ผมเคยเป็นติวเตอร์ อาจารย์สอนพิเศษ จัดหาติวเตอร์และให้บริการรับปรึกษาและวางแผนเรื่องเรียนพิเศษให้กับผู้ปกครองมาตั้งแต่สิบกว่าปีก่อน ผมมักจะได้รับคำถามจากผู้ปกครองหลายท่านปรึกษาเกี่ยวกับการเลือกโรงเรียนให้กับลูกว่า
จะให้ลูกไปเรียนโรงเรียนมีชื่อเสียงดีแต่อยู่ไกลบ้านหรือจะเลือกโรงเรียนทั่วไปที่อยู่ใกล้บ้าน ควรจะเลือกอย่างไรดี?
ที่จริงคำตอบของเรื่องนี้ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับตัวนักเรียนและพื้นฐานครอบครัวของแต่ละคนและองค์ประกอบอื่นๆอีกเพิ่มเติม แต่ปัจจุบันเนื่องจากกฎระเบียบในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เปลี่ยนแปลงจากระบบ Entrance ของยุคผู้ปกครองไปเป็นระบบ TCAS ดังนั้นหลักคิดในการเลือกโรงเรียนแบบไหนที่คิดว่าลูกๆน่าจะมีโอกาสสอบติดมหาวิทยาลัยได้ดีกว่าจึงมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่ด้วยหลักคิดจากผู้ปกครองที่ไปยึดกับทัศนคติแบบเดิมๆจากยุค Entrance แล้วนำมาใช้กับลูกๆในระบบ TCAS ในปัจจุบันจึงเป็นปัญหา เพราะกฎเกณฑ์การสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ได้เปลี่ยนแปลงไปในรายละเอียดทางเทคนิคหลายๆอย่างที่ผู้ปกครองไม่ทราบตั้งแต่ลูกๆกำลังเรียนอยู่ชั้นป.6 หรือม.3 และได้กำลังวางแผนเตรียมสอบต่อในโรงเรียนมัธยมมีชื่อเสียงกันอยู่ อาจจะทำให้ตัดสินใจผิดพลาดไปได้ กว่าจะไปรู้ตัวก็ตอนลูกๆกำลังเรียนอยู่ชั้นม.6 แล้ว แต่ก็เหมือนกับตกกระไดพลอยโจนไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีก
ผมได้เขียนบทความนี้ซึ่งเป็นตอนที่ 42 จากทั้งหมด 45 ตอนของหัวข้อเรื่อง "
เคล็ดลับสอบติดมหาลัยแบบง่ายๆ" ที่ผมวางแผนการเรียนให้กับลูกของตัวเองที่เป็นเด็กหัวปานกลางทั่วไปจนเขาสามารถสอบติดหมอได้อย่างที่เขาต้องการ และคะแนนที่ได้สอบติดเกือบทุกคณะ ที่เพจเคล็ดลับสอบติดมหาลัยแบบง่ายๆ
https://www.facebook.com/papatrickzz
เผื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเวลาที่ผู้ปกครองกำลังจะเลือกโรงเรียนให้กับลูกที่ต้องไปสอบต่อเข้าม.1 หรือสอบต่อเข้าม.4 ว่าควรจะมีหลักการคิดอย่างไรดี
...
EP.42 โรงเรียนมีชื่อเสียง VS โรงเรียนทั่วไป
หากเรามองว่าการที่มีโรงเรียนมีชื่อเสียงเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้เกิดความลักลั่นของมาตรฐาน เพราะมาตรฐานคือต้องเท่าเทียมกันโดยสมบูรณ์ ซึ่งหมายถึง วิธีการสอน ครูผู้สอน งบประมาณ และท้ายสุดคือตัวผู้เรียน ซึ่งในส่วนของวิธีการสอน ครูผู้สอนและงบประมาณ นโยบายกระทรวงก็พยายามทำให้เท่าเทียมกัน แต่องค์ประกอบที่สำคัญอีกอย่างนึงคือตัวผู้เรียนนั้นไม่เท่าเทียมกันต่างหาก ไม่เท่าเทียมกันยังไงน่ะหรือ คือถ้าจะทำให้เท่าเทียมกัน ทุกโรงเรียนต้องมีเด็กที่เก่งและไม่เก่งในอัตราส่วนเดียวกัน นั่นคือการกระจายทางสถิติคละกันไปแบบสุ่ม ดังเช่นที่ต่างประเทศเขาจะวางระบบโรงเรียนแบบเข้มงวด ถ้าใครอยู่บ้านตำแหน่งนี้ก็ให้เข้าเรียนโรงเรียนนี้ที่รัฐจัดไว้ให้เท่านั้น เด็กไม่สามารถข้ามเขตไปเรียนโรงเรียนอื่นได้ และด้วยเหตุนี้ในแต่ละโรงเรียนจึงมีเด็กที่คละกันไป โดยที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้ว่าโรงเรียนไหนจะรับเข้าเรียนเฉพาะเด็กเก่ง แล้วเด็กไม่เก่งโรงเรียนไม่รับไม่ได้ โรงเรียนไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธเด็กได้ ถือเป็นสวัสดิการของรัฐ ทำให้คนในชุมชนเดียวกัน เกิดมาก็ต้องไปเรียนในโรงเรียนเดียวกันเท่านั้น ดังนั้นในทุกโรงเรียนจึงมีทั้งเด็กเก่งและเด็กไม่เก่งปะปนกันอยู่ในสัดส่วนที่ไม่ต่างกันในแต่ละโรงเรียนอย่างมีนัยสำคัญเพราะเป็นตัวเลขแบบสุ่ม
สำหรับในประเทศไทยเราไม่กำหนดโรงเรียนแบบตายตัวให้กับประชาชน จึงทำให้ตัวเลขการกระจายความเก่งของเด็กไม่เป็นสถิติแบบสุ่มอีกต่อไป เมื่อผู้ปกครองเป็นคนเลือกโรงเรียนให้ลูก ย่อมเลือกโรงเรียนมีชื่อเสียงที่ดีเป็นเรื่องปกติ ทุกคนก็รักลูกของเขาอยากได้สิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกเสมอ ดังนั้นผู้ปกครองก็ต้องหาทางเอาตัวรอดดิ้นรนกันเอาเอง ในเมื่อรัฐไม่ได้กำหนดหรือจัดการในเรื่องนี้ให้ ผู้ปกครองจึงต้องพยายามให้ลูกไปสอบเข้าโรงเรียนมีชื่อเสียงก่อน ถ้าสอบติดก็เข้าเรียนในโรงเรียนมีชื่อเสียงเหล่านั้น กระบวนการเช่นนี้จึงได้ถูกเริ่มต้น จากเด็กคนที่สอบติดซึ่งเป็นเด็กเก่งมาก่อนที่จะเข้าโรงเรียน แล้วถ้าสอบไม่ติดก็จะไปเข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในระดับรองๆลงไป นั่นคือตัวเลขการกระจายตัวของความเก่งของเด็กจะไม่เป็นสถิติแบบสุ่มอิสระอีกต่อไป ผลที่ได้จึงทำให้เกิดโรงเรียนมีชื่อเสียงเหล่านั้นตามมาทีหลัง กระบวนการถัดไปก็คือโรงเรียนมีชื่อเสียงก็จะยิ่งมีชื่อเสียงหนักขึ้นไปอีก เนื่องจากเขาได้รับเด็กที่เก่งไว้แต่แรกในทุกๆครั้งของกระบวนการนี้ เมื่อได้วัตถุดิบหรือเด็กเข้าไปต่างกันซึ่งเป็น Input ที่ดีกว่า โดยที่วิธีการสอน ครูผู้สอนและงบประมาณนั้น ถูกทำให้เท่าเทียมกัน นั่นคือ Process เดียวกัน ฉะนั้นเมื่อ Input ต่างกันแต่ Process เดียวกัน แล้วจะให้ผลลัพธ์ Output ที่ได้เท่ากันได้อย่างไร ก็มันต่างกันตั้งแต่ Input มาแล้ว
ยิ่งถ้าปล่อยให้กระบวนการสอบเข้านี้เกิดขึ้นซ้ำหลายๆครั้ง ก็จะได้การกระจุกตัวของเด็กเก่งสูงยิ่งขึ้นไปอีก และผลในอีกด้านท้ายสุดก็จะเกิดการกระจุกตัวของเด็กไม่เก่งอีกด้วย ถ้าสมมติให้จำนวนการสอบเข้าของโรงเรียนเป็นอนันต์แล้ว บนสมมติฐานที่ว่าผู้ปกครองไม่เกี่ยงระยะทางที่ใช้ในการเดินทาง จะได้การกระจุกตัวของเด็กเก่งไล่ระดับเรียงลงไปจนถึงเด็กไม่เก่งอย่างสมบูรณ์ ทำให้โรงเรียนมีชื่อเสียงจะดึงดูดเด็กเก่งไปทั้งหมด แล้วผู้ปกครองที่เขามีโอกาสเลือก ก็คงไม่อยากให้ลูกไปเรียนในโรงเรียนที่มีแต่การกระจุกตัวของเด็กไม่เก่ง จึงมีตัวอย่างให้เห็นประเภทคุณแม่ที่จบปริญญาโทจากต่างประเทศ แต่ยินดีที่จะลาออกจากงาน เพื่อมาทำหน้าที่ขับรถรับส่งลูกไปโรงเรียนที่ตั้งอยู่อีกฟากของเมือง เป็นต้น
