ปัจจุบันเริ่มมีคนคิดแล้วว่าแคมเปญแอนตี้พลาสติกนี้มันถูกชงขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม
เดี๋ยวนี้มีวิธีที่เรียกว่า Thermal Depolymerization(TDP) ที่เป็นการย่อยสลายพลาสติกกลับเป็นน้ำมันดิบ + แก๊สมีเทน+แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์+คาร์บอนแบล็ค + น้ำ โดยใช้อุณหภูมิและความดันสูง ของที่ได้กลับมาดังกล่าว สามารถนำไปใช้ใหม่ได้คือ
น้ำมันดิบ คล้ายน้ำมันดิบธรรมชาติที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้
แก๊ส มีเทน ใช้ใหม่ได้ แต่คาร์บอนไดออกไซด์ยังต้องหาทางกำจัดแต่ปริมาณที่ออกมาถือเป็นเปอร์เซ็นที่ต่ำมาก
คาร์บอนแบล็ค หรือเขม่าดำ ใช้ในงานอุตสาหกรรมหลายๆประเภท เช่นยางรถยนต์ ขอบกระจก และยางอื่นๆที่มีสีดำ
ปัญหาคือจะทำอย่างไรให้ประเทศไทยเรานี้มีนายทุนเข้ามาทำ (ตอนนี้จีนเริ่มมีเอาคาร์บอนมาขายในไทย ราคาต่ำมากเพราะได้จากวิธีนี้แล้ว)
เราอยากเสนอว่ารัฐควรงดเว้นภาษีอุตสาหกรรมประเภทนี้ ส่วนที่ควรไปเก็บคือผู้ใช้อย่างเราๆ คือเพิ่มราคาถุงพลาสติกเป็นใบละ 10-20 บาทตามขนาด ทำให้หนาหน่อยพอที่จะนำกลับมาใช้ซ้ำได้บ่อยๆ (ถ้าใช้ดีๆ ถุงหนาๆใช้ซ้ำได้เป็นร้อยๆครั้งเลยนะ) ส่วนถุงแบบย่อยสลายเองตามธรรมชาติที่ทำจากมันสำปะหลัง ฯลฯ ก็ให้ถูกๆไว้ก็ได้ สำหรับทำถุงขยะ หรืออื่นๆ และเพราะถือว่ามันไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการ TDP ราคาตรงนี้ให้เพิ่มไปเลยตั้งแต่ส่วนผู้ผลิตถุง เพราะคุมและเก็บภาษีง่ายดี โดยภาษีส่วนที่เราต้องจ่ายเพิ่ม ได้ประโยชน์คือ
1. ทำให้คนไม่ทิ้งถุงพลาสติกที่ย่อยสลายยากเป็นว่าเล่นเพราะได้ฟรีหรือราคาถูก ในขณะที่เราได้ใช้ถุงพลาสติกทนทาน เบา ใช้ทรัพยากรและพลังงานน้อยในการผลิต มากกว่าถุงผ้า และถุงกระดาษมากๆ
2. มีนายทุนยอมตั้งโรงงานรีไซเคิลพลาสติกกลับเป็นน้ำมันดิบ เพราะถ้าไม่เสียภาษีก็ยังคงมีกำไร แต่ถ้าเสียภาษีในอัตราเท่ากับอุตสาหกรรมน้ำมัน ก็คงเจ๊ง เลยไม่มีใครยอมทำกัน
3.ลดการทำลายป่าไม้และเพิ่มมลพิษจากการใช้สารเคมีจากการผลิตถุงผ้า
เพราะจริงๆแล้วปัญหาสิ่งแวดล้อมนั้นมาจากคนใช้ของไม่เห็นคุณค่า เห็นว่าได้ฟรี ราคาถูกก็ทิ้งๆขว้างๆไม่ใส่ใจ ทั้งที่คนคิดค้นถุงพลาสติกขึ้นมา เค้ามีเป้าหมายรักษ์โลก เพราะสมัยโน้นโลกเราเสียหายจากการผลิตและใช้ถุงกระดาษและถุงผ้าเยอะเกินไปนี่แหละ แต่เพราะทรัพยากรที่ใช้มันน้อย ต้นทุนต่ำ ราคาถูก คนเลยไม่สนใจการ Reuse
แคมเปญต่อต้านถุงพลาสติก น่าจะไม่ใช่ทางออกที่แท้จริง รู้ไหมว่าเราสามารถนำพลาสติกมาย้อนกลับเป็นน้ำมันดิบได้?
