. ปีใหม่ทั้งที จะให้หยุดอยู่บ้านเฉยๆก็กระไรอยู่ แต่ก็ตามเคยที่ไม่ได้วางแผนทริปล่วงหน้า จึงตัดสินใจเลือกสถานที่เที่ยว เอาแบบเดินทางสะดวก อากาศดีๆ ไม่ไกลกรุงเทพ หวยเลยมาออกที่ อุทยานแห่งชาติเอราวัณ จังหวัดกาญจนบุรี ที่ๆเราไปกันเกือบทุกปี แต่ปีนี้พิเศษกว่า เพราะมีเพื่อนชาวต่างชาติมาร่วมผจญภัยไปด้วยกัน
. ถามว่าแล้วไปเจอเพื่อนชาวต่างชาติได้อย่างไร เหตุการณ์มันก็บังเอิญประมาณนี้ คือแฟนเรากำลังไปเรียนพิเศษ แล้วไปเจอฝรั่งคู่นี้ซึ่งเป็นชาวอิหร่าน ผู้ชายชื่อ Matt มาทำงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษและคอมพิวเตอร์ที่ กทม. ส่วนผู้หญิงชื่อ Zara มาในฐานะผู้ติดตาม ซึ่งตอนนี้เธอก็กำลังมองหางานทำอยู่

Matt , Zara , Namwarn
. ด้วยความที่ว่าเพิ่งมาอยู่ กทม. ได้ 2-3 เดือนจึงหลงทาง แต่ก็โชคดีที่ได้แฟนเราช่วยบอกทาง เขาจึงประทับใจและขอแลก Line กับแฟนเรา และก็คุยกันเรื่อยมา
. คุยไปคุยมา เหมือน Matt กับ Zara อยากไปเที่ยวปีใหม่กับพวกเรา ผมก็คิดว่าเอาวะ ช่วงนี้กำลังอยากฝึกภาษาอังกฤษพอดี แถมได้เพื่อนร่วมทางเพิ่มขึ้นอาจทำให้ทริปนี้สนุกกว่าครั้งไหนก็ได้ พวกเราก็เลยตกลง จนเกิดเป็นทริป........นี้ขึ้นมา 555555
. ความซวยที่ 1 มาเยือน เมื่อเราวางแผนจะออกเดินทางกันในวันที่ 30 ธันวาคม แต่เพื่อนใหม่เราดันคิดว่าจะไปวันที่ 29 จึงมารอพวกเราแต่เช้า กว่าจะได้คุยกันก็ช่วงสาย เราจึงต้องส่งพวกเขาไปสังเกตการณ์ที่จังหวัดกาญจนบุรีก่อนล่วงหน้า 1 วัน บ๊ายบายย ขอให้เที่ยวให้สนุกนะ 5555
. วันออกเดินทาง เรานัดเจอกันที่ขนส่งกาญจนบุรี ระหว่างรอผมก็เกิดอาการตื่นเต้น เหมือนกับนัดเดทสาวๆสมัยมัธยม 5555 เพราะกลัวต่างๆนานา กลัวคุยไม่รุ้เรื่อง กลัวเขาไม่สนุก กลัวเขาไม่ชอบ กลัวๆๆ สารพัด จนเมื่อถึงเวลาเราก็ได้พบกัน ทั้งสองเหมือนนักท่องเที่ยวปกติ แต่งตัวสบายๆ จะมีก็แต่ถุงเสบียงขนาดมหึมา ที่ทั้งสองแบกมาด้วย สงสัยเขาคงจะอยากเอาของไปนั่งปิกนิคกันละมั้ง.....ผมคิดในใจ

รถหวานเย็นไปเอราวัณ
ระหว่างรอรถไปเอราวัณ เราก็สนทนาทำความคุ้นเคยกัน แต่ดูเหมือนแฟนผมกับทั้งสองจะค่อนข้างรู้จักกันแล้ว ก็คงมีแต่ผมละที่ต้องพยายามทำความรู้จักเขาทั้งสอง แต่ก็โชคดีที่ Matt สามารถฟังสำเนียงภาษาอังกฤษ แบบมนุษย์ต่างดาวของผมพอรู้เรื่อง เราจึงคุยกันได้มากกว่าแค่ Where are you come from ?