ผมเคยขายคอนโดในย่านสาทรให้กับผู้ปกครองที่ตัดสินใจซื้อเพียงเพราะว่าลูกเขาเรียนอยู่ตรงนี้ เพราะบ้านเขาอยู่ไกลเดินทางไปกลับทุกวันกลัวว่าจะไม่ไหว และอีกเคสหนึ่งตัดสินใจซื้อเพียงเพราะว่าต้องการที่จอดรถใต้คอนโดที่อยู่เยื้องกับโรงเรียนลูก ซึ่งผมมองว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องตลกร้าย พวกเรามาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร กระบวนการนี้มันหนักขึ้นกว่าเดิมไปอีกขั้นแล้ว จากที่โรงเรียนควรอยู่ใกล้บ้าน แต่กลับกันเดี๋ยวนี้ต้องคอยหาซื้อบ้านหลังที่สองให้ใกล้โรงเรียนลูก เป็นการตัดสินใจซื้อคอนโดหลายล้านเพื่อให้ลูกได้เรียนหนังสือ ค่าเทอมที่ว่าแพงแล้วกลับถูกไปเลยเมื่อเทียบกับการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อซัพพอร์ตการศึกษาให้ลูก ซึ่งมันแพงกว่าค่าเทอมของลูกมากนัก ต้นทุนในการเรียนหนังสือของเด็กชนิดใหม่ได้บังเกิดขึ้นแล้วในหมู่ของกลุ่มผู้มีกำลังทรัพย์
โรงเรียนที่เขาได้รับเด็กที่เก่งกว่าไว้ตั้งแต่แรก พอเด็กเรียนจบไปก็จะมีโอกาสสอบติดในคณะที่มีชื่อเสียงมากกว่าโดยปริยาย และโรงเรียนเหล่านั้นจะได้เอารูปหน้าหรือชื่อของเด็กเก่งที่สอบติดมาติดไว้ที่ข้างรั้วของโรงเรียน และเดี๋ยวนี้เป็นยุคออนไลน์แล้วก็จะถ่ายรูปหมู่ของนักเรียนยกห้องแล้วเขียนว่า ใครสอบติดแพทย์ที่ไหนบ้างมาโพสให้เห็น แล้วถ้าเกิดผู้ปกครองรายใหม่หลงเชื่อว่าโรงเรียนเหล่านี้เก่ง เด็กสอบติดในมหาวิทยาลัยดังๆคณะดีๆเยอะๆ พวกเขาก็จะพยายามให้ลูกมาสอบเข้าที่นี่ให้ได้ แล้วโรงเรียนก็จะได้เด็กเก่งเข้ามาในรุ่นถัดๆไป กระบวนการจึงเริ่มต้นทำงานต่อไป จนเกิดเป็นวัฏจักรวนลูปกันไปอย่างไม่จบสิ้น ก็จะยิ่งทำให้เกิดการกระจุกตัวของเด็กเก่งหนักขึ้นไปอีกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผลของระบบการสอบเข้าของโรงเรียนมีชื่อเสียงจะยิ่งทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาหนักยิ่งขึ้นไปอีก
ความเก่งของเด็กไม่ใช่เพราะว่าโรงเรียนของเขาได้สอนเก่งอะไรเป็นพิเศษ แต่เป็นเพราะวัตถุดิบ Input ที่ได้คัดสรรเข้าไป คือตัวเด็กที่ต่างกันมาตั้งแต่แรก เพราะถ้าบอกว่าครูโรงเรียนนี้เขาสอนเก่งกว่าอีกโรงเรียน นั่นแสดงว่าการกระจายตัวของครูผู้สอนมีปัญหา กลายเป็นว่ากระทรวงบริหารงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเขาคงออกมาปฏิเสธแน่ๆ และวิธีการสอนของครูทุกคนจะมีระเบียบแผนการสอนไว้เป็นมาตรฐานให้ทำเหมือนกันอยู่แล้ว และงบประมาณก็ถูกจัดสรรให้ได้ต่อหัวใกล้เคียงกัน ดังนั้นจึงเป็น Logic ง่ายๆ Input ต่างกัน Process เดียวกัน ก็ย่อมได้ Output ที่ต่างกัน
เล่าให้ฟังแบบขำๆ ตัวอย่างในประเทศรัสเซีย เดิมเขาก็มีปัญหาเรื่องเด็กแย่งกันเข้าโรงเรียนมีชื่อเสียง แต่เขาได้แก้ปัญหาโรงเรียนมีชื่อเสียงด้วยวิธีกำปั้นทุบดินแต่ได้ผลชะงักก็คือ ให้ทุกโรงเรียนไม่มีชื่อซะเลย แล้วใส่เป็นตัวเลขเรียงๆกันไป แค่เพื่อให้เรียกชื่อโรงเรียนถูก เช่น school no.25 , school no.57 หรือโรงเรียนเฉพาะทางอย่าง music school no.8 เป็นต้น แล้วแบบนี้ชื่อเสียงอันยาวนานของโรงเรียนจะมีผลไหม? เด็กทุกคนที่โตมาจากเมืองมอสโควก็จะบอกแค่ว่า ฉันเรียนที่มอสโควแค่นั้น ไม่ต้องถามกันต่อว่าเรียนจบโรงเรียนอะไรมา