พอดีน้องหมาของเราเป็นพยาธิเม็ดเลือดค่ะ
ขออนุญาตท้าวความตั้งแต่เริ่มต้นนะคะ
วันที่ 1 (30 ธันวาคม 2562) : คุณหมอ A
เราพาน้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลสัตว์แห่งหนึ่ง ทำประวัติน้องและแจ้งข้อมูลเจ้าของเรียบร้อย
เราเองตอนแรกเราสงสัยว่าน้องจะเป็นหัดสุนัข
เลยอยากให้คุณหมอทำการเทสให้ ซึ่งคุณหมอจัดการให้แล้วแจ้งว่าไม่เป็นหัด
เราเลยอยากให้น้องตรวจสุขภาพประจำปีไปด้วยเลย
คุณหมอเลยตรวจเลือด พบว่า
น้องมีเกล็ดเลือดต่ำ มีภาวะเป็นพยาธิเม็ดเลือด นอกนั้นสุขภาพทุกอย่างยังโอเคอยู่ (น้องอายุ 8 ปี)
คุณหมอก็สอบถามตามปกติว่าน้องกินข้าวได้มั้ย ซึมแค่ไหน
ซึ่งวันนั้นน้องกินได้ตามปกติ ยังวิ่งเล่นได้ อ้อนอยู่
คุณหมอเลยให้ยาและสามารถพากลับบ้านได้ และกำชับให้ป้อนยาน้องให้ตรงเวลา
เย็นวันนั้นน้องกินข้าวและกินยาได้ตามปกติ
วันที่ 2 (31 ธันวาคม 2562) : คุณหมอ A
น้องกินยามื้อเช้า (ยาบำรุงเลือด) แล้วซึมมากขึ้นหน่อย
ช่วงบ่ายน้องกระโดดขึ้นเก้าอี้มานั่งกับเราตามปกติ (ปกติแล้วเค้าจะติดเราตลอด มานั่งใกล้ ๆ ทุกครั้ง)
แล้วพอจะลงน้องกระโดดลงแต่ไม่กางขาแขนเหมือนที่เคยทำ เหมือนตกไปที่พื้นเลย
น้องเดินไม่ไหว กางขาแขนติดพื้นเลย เราเลยอุ้มน้องขึ้นมาแล้วปลอบ
แล้วหลังจากนั้นน้องก็ไม่กินอะไรอีกเลย กินแต่น้ำเปล่า (เดินไปกินเอง)
ช่วงเย็นเราเลยอุ้มไปหาหมออีกครั้ง และแจ้งคุณหมอ A เรื่องที่น้องตกจากเก้าอี้
เย็นวันนั้นหมอแจ้งว่า .......
ในเรื่องของพยาธิเมื่อวานเลือด น้องเกล็ดเลือดเท่าเมื่อวาน เม็ดเลือดแดงเท่าเมื่อวาน อัลตร้าซาวด์แล้วไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
แต่หมอกังวลเรื่องที่น้องไม่กินข้าวเลยอยากให้น้ำเกลือและให้ยาเข้าเส้น
หมอแจ้งว่า ถ้าลองแอดมิทน้องอาจจะสดชื่นแล้วก็มีแรงเร็วกว่าที่เราป้อนยาเอง
ตรงนี้เราเข้าใจและยินดีให้คุณหมอพาน้องแอดมิท คุณหมอบอก 24 ชั่วโมงน่าจะเห็นผลว่าดีขึ้น
เราเลยตกลงให้น้องแอดมิท (เพราะ ตอนนั้นน้องยืนไม่ได้เลย เราอุ้มไว้ตลอด)
ช่วงค่ำเราเลยไปเยี่ยมน้องอีกครั้งก่อนโรงพยาบาลปิด