. รถหวานเย็นค่อยๆเคลื่อนตัวผ่านเปลวแดดในตัวเมืองกาญจนบุรี วิ่งลัดเลาะแม่น้ำแควใหญ่ อากาศก็เริ่มเย็นสบาย ภายในรถมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเต็มไปหมด เราหันไปดูเพื่อนใหม่ทั้งสองก็ยังอุ่นใจ ที่เขาทั้งสอง ยังคงดู Happy กับการเดินทางครั้งนี้

เต๊นท์ matt สีฟ้าอ่อน ติดริมแม่น้ำแควใหญ่ อันนี้เป็นมุมที่สามารถกางเต๊นท์ได้แค่ 2-3 เต๊นท์ เท่านั้น
เรามาถึงเอราวัณในช่วงบ่ายของวัน จัดแจงกางเต๊นท์ ก็สังเกตเห็นว่า เต๊นท์ของ Matt นั้นใหม่เอี่ยม ถามมาก็ได้ความว่า พี่แกซื้อเต๊นท์ใหม่มาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เราเลือกกางเต๊นท์กันในมุม ที่ไม่ค่อยมีผู้คน Matt กับ Zara ดูกังวลๆกับการเลือก Location กางเต๊นท์ครั้งนี้ แต่ผมก็ตอบกลับไปเพื่อสร้างความมั่นใจว่า Don’t worry. This location is a good and private.

โซนอาหารที่จะเปิดเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่
. เวลาล่วงเลยมาจนบ่ายแก่ๆ เราจึงชวนทั้งสองไปทานอาหารกลางวันกัน ก็อย่างว่าละครับในอุทยานแห่งชาติ การมีร้านอาหารตามสั่ง ไก่ทอด ลูกชิ้น 4-5 ร้านนี้ ก็ถือว่าโชคดีแล้ว เราก็เลยถามเพื่อนใหม่ทั้งสองว่า What are you eat ? Matt ตอบผมมาว่า Rice Rice ตอนแรกผมคิดว่าข้าวผัด แต่ที่ไหนได้แกขอข้าวเปล่า พร้อมกับหยิบกล่องอาหารที่ Zara ลงมือทำเองออกมา
. แท่นแท๊นนน..... เมนูที่ Zara เอามาก็คือ เคบับไก่ แบบฉบับอิหร่าน ด้วยความสงสัยใคร่รู้ ก็เลยขอชิม........รสชาติเหมือนพวกอาหารแขก ที่หนักไปทางเปรี้ยวๆ จากกลิ่นเครื่องเทศ ถ้าให้กินกับข้าวเปล่าๆก็คงแปลกชอบกล แต่ Zara กับ Matt ก็เลือกทาน ทานไปสักพักคงเลี่ยน เลยไปหาซอสมาแก้เลี่ยน มองไปมองมา ไปเจอเข้ากับน้ำส้มสายชู พี่แกทั้งสองลองชิมดู คงชักติดใจ เทใส่ข้าวกินกับเคบับ แถมซดน้ำส้มสายชูกันเป็นว่าเล่น พร้อมทิ้งท้ายมาว่า I like sour.