สิ่งที่ได้ก็คือไม่มีใครอยากเสียเวลาเดินทางเพิ่ม ที่จะข้ามไปอีกฟากนึงของเมืองในการเดินทางไปกลับโรงเรียนในแต่ละวัน เพียงเพื่อไปเรียนอีกโรงเรียนที่มีตัวเลขต่างกันนิดหน่อย บางทีประเทศไทยของเราอาจจะมีนโยบายที่คล้ายๆกันอยู่ แต่เป็นลักษณะกลับทางกันด้วยการเปลี่ยนชื่อโรงเรียนทั่วไปที่มีอยู่แล้วให้มีชื่อขึ้นต้นเหมือนโรงเรียนมีชื่อเสียง หลอกล่อให้ผู้ปกครองเข้าใจว่าเป็นเครือเดียวกัน ซึ่งอันที่จริงมันก็โรงเรียนเดิมในสังกัดกระทรวงศึกษาเหมือนเดิม เพียงแค่เพิ่มกิจกรรมระหว่างโรงเรียนที่มีชื่อขึ้นต้นเหมือนกันเพิ่มแค่นั้น แต่วิธีนี้ก็ไม่สามารถทำได้ครบทุกโรงเรียน ยังมีข้อจำกัดอยู่จึงยังไม่บรรลุเป้าหมายลดการเหลื่อมล้ำลงได้ แต่ก็ช่วยกระจายเด็กออกไปได้บ้างพอสมควร เมื่อมีเด็กบางส่วนได้เข้าไปเรียนโรงเรียนดังกล่าว เพราะเชื่อว่าเป็นโรงเรียนในเครือเดียวกัน กระบวนการจึงถูกเริ่มต้นขึ้น เมื่อโรงเรียนเหล่านั้นเริ่มมีผู้ปกครองหลายท่านสนใจแล้วนำเด็กเข้าสู่ระบบการสอบแข่งขันทำให้โรงเรียนได้เด็กเก่งเข้าไป โรงเรียนทั่วไปก็จะกลายเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงได้จริง เมื่อให้กระบวนการได้ทำงานของมันไปอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าทั้งหมดนี้คือเรื่องของความเชื่อ เมื่อทุกคนเชื่อว่าเป็นความจริง ผลสุดท้ายมันจึงกลายเป็นจริงนั่นเอง
ผมยอมรับว่าในเมื่อโรงเรียนที่มีแต่เด็กเก่งๆเข้าไปเรียนอยู่ด้วยกันแล้ว จะมีผลทำให้การสอนของครูย่อมไปได้เร็วกว่าและมีเวลาเหลือมากพอที่จะสอนเนื้อหาที่เพิ่มขึ้นจากหลักสูตร แต่ก็สามารถทำได้แค่ระดับนึงเท่านั้น เพราะระเบียบแผนการสอนกระทรวงคอยกำกับอยู่ แต่สิ่งที่โรงเรียนมีชื่อเสียงเหล่านี้ทำได้เนื่องจากไม่มีแผนกำกับจากกระทรวงมากนักก็คือ พวกเขาสามารถจะออกข้อสอบที่ยากขึ้นตามคุณภาพของเด็กที่สูงกว่าได้ ผมเคยเห็นข้อสอบปลายภาคของโรงเรียนมีชื่อเสียงระดับประเทศแล้วคิดว่านั่นมันข้อสอบของระดับมหาวิทยาลัยรึเปล่า ผมเคยสอนน้องคนนึงจากโรงเรียนมีชื่อเสียงทำข้อสอบคณิตศาสตร์ Matrix 5x5 ซึ่งผมตกใจมาก เพราะตอนที่ผมเรียนปริญญาตรีวิศวะยังเจอโจทย์แค่ Matrix 4x4 เป็นการแก้สมการขนาด 4 ตัวแปร แล้วข้อสอบที่เด็กพวกนี้เจอคือการเพิ่มขึ้นอีก 1 ตัวแปรนั่นหมายถึงความยากที่เพิ่มขึ้นอีกเกือบ 10 เท่า ซึ่งมันไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของการเรียนในระดับมัธยมปลายเลย อันที่จริงตั้งแต่ผมเรียนจบมาก็ยังไม่เคยต้องคิดสมการที่มี 4 ตัวแปรเลยสักครั้งเดียว หลักๆก็แค่ 2 หรือ 3 ตัวแปรเท่านั้นเอง ผมจึงไม่แปลกใจที่เด็กโรงเรียนมีชื่อเสียงเหล่านี้จะสอบตกกันค่อนห้องจนต้องมานั่งสอบซ่อมกันที่โรงอาหารพร้อมๆกัน แล้วสิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจก็เกิดขึ้น คือการทำให้เด็กที่เรียนอยู่ในโรงเรียนมีชื่อเสียงเหล่านั้น ยิ่งภาคภูมิใจในโรงเรียนของเขาขึ้นไปอีก ว่าต้องเก่งขนาดไหนถึงทำข้อสอบที่ยากขนาดนี้ได้ และเริ่มมองโรงเรียนอื่นว่าอ่อนกว่าต่อไปเป็นลำดับชั้น
มีต่อ...
