทราบความสำคัญ ก่อนอื่นโปรดเข้าใจว่าด้านหนึ่งของพระธรรมเช่นหลักธรรมปฏิบัติของบุคคลทั้งหลาย เช่น ศีลปฏิบัติทั้งหลาย หลักธรรมปฏิบัติเหล่านี้ไม่ได้รวมอยู่ในความสงสัยในเรื่องการบิดเบือนดังที่ข้าพเจ้ากล่าว แต่สิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าสงสัยคือความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดในระดับความต่อเนื่องชนิดข้ามช่วงชีวิต พูดง่ายๆคือการตายแล้วไปเกิดใหม่ หรือความเชื่อเรื่อง ภูติ ผี นรก สวรรค์ชั้นต่างๆเหล่านี้ ล้วนทำให้เกิดความสงสัยทั้งสิ้น และข้าพเจ้าเชื่อว่ายังมีนักวิชาการมากมายหลายท่านที่เคลือบแคลงใจในส่วนต่างๆเหล่านี้ แต่ก็ไม่ได้ศึกษาค้นคว้าอย่างจริงๆจังๆ อาจเนื่องด้วยไม่มีเวลาหรือเนื้อหาดูแล้วเข้าถึงยาก
...
อันที่จริงเป็นที่ทราบกันดีว่า องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมิได้ทำการบันทึกพระธรรมคำสอนไว้เป็นลักษณ์อีกษรด้วยตัวเอง แต่บทธรรมทั้งหลายถูกบันทึกผ่านเหล่าสาวกในรูปแบบของการท่องจำผ่านการเรียบเรียงและคัดกรองโดยสงฆ์หมู่มากหรือเรียกว่าพิธีการสังคายนา หมวดหมู่ของพระธรรมเหล่านั้นเรียกกันว่า พระไตรปิฎก ดังนั้นจึงเป็นที่น่าเชื่อถือว่า การศึกษาพระธรรมผ่านพระไตรปิฎกโดยตรงนั้นจะเป็นการศึกษาโดยตรงที่สุด ผ่านการตีความของบุคคลจำนวนน้อยที่สุดและจะทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนของเนื้อหาน้อยที่สุดเช่นกัน
...
ในโอกาสที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสบรรพชาเพื่อตอบแทนในหลวงและบิดา มารดาในวันที่ 5 ธันวาคม 2555 นั้น ข้าพเจ้าจึงตั้งจิตมุ่งมั่นที่จะศึกษาหลักธรรมดังกล่าวโดยตรงจากพระไตรปิฎกเหล่านั้น ซึ่งหากเป็นดังว่า ภายในเวลา 15 วันที่ข้าพเจ้าได้บรรพชา แม้จะขยันขันแข็งแค่ไหนก็คงไม่อาจศึกษาพระธรรมทั้งหมดเหล่านั้นได้ และเผลอๆอาจไม่ได้ความอันใดเลย เนื่องจากคัมภีร์พระไตรปิฎกเหล่านั้นมีจำนวนมากมายนัก อาจต้องใช้เวลาเป็นปีๆถึงจะอ่านได้หมด โชคดีของข้าพเจ้าที่ได้สนทนาธรรมกับพระครูสิริธรรมาภิรัตน์ ซึ่งท่านเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุที่ข้าพเจ้าบรรพชาอยู่ ทำให้ได้แนวทางที่ดีในการศึกษา แม้ท่านจะต้องไปต่างประเทศในตอนที่ข้าพเจ้าบรรพชาจึงไม่ได้มีเวลาสนทนากันนานนัก แต่ท่านก็ได้ทิ้งหนังสือเล่มสำคัญไว้ให้ข้าพเจ้าได้ศึกษาต่อ หนังสือเล่มนั้นชื่อพุทธธรรม เขียนโดยพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) หรือพระพรหมคุณาภรณ์ในปัจจุบัน หนังสือเล่มนี้เองที่เปลี่ยนความคิดของข้าพเจ้าไปโดยปริยาย แทบจะเรียกได้ว่าความเข้าใจในพุทธธรรมของพระพุทธองค์ที่ข้าพเจ้ามีนั้นไม่มีค่าอันใดเลยเมื่อเทียบกับหลักธรรมที่บันทึกในหนังสือเล่มนี้ เรื่องราวที่สำคัญในหนังสือเล่มนี้โดยเฉพาะครึ่งแรกของหนังสือนั้นแม้เคยได้เห็นมาบ้างแต่เป็นเพียงหัวข้อไม่ได้รู้ความหมายที่แท้จริงเลย และเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงน้อยมากในวงการศาสนา(อาจเพราะเข้าใจยาก) ข้าพเจ้าถือเป็นความโชคดีอย่างยิ่งที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้เพราะข้อความที่ถูกเรียบเรียงในหนังสือเล่มนี้เปรียบเหมือนเพชรเม็ดโตที่ถูกสกัดออกมาจากพระไตรปิฎกจำนวนมากให้อยู่ในหนังสือเล่มเดียว รวมถึงรูปแบบการเขียนแบบนักวิชาการทำให้ข้าพเจ้าชื่นชมและชื่นชอบหนังสือเล่มนี้เป็นอย่างยิ่ง และนั่นนำข้าพเจ้าไปสู่ “สัจธรรม” มากมายที่ถูกมองข้าม แต่หากได้ศึกษาแล้ว ท่านจะเห็นถึงความยิ่งใหญ่และความเป็นอัจฉริยะของผู้ค้นพบเรื่องราวเหล่านั้น นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาและเพียรปฏิบัติของข้าพเจ้า จนกลายมาเป็นบทความชิ้นนี้ แม้ไม่ได้พูดถึงทุกเรื่องที่ถูกเขียนไว้แต่ข้าพเจ้าตั้งใจยกเอาหัวข้อที่น่าสนใจที่สุดมาเรียบเรียงไว้ ณ ที่นี้
...
กระบวนการแห่งชีวิตที่น่าฉงนของเรา ความคิดเกิดขึ้นได้อย่างไร จิตและวิญญาณที่แท้จริงคือสิ่งใด ชีวิตคืออะไร สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์มากมายเฝ้าศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ทั้งในทางกายภาพและจิตวิทยา แม้ในปัจจุบันเราก็ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกรัก โลภ โกรธ หลง การทำงานของสมอง ความคิด จิตใจเกิดขึ้นได้อย่างไร มีลำดับการเกิดเช่นไร มันเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนมากแม้จะเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวที่สุดของเรา อันที่จริงสิ่งที่น่าฉงนที่สุดในเอกภพใบนี้ได้ถูกค้นพบและอธิบายไว้อย่างดีแล้วเมื่อเกือบ 2600 ปีที่แล้ว ทฤษฎีพร้อมวิธีการปฏิบัติที่สมบูรณ์แบบเป็นอย่างยิ่ง พร้อมทั้งวิธีการทดลองให้เห็นด้วยตัวเอง ทั้งหมดทั้งสิ้นได้ถูกแอบแฝงไว้ภายใต้หน้ากากของความเชื่อและเรื่องราวตกแต่งมากมายที่ปิดบังโฉมหน้าที่แท้จริงของธรรมะที่เป็นตรรกะศาสตร์แรกสุดของโลกใบนี้ สิ่งที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าคือทุกเรื่องที่กล่าวนี้เกิดขึ้นโดยคนๆเดียวภายใต้สภาพแวดล้อมเมื่อกว่า 2600 ปีมาแล้ว สมัยที่ยังไม่มีใครรู้จักคำว่า เหตุ และผล ก่อนหน้านักปราชญ์กรีกผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ให้กำเนิดอารยธรรมตะวันตกอย่างพลาโตนับพันปี คนผู้นี้เรานับถือและยกย่องเค้าในฐานะของศาสดาแห่งศาสนาพุทธ แต่หากท่านได้ศึกษาเช่นข้าพเจ้าแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะจะไม่ใช้เพียงศาสดาของศาสนาเท่านั้น ตอนนี้ข้าพเจ้าถือท่านเป็นศาสดาของวิทยาศาสตร์ด้วย อัจฉริยะบุคคลผู้เกิดก่อนยุคแห่งวิทยาการนับพันปี มีเรื่องราวมากมายนักที่พระพุทธองค์ได้แสดงไว้อย่างน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย ท่านไม่ควรให้ความเชื่องมงายและคำสั่งสอนแบบผิดๆมาบดบังธรรมมะอันน่าอัศจรรย์สำหรับนักวิทยาศาสตร์เช่นเรา ดังเช่นเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าจะยกมาเรียบเรียงให้ฟัง เรื่องที่ข้าพเจ้าถือวิสาสะยกให้เป็น สัจพจน์ หรือ Axiom ชิ้นแรกของโลกใบนี้ โดยนักวิทยาศาสตร์(อาจเป็นสาขาจิตวิทยา)คนแรกของโลกที่ชื่อ สิทธัตถะ โคตมะ
...