เคบับแสนอร่อย ของแถมคือมะเร็ง (ล้อเร่น)
. เพื่อทำให้เพื่อนใหม่ทั้งสองประทับใจในทริปนี้ ผมจึงชวนทุกคนไปเล่นน้ำตกกัน ทั้งสองตอบโอเค เราจึงเดินไปด้วยกัน แต่เพื่อความพิเศษสุด ไหนๆเพื่อนเราก็มาไกลกันแล้ว ผมเลยจัดพาเดินทางศึกษาธรรมชาติที่คิดไว้ว่าทั้งสองคงต้องร้อง amazing แต่ที่ไหนได้ ทั้งสองดูจะไม่ค่อยชอบผจญภัย เหมือนผมเท่าไหร่นัก
. มาถึงน้ำตกถึงกับต้องร้อง Oh my Goddddd ไม่ใข่เพราะน้ำตกสวยนะ แต่คนแมร่งเยอะ

แต่ก็เอาหนะ ช่วงเทศกาล เราไปเล่นน้ำดูปลากันดีกว่า ไม่รอช้าผมถอดเสื้อลงเล่นน้ำ พร้อมชวนทั้งสองลงมาเล่นด้วยกัน แต่ไม่ได้ผล ทั้งสองขอนั่งดูปลาอยู่ริมฝั่ง ผมก็เลยลงเล่นน้ำคนเดียว
. ตอนลงเล่นน้ำคนเดียวก็มีเรื่องสนุกด้วยละ ช่วงสามสี่เดือนที่ผ่านมา ผมฝึกว่ายน้ำจนว่ายในสระได้ 2-3 กิโลเมตรสบายๆ เลยคิดว่าตัวเองว่ายแข็ง
ก็เลยห้าว ลองว่ายไปตรงกลางน้ำตกที่ความลึก 2.5 เมตร จังหวะว่ายไม่มีปัญหา พอหยุดเท่านั้นแหละ

คือเราไม่สามารถลอยตัวในน้ำได้ แถมไม่มีแว่นตาว่ายน้ำเหมือนตอนว่ายในสระอีก ก็เลยตะเกียกตะกายอยู่กลางน้ำตก คิดไปก็เสียวไส้ ถ้าวันนั้นไม่รอด ก็คงไม่ได้มาเขียนอยู่ในวันนี้ 5555 โชคยังดี ที่พอตะเกียกตะกาย พาตัวเองกลับฝั่งได้........โดยที่เพื่อนใหม่ทั้งสองก็ดูมีความสุขกับการดู "ปลาพลวง" ริมน้ำตก

หวานจนปลามาตอด
. ด้วยเวลายังเหลือ พวกเราเลยพากันเดินขึ้นไปถึงน้ำตกชั้น 3 ที่ทางค่อนข้างลาดชัน ระหว่างทางมีนักท่องเที่ยวมากมาย แต่ก็เริ่มเห็นอาการของ Matt ที่เริ่มจะไม่ไหว เพราะอาการป่วยเริ่มมาเยือน
. เราเดินกันกลับมาก็ช่วงพระอาทิตย์เริ่มตกพอดี อากาศเริ่มเย็น พวกเราทุกคนต่างแยกย้ายไป Relax ในมุมของตัวเอง จนใกล้มืด เราจึงชวน Matt ไปอาบน้ำด้วยกัน แต่เขาก็ตอบปฏิเสธ พร้อมบอกว่าจะอาบพรุ่งนี้เช้าทีเดียวเลย Zara ก็เช่นกัน
Dinner
. พวกเราเดินกันมาทานข้าว พร้อมแนะนำเมนูอร่อยๆให้เพื่อนต่างชาติได้ลิ้มลองมากมาย แฟนผมก็บริการเต็มที่ ซื้อทั้งส้มตำ ยำต่างๆมาให้ทั้งสองได้ลองชิม matt and Zara เดินวนอยู่นาน จนสุดท้ายไปจบที่ ซื้อไก่ทอดมากินกับข้าวเปล่า แถมไม่ลืมที่จะหยอดน้ำส้มสายชูไปคลุกกับข้าว เราก็เริ่มเอะใจแล้วว่า ทั้งสองคงไม่ถูกปากกับอาหารที่นี่แน่เลย เลยกินแต่อาหารง่ายๆที่พอจะหาทานได้ และทั้งสองก็กินกันน้อยมาก
ค่ำคืนนี้ยังมีดวงดาวเจิดจ้า
. หลังกินข้าวเสร็จ พวกเราก็นั่งคุยกันอยู่หน้าเต๊นท์ คืนนี้ดาวเต็มท้องฟ้าดูสวยมาก Zara ถามเราว่า I can open the music ? ผมก็เลยตอยกลับไปว่า "จัดมา" Zara ก็เลยจัดเพลงแขกมาให้เรา ช่างเหมาะอะไรกับบรรยากาศดาวเต็มทองฟ้า ที่ฉันฟังเพลงไม่ออกเช่นนี้นะ.....