จะเลือกเรียนที่ไหนดี ระหว่างโรงเรียนมีชื่อเสียงดีแต่อยู่ไกลบ้านหรือโรงเรียนทั่วไปที่อยู่ใกล้บ้าน?
จะให้ลูกไปเรียนโรงเรียนมีชื่อเสียงดีแต่อยู่ไกลบ้านหรือจะเลือกโรงเรียนทั่วไปที่อยู่ใกล้บ้าน ควรจะเลือกอย่างไรดี?
ที่จริงคำตอบของเรื่องนี้ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับตัวนักเรียนและพื้นฐานครอบครัวของแต่ละคนและองค์ประกอบอื่นๆอีกเพิ่มเติม แต่ปัจจุบันเนื่องจากกฎระเบียบในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เปลี่ยนแปลงจากระบบ Entrance ของยุคผู้ปกครองไปเป็นระบบ TCAS ดังนั้นหลักคิดในการเลือกโรงเรียนแบบไหนที่คิดว่าลูกๆน่าจะมีโอกาสสอบติดมหาวิทยาลัยได้ดีกว่าจึงมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่ด้วยหลักคิดจากผู้ปกครองที่ไปยึดกับทัศนคติแบบเดิมๆจากยุค Entrance แล้วนำมาใช้กับลูกๆในระบบ TCAS ในปัจจุบันจึงเป็นปัญหา เพราะกฎเกณฑ์การสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ได้เปลี่ยนแปลงไปในรายละเอียดทางเทคนิคหลายๆอย่างที่ผู้ปกครองไม่ทราบตั้งแต่ลูกๆกำลังเรียนอยู่ชั้นป.6 หรือม.3 และได้กำลังวางแผนเตรียมสอบต่อในโรงเรียนมัธยมมีชื่อเสียงกันอยู่ อาจจะทำให้ตัดสินใจผิดพลาดไปได้ กว่าจะไปรู้ตัวก็ตอนลูกๆกำลังเรียนอยู่ชั้นม.6 แล้ว แต่ก็เหมือนกับตกกระไดพลอยโจนไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีก
ผมได้เขียนบทความนี้ซึ่งเป็นตอนที่ 42 จากทั้งหมด 45 ตอนของหัวข้อเรื่อง "เคล็ดลับสอบติดมหาลัยแบบง่ายๆ" ที่ผมวางแผนการเรียนให้กับลูกของตัวเองที่เป็นเด็กหัวปานกลางทั่วไปจนเขาสามารถสอบติดหมอได้อย่างที่เขาต้องการ และคะแนนที่ได้สอบติดเกือบทุกคณะ ที่เพจเคล็ดลับสอบติดมหาลัยแบบง่ายๆ https://www.facebook.com/papatrickzz
เผื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเวลาที่ผู้ปกครองกำลังจะเลือกโรงเรียนให้กับลูกที่ต้องไปสอบต่อเข้าม.1 หรือสอบต่อเข้าม.4 ว่าควรจะมีหลักการคิดอย่างไรดี
...
EP.42 โรงเรียนมีชื่อเสียง VS โรงเรียนทั่วไป
หากเรามองว่าการที่มีโรงเรียนมีชื่อเสียงเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้เกิดความลักลั่นของมาตรฐาน เพราะมาตรฐานคือต้องเท่าเทียมกันโดยสมบูรณ์ ซึ่งหมายถึง วิธีการสอน ครูผู้สอน งบประมาณ และท้ายสุดคือตัวผู้เรียน ซึ่งในส่วนของวิธีการสอน ครูผู้สอนและงบประมาณ นโยบายกระทรวงก็พยายามทำให้เท่าเทียมกัน แต่องค์ประกอบที่สำคัญอีกอย่างนึงคือตัวผู้เรียนนั้นไม่เท่าเทียมกันต่างหาก ไม่เท่าเทียมกันยังไงน่ะหรือ คือถ้าจะทำให้เท่าเทียมกัน ทุกโรงเรียนต้องมีเด็กที่เก่งและไม่เก่งในอัตราส่วนเดียวกัน นั่นคือการกระจายทางสถิติคละกันไปแบบสุ่ม ดังเช่นที่ต่างประเทศเขาจะวางระบบโรงเรียนแบบเข้มงวด ถ้าใครอยู่บ้านตำแหน่งนี้ก็ให้เข้าเรียนโรงเรียนนี้ที่รัฐจัดไว้ให้เท่านั้น เด็กไม่สามารถข้ามเขตไปเรียนโรงเรียนอื่นได้ และด้วยเหตุนี้ในแต่ละโรงเรียนจึงมีเด็กที่คละกันไป