น้องสดใสขึ้นมาก ๆ ยืนเกาะกรงแล้วก็ตะกุยมือเราได้แล้ว ยื่นจมูกมาดม กระชับกระเฉงขึ้นมาก
พอออกจากห้องที่เยี่ยมน้อง ได้คุยกับคุณหมอซักพัก
คุณหมอบอกน้องดีขึ้นจริง ๆ กินข้าวเองได้ ไม่ซึม ไม่ร้อง พรุ่งนี้น่าจะพาน้องกลับได้
เราเลยกลับบ้านแล้วรอครบ 24 ชั่วโมงเพื่อไปรับน้องวันรุ่งขึ้น
วันที่ 3 (1 มกรมคม 2563) : คุณหมอ B
ช่วงเย็นเราไปเยี่ยมน้องตามที่คุณหมอ A แจ้งเมื่อวาน
ใจเราคิดว่าน้องได้กลับบ้านพร้อมกันแล้วแน่ ๆ
ปรากฏว่าเป็นคุณหมออีกคนนึง (ไม่ใช่คนเดียวกับเมื่อวานนี้)
เราก็ไม่ได้ติดใจอะไร เข้าใจว่ามีเข้าออกเวร
และเราค่อยข้างเชื่อใจคุณหมอและโรงพยาบาลจากเสียงที่บอกต่อกัน
นั่งรอในโรงพยาบาลได้ซักพัก คุณหมอก็ออกมาคุย
ซึ่งคุณหมอ B บอกเราว่า .........
"อาการน้องยังไม่ดีขึ้น หมอยังอยากให้น้องรอดูซัก 3-5 วัน"
เราอึ้งซักพัก งงด้วยว่าทำไมเมื่อวานคุณหมอ A บอกน้องโอเคขึ้นแล้ว
เลยถามคุณหมอ B ว่าน้องไม่ดีขึ้นเลยหรอ (เพราะใจเราคาดหวังจากที่คุยกับคุณหมอ A เมื่อวาน)
คุณหมอ B แจ้งว่า เรื่องพยาธิเม็ดเลือดของน้องโอเคขึ้นนะ
เกล็ดเลือดจาก 41000 วันนี้เป็น 50000 แล้ว น้องกินข้าวได้เองเหมือนเดิม
สดชื่นขึ้น เราเข้าไปหาน้องพยายามลุกขึ้นมาหาเรา มาดม มาคลอเคลียด้วย
จากนั้น คุณหมอ B แจ้งว่าน้องมีอาการขาหลังอ่อนแรง เดินไม่ได้ น่าจะเกิดจากการตกจากที่สูง
เราเลยแจ้งคุณหมอ B ว่าเมื่อวาน (31 ธันวา) น้องตกจากเก้าอี้แล้วขาแบะไม่เดินอีกเลย
คุณหมอเลยบอกว่า น่าจะเป็นที่ระบบประสาทข้อ 15 - 1 อะไรซักอย่าง (อันนี้จำชื่อไม่ได้จริง ๆ ค่ะ ขออภัยด้วย)
ทำให้น้องขาอ่อนแรง หมอกังวลตรงนี้
แต่เมื่อวานหมอให้สเตียรอยด์ไปน้องตอบสนองได้ดีขึ้น
หมอเลยอยากลองดูอีก 3-5 วันแล้วให้สเตียรอยด์พร้อมให้ยาพยาธิเม็ดเลือดเข้าเส้นก่อน
ว่าน้องอาการดีขึ้น แล้วตอบสนองสเตียรอยด์ต่อมั้ย
เราเลยคุยกับแม่ว่าเอายังไงดี เพราะมีเรื่องค่ารักษาเข้ามาด้วย
คุณหมอ B แจ้งเรื่องค่ารักษาดูอาการเบื้องต้นว่า 1500 - 1800 แต่หมอจะคุมให้ไม่เกิน 1800
แล้วดูอาการเป็นรายวันไป แม่เราเลยบอกว่าถ้าอย่างงั้นให้คุณหมอลองรักษาดูซัก 3 วัน