ข้าศึกมาเยือน
. หากยังจำกันได้ หลังจากที่ Matt กินน้ำส้มสายชูอย่างเอร็ดอร่อย ผลกรรมก็ตามสนองในคืนนั้น เพราะแกท้องเสียทั้งคืน เราสะดุ้งตื่นมาตอนตีสอง ได้ยินทั้งสองลุกออกไปจากเต๊นท์ เดาไม่ยากว่าคงไปเข้าห้องน้ำอย่างแน่นอน
Good morning
. เรานัดกันตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้ากันตอน 6 โมงครึ่ง แต่ไหง ถึงมีเราตื่นมาดูคนเดียว จนเวลาล่วงมา 7 โมงกว่า ทั้งสองก็ตื่น เราจึงบอกแผนของวันนี้ ว่าจะไปพิชิตน้ำตกชั้น 7 กัน ทั้งสองโอเค จริงๆทั้งสองก็น่ารักมาก เพราะไม่ว่าเราจะเสนออะไร พวกเขาก็จะโอเคตามเราตลอด จนเราเริ่มรู้สึกว่า บางอย่างเขาก็ไม่ค่อยโอเค เช่น เรื่องห้องน้ำ กับอาหารการกิน ที่ทั้งสองพยายามเลี่ยงมาตลอด แต่เขาคงกลัวเราหมดสนุกไปด้วย เลยไม่บอกเรา
นักผจญภัย
เราเดินขึ้นน้ำตกกันมาเรื่อยๆ ทางในช่วงแรกยังสบายอยู่แต่พอยิ่งสูงทางยิ่งยาก ต้องมีปีนป่ายหินตลอด และด้วยชุดของ Zara ที่ไม่ค่อยทะมัดทะแมง จึงยิ่งทำให้พวกเราต้องคอยช่วยระมัดระวังเป็นพิเศษ

ทางจะเริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงชั้น 7
. เราพา Matt กับ Zara มาที่ประจำของเรากับแฟน คือระหว่างช่วงชั้น 5 ขึ้น ชั้น 6 มันจะมีลำธารเล็กๆ ที่สวยงามและคนน้อยมาก แต่ที่เราชอ[ที่สุดคือ จะมีปลาตัวเล็กๆมาตอดขา เราเรียกว่าการทำสปาปลา เรารู้สึกผูกพันธ์กับปลาบริเวณนี้เป็นพิเศษ เพราะมาทีไร ก็ต้องแวะมาทักทายเจ้าปลาตัวเล็กพวกนี้ตลอดละ และนี่ก็เป็นหนึ่งกิจกรรมที่ดูทุกคนชอบ และสนุกสนานกันมาก กับการยืนให้ปลาตอดขา
Conqueror ผู้พิชิต
. เย้ๆๆๆๆ ในที่สุดพวกเราก็มาถึงชั้น 7 กันแล้ว ชั้นนี้น้ำจะใสที่สุด แถมไม่ลึกด้วย ผมลงเล่นน้ำ ดำน้ำ ดูปลาอย่างสนุกสนาน และก็เช่นเคย Matt กับ Zara นั่งรอพวกเราเล่นน้ำ เราเลยเริ่มรู้สึกว่าทั้งสองดูจะไม่ค่อย Enjoy กับทริปนี้เท่าไหร่แน่เลย อาจเป็นด้วยอาการป่วย และ Lifestyle ที่ผมคิดว่าทั้งสองคงชอบเที่ยวแบบสะดวกสบายมากกว่า ผญจภัยแบบนี้แน่ๆเลย มันจึงเป็นบทเรียนให้เราอย่างหนึ่งว่า การชวนใครไปไหนหรือทำอะไร เราควรถามให้แน่ใจก่อนว่า เขาโอเคไหมกับการทำอะไรแบบนี้
เปลี่ยนแผน
. Matt เริ่มมาพูดกับเราระหว่างขาลงว่า เขามีความคิดว่า เราควรไปเที่ยวที่อื่นต่อดีไหม ซึ่งมันก็แปลได้ประมาณว่า ฉันไม่โอเคกับการอยู่ที่นี่แล้วละ ผมก็เลยเริ่มคิด แต่ด้วยความที่เราไม่มีรถ การไปที่อื่นจึงเป็นเรื่องยาก Matt เสนออยากไปพัทยา แต่เราก็แย้งว่ามันไกล และที่พักคงหายาก และถึงหาได้ ผมก็คงไม่ได้มีงบประมาณมากพอ ที่จะจ่ายมัน
. ผมจึงเสนอว่าให้พวกเรากลับ Bangkok กันดีกว่า ทุกคนเห็นด้วย แผนจึงเปลี่ยนจากที่เราจะค้างที่นี่อีกคืน เป็นต้องรีบกลับไปเก็บเต๊นท์และออกเดินทางกลับ กทม.