กระบวนการแห่งชีวิตเป็นเรื่องราวที่อยู่ภายใต้หัวข้อ ขันธ์ 5 ในทางธรรม และวิธีการทดลองเพื่อให้เห็นจริงด้วยตัวเองเรียกว่าการวิปัสสนา ข้าพเจ้าได้เรียบเรียงผลจากการศึกษาและปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างหนักบนพื้นฐานของความเป็นนักวิทยาศาสตร์อย่างเต็มรูปแบบ ดังนั้นบทความนี้จึงไม่ต้องการชี้นำความคิดของผู้ใด หากท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์โดยสายเลือดเช่นข้าพเจ้า โปรดใช้วิจารณญาณอันยิ่งยวดในการศึกษาและทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง
“กฎแห่งแรงโน้มถ่วงท่านเห็นได้ด้วยตาฉันใด กฎแห่งชีวิตจิตใจท่านพึงเห็นได้ด้วยสติฉันนั้น”
และเมื่อท่านได้ลงมือปฏิบัติอย่างสมบูรณ์แล้ว ท่านจึงจะเข้าใจความหมายของคำว่า
“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา”
...
ขันธ์ 5 กฎแห่งชีวิต
หากว่ากันด้วยเรื่องทฤษฎีเกี่ยวกับกายภาพที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่างๆในโลกและเอกภพใบนี้ ทฤษฎีมากมายก็ผุดขึ้นมาในหัวของข้าพเจ้า แน่นอนเพราะข้าพเจ้าก็จบฟิสิกส์มา ทำให้ได้พบเห็นได้ทดลองทดสอบเพื่อยืนยันความถูกต้องของทฤษฎีมากมายพวกนี้มาตลอดระยะเวลา 4 ปี ในทางฟิสิกส์นั้นเราแยกทฤษฎีต่างๆเป็น 3 ระดับ ตั้งแต่สมมุติฐานที่ใช้ทำนายปรากฏการณ์ต่างๆที่ยังพิสูจน์ไม่ได้หรือรอการพิสูจน์ เช่นสมมุติฐานเกี่ยวกับการกำเนิดของเอกภพ การเกิดขึ้นและลักษณะของหลุมดำ เป็นต้น หรือจะเป็นทฤษฎีระดับหนึ่งที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถใช้ทำนายสถานการณ์เฉพาะด้านนั้นๆได้ หรือเป็นกฎที่มีความน่าเชื่อถือสูงสุดที่ถูกพิสูจน์มาแล้วอย่างยาวนานและแสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นจริงในทุกสภาพแวดล้อม ทุกยุค ทุกสมัย แม้จะมีทฤษฎีใหม่ๆเกิดขึ้นมาก็จะยังอยู่ภายใต้กฎพื้นฐานเหล่านี้หรือจะเรียกว่าเป็น สัจพจน์ (Axiom) เช่น กฎอนุรักษ์พลังงาน กฎการเคลื่อนที่ เป็นต้น อันที่จริงกฎเหล่านี้มีอยู่ก่อนแล้วในธรรมชาติ(คำนี้คุ้นๆนะ) มนุษย์เป็นเพียงผู้สังเกตและเรียบเรียงให้อยู่ในรูปแบบของความสัมพันธ์ขององค์ประกอบที่ละเอียดกว่าในรูปของสัญลักษณ์(สูตร สมการ)ต่างๆ เพื่อให้เข้าใจและถ่ายทอดได้ง่ายในหมู่มนุษย์ด้วยกัน แต่การจะสังเกตและเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ก็ไม่ใช้เรื่องง่ายเลย(เข้าขั้นยากที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้) เพราะปรากฏการณ์บางอย่างมันอยู่กับเราตลอด กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันจนทำให้เราเห็นเป็นเรื่องธรรมดา มองข้ามและไม่ทันได้สังเกตเห็น เช่นการที่วัตถุรอบตัวเราวางอยู่ได้บนพื้นโลกหรือหล่นลงมา อันเป็นที่มาของกฎแรงดึงดูดที่ ไอแซค นิวตัน ได้ค้นพบในราว ค.