โดยที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้ว่าโรงเรียนไหนจะรับเข้าเรียนเฉพาะเด็กเก่ง แล้วเด็กไม่เก่งโรงเรียนไม่รับไม่ได้ โรงเรียนไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธเด็กได้ ถือเป็นสวัสดิการของรัฐ ทำให้คนในชุมชนเดียวกัน เกิดมาก็ต้องไปเรียนในโรงเรียนเดียวกันเท่านั้น ดังนั้นในทุกโรงเรียนจึงมีทั้งเด็กเก่งและเด็กไม่เก่งปะปนกันอยู่ในสัดส่วนที่ไม่ต่างกันในแต่ละโรงเรียนอย่างมีนัยสำคัญเพราะเป็นตัวเลขแบบสุ่ม
สำหรับในประเทศไทยเราไม่กำหนดโรงเรียนแบบตายตัวให้กับประชาชน จึงทำให้ตัวเลขการกระจายความเก่งของเด็กไม่เป็นสถิติแบบสุ่มอีกต่อไป เมื่อผู้ปกครองเป็นคนเลือกโรงเรียนให้ลูก ย่อมเลือกโรงเรียนมีชื่อเสียงที่ดีเป็นเรื่องปกติ ทุกคนก็รักลูกของเขาอยากได้สิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกเสมอ ดังนั้นผู้ปกครองก็ต้องหาทางเอาตัวรอดดิ้นรนกันเอาเอง ในเมื่อรัฐไม่ได้กำหนดหรือจัดการในเรื่องนี้ให้ ผู้ปกครองจึงต้องพยายามให้ลูกไปสอบเข้าโรงเรียนมีชื่อเสียงก่อน ถ้าสอบติดก็เข้าเรียนในโรงเรียนมีชื่อเสียงเหล่านั้น กระบวนการเช่นนี้จึงได้ถูกเริ่มต้น จากเด็กคนที่สอบติดซึ่งเป็นเด็กเก่งมาก่อนที่จะเข้าโรงเรียน แล้วถ้าสอบไม่ติดก็จะไปเข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในระดับรองๆลงไป นั่นคือตัวเลขการกระจายตัวของความเก่งของเด็กจะไม่เป็นสถิติแบบสุ่มอิสระอีกต่อไป ผลที่ได้จึงทำให้เกิดโรงเรียนมีชื่อเสียงเหล่านั้นตามมาทีหลัง กระบวนการถัดไปก็คือโรงเรียนมีชื่อเสียงก็จะยิ่งมีชื่อเสียงหนักขึ้นไปอีก เนื่องจากเขาได้รับเด็กที่เก่งไว้แต่แรกในทุกๆครั้งของกระบวนการนี้ เมื่อได้วัตถุดิบหรือเด็กเข้าไปต่างกันซึ่งเป็น Input ที่ดีกว่า โดยที่วิธีการสอน ครูผู้สอนและงบประมาณนั้น ถูกทำให้เท่าเทียมกัน นั่นคือ Process เดียวกัน ฉะนั้นเมื่อ Input ต่างกันแต่ Process เดียวกัน แล้วจะให้ผลลัพธ์ Output ที่ได้เท่ากันได้อย่างไร ก็มันต่างกันตั้งแต่ Input มาแล้ว
ยิ่งถ้าปล่อยให้กระบวนการสอบเข้านี้เกิดขึ้นซ้ำหลายๆครั้ง ก็จะได้การกระจุกตัวของเด็กเก่งสูงยิ่งขึ้นไปอีก และผลในอีกด้านท้ายสุดก็จะเกิดการกระจุกตัวของเด็กไม่เก่งอีกด้วย ถ้าสมมติให้จำนวนการสอบเข้าของโรงเรียนเป็นอนันต์แล้ว บนสมมติฐานที่ว่าผู้ปกครองไม่เกี่ยงระยะทางที่ใช้ในการเดินทาง จะได้การกระจุกตัวของเด็กเก่งไล่ระดับเรียงลงไปจนถึงเด็กไม่เก่งอย่างสมบูรณ์ ทำให้โรงเรียนมีชื่อเสียงจะดึงดูดเด็กเก่งไปทั้งหมด แล้วผู้ปกครองที่เขามีโอกาสเลือก ก็คงไม่อยากให้ลูกไปเรียนในโรงเรียนที่มีแต่การกระจุกตัวของเด็กไม่เก่ง จึงมีตัวอย่างให้เห็นประเภทคุณแม่ที่จบปริญญาโทจากต่างประเทศ แต่ยินดีที่จะลาออกจากงาน เพื่อมาทำหน้าที่ขับรถรับส่งลูกไปโรงเรียนที่ตั้งอยู่อีกฟากของเมือง เป็นต้น