เมื่อฉันพาฝรั่งเที่ยวน้ำตก “เอราวัณ” แบบฉบับคนอยากฝึกพูดภาษาอังกฤษ
. ปีใหม่ทั้งที จะให้หยุดอยู่บ้านเฉยๆก็กระไรอยู่ แต่ก็ตามเคยที่ไม่ได้วางแผนทริปล่วงหน้า จึงตัดสินใจเลือกสถานที่เที่ยว เอาแบบเดินทางสะดวก อากาศดีๆ ไม่ไกลกรุงเทพ หวยเลยมาออกที่ อุทยานแห่งชาติเอราวัณ จังหวัดกาญจนบุรี ที่ๆเราไปกันเกือบทุกปี แต่ปีนี้พิเศษกว่า เพราะมีเพื่อนชาวต่างชาติมาร่วมผจญภัยไปด้วยกัน
. ถามว่าแล้วไปเจอเพื่อนชาวต่างชาติได้อย่างไร เหตุการณ์มันก็บังเอิญประมาณนี้ คือแฟนเรากำลังไปเรียนพิเศษ แล้วไปเจอฝรั่งคู่นี้ซึ่งเป็นชาวอิหร่าน ผู้ชายชื่อ Matt มาทำงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษและคอมพิวเตอร์ที่ กทม. ส่วนผู้หญิงชื่อ Zara มาในฐานะผู้ติดตาม ซึ่งตอนนี้เธอก็กำลังมองหางานทำอยู่
Matt , Zara , Namwarn
. ด้วยความที่ว่าเพิ่งมาอยู่ กทม. ได้ 2-3 เดือนจึงหลงทาง แต่ก็โชคดีที่ได้แฟนเราช่วยบอกทาง เขาจึงประทับใจและขอแลก Line กับแฟนเรา และก็คุยกันเรื่อยมา
. คุยไปคุยมา เหมือน Matt กับ Zara อยากไปเที่ยวปีใหม่กับพวกเรา ผมก็คิดว่าเอาวะ ช่วงนี้กำลังอยากฝึกภาษาอังกฤษพอดี แถมได้เพื่อนร่วมทางเพิ่มขึ้นอาจทำให้ทริปนี้สนุกกว่าครั้งไหนก็ได้ พวกเราก็เลยตกลง จนเกิดเป็นทริป........นี้ขึ้นมา 555555
. ความซวยที่ 1 มาเยือน เมื่อเราวางแผนจะออกเดินทางกันในวันที่ 30 ธันวาคม แต่เพื่อนใหม่เราดันคิดว่าจะไปวันที่ 29 จึงมารอพวกเราแต่เช้า กว่าจะได้คุยกันก็ช่วงสาย เราจึงต้องส่งพวกเขาไปสังเกตการณ์ที่จังหวัดกาญจนบุรีก่อนล่วงหน้า 1 วัน บ๊ายบายย ขอให้เที่ยวให้สนุกนะ 5555
. วันออกเดินทาง เรานัดเจอกันที่ขนส่งกาญจนบุรี ระหว่างรอผมก็เกิดอาการตื่นเต้น เหมือนกับนัดเดทสาวๆสมัยมัธยม 5555 เพราะกลัวต่างๆนานา กลัวคุยไม่รุ้เรื่อง กลัวเขาไม่สนุก กลัวเขาไม่ชอบ กลัวๆๆ สารพัด จนเมื่อถึงเวลาเราก็ได้พบกัน ทั้งสองเหมือนนักท่องเที่ยวปกติ แต่งตัวสบายๆ จะมีก็แต่ถุงเสบียงขนาดมหึมา ที่ทั้งสองแบกมาด้วย สงสัยเขาคงจะอยากเอาของไปนั่งปิกนิคกันละมั้ง.....ผมคิดในใจ
รถหวานเย็นไปเอราวัณ
ระหว่างรอรถไปเอราวัณ เราก็สนทนาทำความคุ้นเคยกัน แต่ดูเหมือนแฟนผมกับทั้งสองจะค่อนข้างรู้จักกันแล้ว ก็คงมีแต่ผมละที่ต้องพยายามทำความรู้จักเขาทั้งสอง แต่ก็โชคดีที่ Matt สามารถฟังสำเนียงภาษาอังกฤษ แบบมนุษย์ต่างดาวของผมพอรู้เรื่อง เราจึงคุยกันได้มากกว่าแค่ Where are you come from ?