ศ.1700 สังเกตได้ว่าก่อนหน้านั้นนับพันๆปี แม้จะมีมนุษย์มากมายพบเจอกับปรากฏการณ์นี้ก็ไม่เห็นมีใครจะขี้สงสัยมากพอจะสังเกตได้เลย อันที่จริงมันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนสิ่งมีชีวิตชนิดแรกจะอุบัติขึ้นบนโลกใบนี้ด้วยซ้ำไป แต่ถ้าหากลองคิดดูว่าปรากฏการณ์ที่ใกล้ตัวเราที่สุดยิ่งกว่าแรงดึงดูดคืออะไร ท่านอาจไม่ทันสังเกต ก็ตัวท่านเองยังไง ปรากฏการณ์อะไรกันที่ทำให้เราเป็นเรา ขอนไม้รู้หรือว่าตัวเองเป็นขอนไม้ ไม่เลย แต่เหตุใดท่านจึงรู้ตัวว่าตัวเองเป็นมนุษย์กัน อะไรทำให้ท่านรู้สึก ทำให้ท่านมีความคิด ทำให้ท่านรู้ว่านี่คือสิ่งต่างๆรอบตัว นี่คือสิ่งต่างๆที่เป็นตัวท่าน อย่าตอบว่าสมองเลย เพราะเราต่างรู้กันดีว่าองค์ประกอบทางกายภาพของสมองนั้นก็คือธาตุต่างๆที่ไม่มีชีวิต แล้วชีวิตมันคืออะไรกัน ความคิดจิตใจเกิดได้อย่างไร ท่านจะไม่มีวันเข้าใจเรื่องพวกนี้เช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าเคยเป็นมาก่อน แน่นอนว่าข้าพเจ้าเคยสนใจศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับความคิด ชีวิต จิตใจพวกนี้มาก่อนแล้ว เพราะข้าพเจ้าสนใจเรื่องปัญญาประดิษฐ์ของหุ่นยนต์มานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบที่น่าพอใจเลย ข้าพเจ้าเองเป็นคนชอบวิธีการเปรียบเทียบการทำงานของสมองกับส่วนประกอบต่างๆของคอมพิวเตอร์ และมีความฝันที่จะได้เห็นคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้เช่นเดียวกับสมองมนุษย์ มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ด้วยตนเอง แต่ไม่ว่าเราจะพัฒนาคอมพิวเตอร์ไปไกลแค่ไหนเราก็ไม่มีวันสร้างให้มันเป็นสมองที่มีชีวิตจิตใจเช่นมนุษย์ได้เลย จนกว่าเราจะเข้าใจจริงๆว่า “สมองและจิตใจของเราแท้จริงแล้วทำงานอย่างไร ?” แน่นอนว่าในตอนนั้นข้าพเจ้าเองก็ได้พยายามศึกษาค้นคว้าอยู่พอสมควรแต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก ครั้งหนึ่งที่พบเจอทฤษฎีที่พอจะใกล้เคียงอยู่บ้านก็เมื่อตอนได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาครู ซึ่งมีทฤษฎีการเรียนการสอนของนักจิตวิทยาผสมปนเปอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ความอะไรมากนัก(จริงๆก็อ่านผ่านๆ) จนเมื่อได้มาศึกษาในทางธรรมอย่างจริงจังในช่วงที่อุปสมบทอยู่ และได้อ่านหนังสือ พุทธธรรมของท่าน ป.อ.ปยุตโต ก็ได้พบกับเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นและดีใจเป็นยิ่งนัก(ไม่คิดว่าจะได้เจอของดีแบบนี้จากหนังสือธรรมะเลยจริงๆ) การเขียนของท่านพระพรหมคุณาภรณ์นั้นเป็นไปในเชิงวิชาการและท่านก็ฉลาดในการวางเนื้อหาเป็นอย่างยิ่ง เพียงได้อ่านหน้าแรกก็คิดขึ้นมาในใจว่า ท่านต้องคิดไว้แล้วล