ผมเคยขายคอนโดในย่านสาทรให้กับผู้ปกครองที่ตัดสินใจซื้อเพียงเพราะว่าลูกเขาเรียนอยู่ตรงนี้ เพราะบ้านเขาอยู่ไกลเดินทางไปกลับทุกวันกลัวว่าจะไม่ไหว และอีกเคสหนึ่งตัดสินใจซื้อเพียงเพราะว่าต้องการที่จอดรถใต้คอนโดที่อยู่เยื้องกับโรงเรียนลูก ซึ่งผมมองว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องตลกร้าย พวกเรามาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร กระบวนการนี้มันหนักขึ้นกว่าเดิมไปอีกขั้นแล้ว จากที่โรงเรียนควรอยู่ใกล้บ้าน แต่กลับกันเดี๋ยวนี้ต้องคอยหาซื้อบ้านหลังที่สองให้ใกล้โรงเรียนลูก เป็นการตัดสินใจซื้อคอนโดหลายล้านเพื่อให้ลูกได้เรียนหนังสือ ค่าเทอมที่ว่าแพงแล้วกลับถูกไปเลยเมื่อเทียบกับการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อซัพพอร์ตการศึกษาให้ลูก ซึ่งมันแพงกว่าค่าเทอมของลูกมากนัก ต้นทุนในการเรียนหนังสือของเด็กชนิดใหม่ได้บังเกิดขึ้นแล้วในหมู่ของกลุ่มผู้มีกำลังทรัพย์
โรงเรียนที่เขาได้รับเด็กที่เก่งกว่าไว้ตั้งแต่แรก พอเด็กเรียนจบไปก็จะมีโอกาสสอบติดในคณะที่มีชื่อเสียงมากกว่าโดยปริยาย และโรงเรียนเหล่านั้นจะได้เอารูปหน้าหรือชื่อของเด็กเก่งที่สอบติดมาติดไว้ที่ข้างรั้วของโรงเรียน และเดี๋ยวนี้เป็นยุคออนไลน์แล้วก็จะถ่ายรูปหมู่ของนักเรียนยกห้องแล้วเขียนว่า ใครสอบติดแพทย์ที่ไหนบ้างมาโพสให้เห็น แล้วถ้าเกิดผู้ปกครองรายใหม่หลงเชื่อว่าโรงเรียนเหล่านี้เก่ง เด็กสอบติดในมหาวิทยาลัยดังๆคณะดีๆเยอะๆ พวกเขาก็จะพยายามให้ลูกมาสอบเข้าที่นี่ให้ได้ แล้วโรงเรียนก็จะได้เด็กเก่งเข้ามาในรุ่นถัดๆไป กระบวนการจึงเริ่มต้นทำงานต่อไป จนเกิดเป็นวัฏจักรวนลูปกันไปอย่างไม่จบสิ้น ก็จะยิ่งทำให้เกิดการกระจุกตัวของเด็กเก่งหนักขึ้นไปอีกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผลของระบบการสอบเข้าของโรงเรียนมีชื่อเสียงจะยิ่งทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาหนักยิ่งขึ้นไปอีก
ความเก่งของเด็กไม่ใช่เพราะว่าโรงเรียนของเขาได้สอนเก่งอะไรเป็นพิเศษ แต่เป็นเพราะวัตถุดิบ Input ที่ได้คัดสรรเข้าไป คือตัวเด็กที่ต่างกันมาตั้งแต่แรก เพราะถ้าบอกว่าครูโรงเรียนนี้เขาสอนเก่งกว่าอีกโรงเรียน นั่นแสดงว่าการกระจายตัวของครูผู้สอนมีปัญหา กลายเป็นว่ากระทรวงบริหารงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเขาคงออกมาปฏิเสธแน่ๆ และวิธีการสอนของครูทุกคนจะมีระเบียบแผนการสอนไว้เป็นมาตรฐานให้ทำเหมือนกันอยู่แล้ว และงบประมาณก็ถูกจัดสรรให้ได้ต่อหัวใกล้เคียงกัน ดังนั้นจึงเป็น Logic ง่ายๆ Input ต่างกัน Process เดียวกัน ก็ย่อมได้ Output ที่ต่างกัน
เล่าให้ฟังแบบขำๆ ตัวอย่างในประเทศรัสเซีย เดิมเขาก็มีปัญหาเรื่องเด็กแย่งกันเข้าโรงเรียนมีชื่อเสียง แต่เขาได้แก้ปัญหาโรงเรียนมีชื่อเสียงด้วยวิธีกำปั้นทุบดินแต่ได้ผลชะงักก็คือ ให้ทุกโรงเรียนไม่มีชื่อซะเลย แล้วใส่เป็นตัวเลขเรียงๆกันไป แค่เพื่อให้เรียกชื่อโรงเรียนถูก เช่น school no.25 , school no.57 หรือโรงเรียนเฉพาะทางอย่าง music school no.8 เป็นต้น แล้วแบบนี้ชื่อเสียงอันยาวนานของโรงเรียนจะมีผลไหม? เด็กทุกคนที่โตมาจากเมืองมอสโควก็จะบอกแค่ว่า ฉันเรียนที่มอสโควแค่นั้น ไม่ต้องถามกันต่อว่าเรียนจบโรงเรียนอะไรมา