. รถหวานเย็นค่อยๆเคลื่อนตัวผ่านเปลวแดดในตัวเมืองกาญจนบุรี วิ่งลัดเลาะแม่น้ำแควใหญ่ อากาศก็เริ่มเย็นสบาย ภายในรถมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเต็มไปหมด เราหันไปดูเพื่อนใหม่ทั้งสองก็ยังอุ่นใจ ที่เขาทั้งสอง ยังคงดู Happy กับการเดินทางครั้งนี้
เต๊นท์ matt สีฟ้าอ่อน ติดริมแม่น้ำแควใหญ่ อันนี้เป็นมุมที่สามารถกางเต๊นท์ได้แค่ 2-3 เต๊นท์ เท่านั้น
เรามาถึงเอราวัณในช่วงบ่ายของวัน จัดแจงกางเต๊นท์ ก็สังเกตเห็นว่า เต๊นท์ของ Matt นั้นใหม่เอี่ยม ถามมาก็ได้ความว่า พี่แกซื้อเต๊นท์ใหม่มาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เราเลือกกางเต๊นท์กันในมุม ที่ไม่ค่อยมีผู้คน Matt กับ Zara ดูกังวลๆกับการเลือก Location กางเต๊นท์ครั้งนี้ แต่ผมก็ตอบกลับไปเพื่อสร้างความมั่นใจว่า Don’t worry. This location is a good and private.
โซนอาหารที่จะเปิดเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่
. เวลาล่วงเลยมาจนบ่ายแก่ๆ เราจึงชวนทั้งสองไปทานอาหารกลางวันกัน ก็อย่างว่าละครับในอุทยานแห่งชาติ การมีร้านอาหารตามสั่ง ไก่ทอด ลูกชิ้น 4-5 ร้านนี้ ก็ถือว่าโชคดีแล้ว เราก็เลยถามเพื่อนใหม่ทั้งสองว่า What are you eat ? Matt ตอบผมมาว่า Rice Rice ตอนแรกผมคิดว่าข้าวผัด แต่ที่ไหนได้แกขอข้าวเปล่า พร้อมกับหยิบกล่องอาหารที่ Zara ลงมือทำเองออกมา
. แท่นแท๊นนน..... เมนูที่ Zara เอามาก็คือ เคบับไก่ แบบฉบับอิหร่าน ด้วยความสงสัยใคร่รู้ ก็เลยขอชิม........รสชาติเหมือนพวกอาหารแขก ที่หนักไปทางเปรี้ยวๆ จากกลิ่นเครื่องเทศ ถ้าให้กินกับข้าวเปล่าๆก็คงแปลกชอบกล แต่ Zara กับ Matt ก็เลือกทาน ทานไปสักพักคงเลี่ยน เลยไปหาซอสมาแก้เลี่ยน มองไปมองมา ไปเจอเข้ากับน้ำส้มสายชู พี่แกทั้งสองลองชิมดู คงชักติดใจ เทใส่ข้าวกินกับเคบับ แถมซดน้ำส้มสายชูกันเป็นว่าเล่น พร้อมทิ้งท้ายมาว่า I like sour.