เดี๋ยวนี้มีวิธีที่เรียกว่า Thermal Depolymerization(TDP) ที่เป็นการย่อยสลายพลาสติกกลับเป็นน้ำมันดิบ + แก๊สมีเทน+แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์+คาร์บอนแบล็ค + น้ำ โดยใช้อุณหภูมิและความดันสูง ของที่ได้กลับมาดังกล่าว สามารถนำไปใช้ใหม่ได้คือ
น้ำมันดิบ คล้ายน้ำมันดิบธรรมชาติที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้
แก๊ส มีเทน ใช้ใหม่ได้ แต่คาร์บอนไดออกไซด์ยังต้องหาทางกำจัดแต่ปริมาณที่ออกมาถือเป็นเปอร์เซ็นที่ต่ำมาก
คาร์บอนแบล็ค หรือเขม่าดำ ใช้ในงานอุตสาหกรรมหลายๆประเภท เช่นยางรถยนต์ ขอบกระจก และยางอื่นๆที่มีสีดำ
ปัญหาคือจะทำอย่างไรให้ประเทศไทยเรานี้มีนายทุนเข้ามาทำ (ตอนนี้จีนเริ่มมีเอาคาร์บอนมาขายในไทย ราคาต่ำมากเพราะได้จากวิธีนี้แล้ว)
เราอยากเสนอว่ารัฐควรงดเว้นภาษีอุตสาหกรรมประเภทนี้ ส่วนที่ควรไปเก็บคือผู้ใช้อย่างเราๆ คือเพิ่มราคาถุงพลาสติกเป็นใบละ 10-20 บาทตามขนาด ทำให้หนาหน่อยพอที่จะนำกลับมาใช้ซ้ำได้บ่อยๆ (ถ้าใช้ดีๆ ถุงหนาๆใช้ซ้ำได้เป็นร้อยๆครั้งเลยนะ) ส่วนถุงแบบย่อยสลายเองตามธรรมชาติที่ทำจากมันสำปะหลัง ฯลฯ ก็ให้ถูกๆไว้ก็ได้ สำหรับทำถุงขยะ หรืออื่นๆ และเพราะถือว่ามันไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการ TDP ราคาตรงนี้ให้เพิ่มไปเลยตั้งแต่ส่วนผู้ผลิตถุง เพราะคุมและเก็บภาษีง่ายดี โดยภาษีส่วนที่เราต้องจ่ายเพิ่ม ได้ประโยชน์คือ
1. ทำให้คนไม่ทิ้งถุงพลาสติกที่ย่อยสลายยากเป็นว่าเล่นเพราะได้ฟรีหรือราคาถูก ในขณะที่เราได้ใช้ถุงพลาสติกทนทาน เบา ใช้ทรัพยากรและพลังงานน้อยในการผลิต มากกว่าถุงผ้า และถุงกระดาษมากๆ
2. มีนายทุนยอมตั้งโรงงานรีไซเคิลพลาสติกกลับเป็นน้ำมันดิบ เพราะถ้าไม่เสียภาษีก็ยังคงมีกำไร แต่ถ้าเสียภาษีในอัตราเท่ากับอุตสาหกรรมน้ำมัน ก็คงเจ๊ง เลยไม่มีใครยอมทำกัน
3.ลดการทำลายป่าไม้และเพิ่มมลพิษจากการใช้สารเคมีจากการผลิตถุงผ้า
เพราะจริงๆแล้วปัญหาสิ่งแวดล้อมนั้นมาจากคนใช้ของไม่เห็นคุณค่า เห็นว่าได้ฟรี ราคาถูกก็ทิ้งๆขว้างๆไม่ใส่ใจ ทั้งที่คนคิดค้นถุงพลาสติกขึ้นมา เค้ามีเป้าหมายรักษ์โลก เพราะสมัยโน้นโลกเราเสียหายจากการผลิตและใช้ถุงกระดาษและถุงผ้าเยอะเกินไปนี่แหละ แต่เพราะทรัพยากรที่ใช้มันน้อย ต้นทุนต่ำ ราคาถูก คนเลยไม่สนใจการ Reuse