สิ่งที่ได้ก็คือไม่มีใครอยากเสียเวลาเดินทางเพิ่ม ที่จะข้ามไปอีกฟากนึงของเมืองในการเดินทางไปกลับโรงเรียนในแต่ละวัน เพียงเพื่อไปเรียนอีกโรงเรียนที่มีตัวเลขต่างกันนิดหน่อย บางทีประเทศไทยของเราอาจจะมีนโยบายที่คล้ายๆกันอยู่ แต่เป็นลักษณะกลับทางกันด้วยการเปลี่ยนชื่อโรงเรียนทั่วไปที่มีอยู่แล้วให้มีชื่อขึ้นต้นเหมือนโรงเรียนมีชื่อเสียง หลอกล่อให้ผู้ปกครองเข้าใจว่าเป็นเครือเดียวกัน ซึ่งอันที่จริงมันก็โรงเรียนเดิมในสังกัดกระทรวงศึกษาเหมือนเดิม เพียงแค่เพิ่มกิจกรรมระหว่างโรงเรียนที่มีชื่อขึ้นต้นเหมือนกันเพิ่มแค่นั้น แต่วิธีนี้ก็ไม่สามารถทำได้ครบทุกโรงเรียน ยังมีข้อจำกัดอยู่จึงยังไม่บรรลุเป้าหมายลดการเหลื่อมล้ำลงได้ แต่ก็ช่วยกระจายเด็กออกไปได้บ้างพอสมควร เมื่อมีเด็กบางส่วนได้เข้าไปเรียนโรงเรียนดังกล่าว เพราะเชื่อว่าเป็นโรงเรียนในเครือเดียวกัน กระบวนการจึงถูกเริ่มต้นขึ้น เมื่อโรงเรียนเหล่านั้นเริ่มมีผู้ปกครองหลายท่านสนใจแล้วนำเด็กเข้าสู่ระบบการสอบแข่งขันทำให้โรงเรียนได้เด็กเก่งเข้าไป โรงเรียนทั่วไปก็จะกลายเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงได้จริง เมื่อให้กระบวนการได้ทำงานของมันไปอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าทั้งหมดนี้คือเรื่องของความเชื่อ เมื่อทุกคนเชื่อว่าเป็นความจริง ผลสุดท้ายมันจึงกลายเป็นจริงนั่นเอง
ผมยอมรับว่าในเมื่อโรงเรียนที่มีแต่เด็กเก่งๆเข้าไปเรียนอยู่ด้วยกันแล้ว จะมีผลทำให้การสอนของครูย่อมไปได้เร็วกว่าและมีเวลาเหลือมากพอที่จะสอนเนื้อหาที่เพิ่มขึ้นจากหลักสูตร แต่ก็สามารถทำได้แค่ระดับนึงเท่านั้น เพราะระเบียบแผนการสอนกระทรวงคอยกำกับอยู่ แต่สิ่งที่โรงเรียนมีชื่อเสียงเหล่านี้ทำได้เนื่องจากไม่มีแผนกำกับจากกระทรวงมากนักก็คือ พวกเขาสามารถจะออกข้อสอบที่ยากขึ้นตามคุณภาพของเด็กที่สูงกว่าได้ ผมเคยเห็นข้อสอบปลายภาคของโรงเรียนมีชื่อเสียงระดับประเทศแล้วคิดว่านั่นมันข้อสอบของระดับมหาวิทยาลัยรึเปล่า ผมเคยสอนน้องคนนึงจากโรงเรียนมีชื่อเสียงทำข้อสอบคณิตศาสตร์ Matrix 5x5 ซึ่งผมตกใจมาก เพราะตอนที่ผมเรียนปริญญาตรีวิศวะยังเจอโจทย์แค่ Matrix 4x4 เป็นการแก้สมการขนาด 4 ตัวแปร แล้วข้อสอบที่เด็กพวกนี้เจอคือการเพิ่มขึ้นอีก 1 ตัวแปรนั่นหมายถึงความยากที่เพิ่มขึ้นอีกเกือบ 10 เท่า ซึ่งมันไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของการเรียนในระดับมัธยมปลายเลย อันที่จริงตั้งแต่ผมเรียนจบมาก็ยังไม่เคยต้องคิดสมการที่มี 4 ตัวแปรเลยสักครั้งเดียว หลักๆก็แค่ 2 หรือ 3 ตัวแปรเท่านั้นเอง ผมจึงไม่แปลกใจที่เด็กโรงเรียนมีชื่อเสียงเหล่านี้จะสอบตกกันค่อนห้องจนต้องมานั่งสอบซ่อมกันที่โรงอาหารพร้อมๆกัน แล้วสิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจก็เกิดขึ้น คือการทำให้เด็กที่เรียนอยู่ในโรงเรียนมีชื่อเสียงเหล่านั้น ยิ่งภาคภูมิใจในโรงเรียนของเขาขึ้นไปอีก ว่าต้องเก่งขนาดไหนถึงทำข้อสอบที่ยากขนาดนี้ได้ และเริ่มมองโรงเรียนอื่นว่าอ่อนกว่าต่อไปเป็นลำดับชั้น
มีต่อ...