เคบับแสนอร่อย ของแถมคือมะเร็ง (ล้อเร่น)
. เพื่อทำให้เพื่อนใหม่ทั้งสองประทับใจในทริปนี้ ผมจึงชวนทุกคนไปเล่นน้ำตกกัน ทั้งสองตอบโอเค เราจึงเดินไปด้วยกัน แต่เพื่อความพิเศษสุด ไหนๆเพื่อนเราก็มาไกลกันแล้ว ผมเลยจัดพาเดินทางศึกษาธรรมชาติที่คิดไว้ว่าทั้งสองคงต้องร้อง amazing แต่ที่ไหนได้ ทั้งสองดูจะไม่ค่อยชอบผจญภัย เหมือนผมเท่าไหร่นัก
. มาถึงน้ำตกถึงกับต้องร้อง Oh my Goddddd ไม่ใข่เพราะน้ำตกสวยนะ แต่คนแมร่งเยอะ
. ตอนลงเล่นน้ำคนเดียวก็มีเรื่องสนุกด้วยละ ช่วงสามสี่เดือนที่ผ่านมา ผมฝึกว่ายน้ำจนว่ายในสระได้ 2-3 กิโลเมตรสบายๆ เลยคิดว่าตัวเองว่ายแข็ง
ก็เลยห้าว ลองว่ายไปตรงกลางน้ำตกที่ความลึก 2.5 เมตร จังหวะว่ายไม่มีปัญหา พอหยุดเท่านั้นแหละ
หวานจนปลามาตอด
. ด้วยเวลายังเหลือ พวกเราเลยพากันเดินขึ้นไปถึงน้ำตกชั้น 3 ที่ทางค่อนข้างลาดชัน ระหว่างทางมีนักท่องเที่ยวมากมาย แต่ก็เริ่มเห็นอาการของ Matt ที่เริ่มจะไม่ไหว เพราะอาการป่วยเริ่มมาเยือน
. เราเดินกันกลับมาก็ช่วงพระอาทิตย์เริ่มตกพอดี อากาศเริ่มเย็น พวกเราทุกคนต่างแยกย้ายไป Relax ในมุมของตัวเอง จนใกล้มืด เราจึงชวน Matt ไปอาบน้ำด้วยกัน แต่เขาก็ตอบปฏิเสธ พร้อมบอกว่าจะอาบพรุ่งนี้เช้าทีเดียวเลย Zara ก็เช่นกัน
Dinner
. พวกเราเดินกันมาทานข้าว พร้อมแนะนำเมนูอร่อยๆให้เพื่อนต่างชาติได้ลิ้มลองมากมาย แฟนผมก็บริการเต็มที่ ซื้อทั้งส้มตำ ยำต่างๆมาให้ทั้งสองได้ลองชิม matt and Zara เดินวนอยู่นาน จนสุดท้ายไปจบที่ ซื้อไก่ทอดมากินกับข้าวเปล่า แถมไม่ลืมที่จะหยอดน้ำส้มสายชูไปคลุกกับข้าว เราก็เริ่มเอะใจแล้วว่า ทั้งสองคงไม่ถูกปากกับอาหารที่นี่แน่เลย เลยกินแต่อาหารง่ายๆที่พอจะหาทานได้ และทั้งสองก็กินกันน้อยมาก
ค่ำคืนนี้ยังมีดวงดาวเจิดจ้า
. หลังกินข้าวเสร็จ พวกเราก็นั่งคุยกันอยู่หน้าเต๊นท์ คืนนี้ดาวเต็มท้องฟ้าดูสวยมาก Zara ถามเราว่า I can open the music ? ผมก็เลยตอยกลับไปว่า "จัดมา" Zara ก็เลยจัดเพลงแขกมาให้เรา ช่างเหมาะอะไรกับบรรยากาศดาวเต็มทองฟ้า ที่ฉันฟังเพลงไม่ออกเช่นนี้นะ.....