เราเลยตกลงตามนั้นแล้วแจ้งคุณหมอ B ไปว่าเราจะมาเยี่ยมทุกวันและอัพเดทอาการเป็นวันต่อวัน
ตอนนั้นเราตกใจและเสียใจมากกับอาการเดินไม่ได้ของน้องตามที่คุณหมอแจ้ง
เพราะน้องอายุ 8 ขวบแล้วไม่เคยป่วยเลย นี่เป็นการป่วยครั้งแรกและเป็นทีเป็นค่อนข้างหนัก
เราตกลงตามที่เราพอจะจ่ายไหวและอยากเห็นน้องอาการดีขึ้น
เราใช้เวลาซักพักในการคิดเรื่องน้องและเรื่องที่คุณหมอ B แจ้ง
สิ่งที่เราติดใจหลังจากกลับมาจากโรงพยาบาล (และรบกวนสอบถามเพื่อน ๆ ในพันทิป) คือ
1. ถ้าคุณหมอจะรักษาน้องเพิ่ม โดยไม่ใช่อาการที่เราตกลงกันตอนแรก (ไปหาหมอเพราะพยาธิเม็ดเลือด)
ปกติแล้วคุณหมอไม่โทรแจ้งหน้าของก่อนเหรอคะ ว่าจะรักษาเพิ่ม หมอเจออาการเพิ่ม ทำนองนี้
2. คุณหมอ B แจ้งว่า เมื่อวานให้สเตียรอยด์น้อง แล้งน้องตอบสนองอาการดีขึ้น
เลยอยากให้น้องลองดูอีกซัก 3-5 วัน
อันนี้เราสงสัยเป็นการส่วนตัวว่า ปกติแล้วพยาธิเม็ดเลือดต้องให้ยาที่เกี่ยวข้องกับสเตียรอยด์ด้วยมั้ย
ทำไมคุณหมอ B ถึงแจ้งว่า ให้เพราะรักษาร่วมกันไป
ประเด็นนี้ เราเคารพสิ่งที่คุณหมอตัดสินใจรักษานะคะ
แต่เราอยากทราบเพิ่มเติมว่าจริง ๆ แล้ว มันต้องให้จริง ๆ ใช่มั้ย?
ถ้าประเด็นนี้ละลาบละล้วงในอาชีพคุณหมอเกินไป ขออนุญาตขอโทษไว้ล่วงหน้านะคะ
3. พรุ่งนี้เราคิดว่าเราจะลองถามคุณหมอเกี่ยวกับการรักษาประสาทขาของน้องดู
เรื่องที่คุณหมอไม่ได้แจ้งเราก่อน ควรหรือไม่ควรคะ?
รบกวนพี่ ๆ ในพันทิปด้วยนะคะ
พอดีน้องเราไม่เคยป่วยเลย พอป่วยทีนึงก็ค่อนข้างหนัก
ค่ารักษาก็หนัก จากป่วยพยาธิเม็ดเลือดวันแรกและวันที่ 2 ประมาณ 5000 แล้ว
กังวลเรื่องรักษาขาต่ออีก เพราะไม่รู้ว่าร่างกายของน้องที่ไม่รู้จะกลับมาเหมือนเดิมมั้ย
และเรื่องค่ารักษาด้วย เพราะเราเป็นคนออกเองทั้งหมด
ยังไงแนะนำได้นะคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
ปกติหมอหมาเจอโรคเพิ่มเติมแล้วรักษาเลยมั้ยคะ? จะแจ้งเจ้าของก่อนมั้ย
ขออนุญาตท้าวความตั้งแต่เริ่มต้นนะคะ
วันที่ 1 (30 ธันวาคม 2562) : คุณหมอ A
เราพาน้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลสัตว์แห่งหนึ่ง ทำประวัติน้องและแจ้งข้อมูลเจ้าของเรียบร้อย