ข้าศึกมาเยือน
. หากยังจำกันได้ หลังจากที่ Matt กินน้ำส้มสายชูอย่างเอร็ดอร่อย ผลกรรมก็ตามสนองในคืนนั้น เพราะแกท้องเสียทั้งคืน เราสะดุ้งตื่นมาตอนตีสอง ได้ยินทั้งสองลุกออกไปจากเต๊นท์ เดาไม่ยากว่าคงไปเข้าห้องน้ำอย่างแน่นอน
Good morning
. เรานัดกันตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้ากันตอน 6 โมงครึ่ง แต่ไหง ถึงมีเราตื่นมาดูคนเดียว จนเวลาล่วงมา 7 โมงกว่า ทั้งสองก็ตื่น เราจึงบอกแผนของวันนี้ ว่าจะไปพิชิตน้ำตกชั้น 7 กัน ทั้งสองโอเค จริงๆทั้งสองก็น่ารักมาก เพราะไม่ว่าเราจะเสนออะไร พวกเขาก็จะโอเคตามเราตลอด จนเราเริ่มรู้สึกว่า บางอย่างเขาก็ไม่ค่อยโอเค เช่น เรื่องห้องน้ำ กับอาหารการกิน ที่ทั้งสองพยายามเลี่ยงมาตลอด แต่เขาคงกลัวเราหมดสนุกไปด้วย เลยไม่บอกเรา
นักผจญภัย
เราเดินขึ้นน้ำตกกันมาเรื่อยๆ ทางในช่วงแรกยังสบายอยู่แต่พอยิ่งสูงทางยิ่งยาก ต้องมีปีนป่ายหินตลอด และด้วยชุดของ Zara ที่ไม่ค่อยทะมัดทะแมง จึงยิ่งทำให้พวกเราต้องคอยช่วยระมัดระวังเป็นพิเศษ
ทางจะเริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงชั้น 7
. เราพา Matt กับ Zara มาที่ประจำของเรากับแฟน คือระหว่างช่วงชั้น 5 ขึ้น ชั้น 6 มันจะมีลำธารเล็กๆ ที่สวยงามและคนน้อยมาก แต่ที่เราชอ[ที่สุดคือ จะมีปลาตัวเล็กๆมาตอดขา เราเรียกว่าการทำสปาปลา เรารู้สึกผูกพันธ์กับปลาบริเวณนี้เป็นพิเศษ เพราะมาทีไร ก็ต้องแวะมาทักทายเจ้าปลาตัวเล็กพวกนี้ตลอดละ และนี่ก็เป็นหนึ่งกิจกรรมที่ดูทุกคนชอบ และสนุกสนานกันมาก กับการยืนให้ปลาตอดขา
Conqueror ผู้พิชิต
. เย้ๆๆๆๆ ในที่สุดพวกเราก็มาถึงชั้น 7 กันแล้ว ชั้นนี้น้ำจะใสที่สุด แถมไม่ลึกด้วย ผมลงเล่นน้ำ ดำน้ำ ดูปลาอย่างสนุกสนาน และก็เช่นเคย Matt กับ Zara นั่งรอพวกเราเล่นน้ำ เราเลยเริ่มรู้สึกว่าทั้งสองดูจะไม่ค่อย Enjoy กับทริปนี้เท่าไหร่แน่เลย อาจเป็นด้วยอาการป่วย และ Lifestyle ที่ผมคิดว่าทั้งสองคงชอบเที่ยวแบบสะดวกสบายมากกว่า ผญจภัยแบบนี้แน่ๆเลย มันจึงเป็นบทเรียนให้เราอย่างหนึ่งว่า การชวนใครไปไหนหรือทำอะไร เราควรถามให้แน่ใจก่อนว่า เขาโอเคไหมกับการทำอะไรแบบนี้
เปลี่ยนแผน
. Matt เริ่มมาพูดกับเราระหว่างขาลงว่า เขามีความคิดว่า เราควรไปเที่ยวที่อื่นต่อดีไหม ซึ่งมันก็แปลได้ประมาณว่า ฉันไม่โอเคกับการอยู่ที่นี่แล้วละ ผมก็เลยเริ่มคิด แต่ด้วยความที่เราไม่มีรถ การไปที่อื่นจึงเป็นเรื่องยาก Matt เสนออยากไปพัทยา แต่เราก็แย้งว่ามันไกล และที่พักคงหายาก และถึงหาได้ ผมก็คงไม่ได้มีงบประมาณมากพอ ที่จะจ่ายมัน
. ผมจึงเสนอว่าให้พวกเรากลับ Bangkok กันดีกว่า ทุกคนเห็นด้วย แผนจึงเปลี่ยนจากที่เราจะค้างที่นี่อีกคืน เป็นต้องรีบกลับไปเก็บเต๊นท์และออกเดินทางกลับ กทม.