เราเองตอนแรกเราสงสัยว่าน้องจะเป็นหัดสุนัข
เลยอยากให้คุณหมอทำการเทสให้ ซึ่งคุณหมอจัดการให้แล้วแจ้งว่าไม่เป็นหัด
เราเลยอยากให้น้องตรวจสุขภาพประจำปีไปด้วยเลย
คุณหมอเลยตรวจเลือด พบว่า
น้องมีเกล็ดเลือดต่ำ มีภาวะเป็นพยาธิเม็ดเลือด นอกนั้นสุขภาพทุกอย่างยังโอเคอยู่ (น้องอายุ 8 ปี)
คุณหมอก็สอบถามตามปกติว่าน้องกินข้าวได้มั้ย ซึมแค่ไหน
ซึ่งวันนั้นน้องกินได้ตามปกติ ยังวิ่งเล่นได้ อ้อนอยู่
คุณหมอเลยให้ยาและสามารถพากลับบ้านได้ และกำชับให้ป้อนยาน้องให้ตรงเวลา
เย็นวันนั้นน้องกินข้าวและกินยาได้ตามปกติ
วันที่ 2 (31 ธันวาคม 2562) : คุณหมอ A
น้องกินยามื้อเช้า (ยาบำรุงเลือด) แล้วซึมมากขึ้นหน่อย
ช่วงบ่ายน้องกระโดดขึ้นเก้าอี้มานั่งกับเราตามปกติ (ปกติแล้วเค้าจะติดเราตลอด มานั่งใกล้ ๆ ทุกครั้ง)
แล้วพอจะลงน้องกระโดดลงแต่ไม่กางขาแขนเหมือนที่เคยทำ เหมือนตกไปที่พื้นเลย
น้องเดินไม่ไหว กางขาแขนติดพื้นเลย เราเลยอุ้มน้องขึ้นมาแล้วปลอบ
แล้วหลังจากนั้นน้องก็ไม่กินอะไรอีกเลย กินแต่น้ำเปล่า (เดินไปกินเอง)
ช่วงเย็นเราเลยอุ้มไปหาหมออีกครั้ง และแจ้งคุณหมอ A เรื่องที่น้องตกจากเก้าอี้
เย็นวันนั้นหมอแจ้งว่า .......
ในเรื่องของพยาธิเมื่อวานเลือด น้องเกล็ดเลือดเท่าเมื่อวาน เม็ดเลือดแดงเท่าเมื่อวาน อัลตร้าซาวด์แล้วไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
แต่หมอกังวลเรื่องที่น้องไม่กินข้าวเลยอยากให้น้ำเกลือและให้ยาเข้าเส้น
หมอแจ้งว่า ถ้าลองแอดมิทน้องอาจจะสดชื่นแล้วก็มีแรงเร็วกว่าที่เราป้อนยาเอง
ตรงนี้เราเข้าใจและยินดีให้คุณหมอพาน้องแอดมิท คุณหมอบอก 24 ชั่วโมงน่าจะเห็นผลว่าดีขึ้น
เราเลยตกลงให้น้องแอดมิท (เพราะ ตอนนั้นน้องยืนไม่ได้เลย เราอุ้มไว้ตลอด)
ช่วงค่ำเราเลยไปเยี่ยมน้องอีกครั้งก่อนโรงพยาบาลปิด
น้องสดใสขึ้นมาก ๆ ยืนเกาะกรงแล้วก็ตะกุยมือเราได้แล้ว ยื่นจมูกมาดม กระชับกระเฉงขึ้นมาก
พอออกจากห้องที่เยี่ยมน้อง ได้คุยกับคุณหมอซักพัก
คุณหมอบอกน้องดีขึ้นจริง ๆ กินข้าวเองได้ ไม่ซึม ไม่ร้อง พรุ่งนี้น่าจะพาน้องกลับได้
เราเลยกลับบ้านแล้วรอครบ 24 ชั่วโมงเพื่อไปรับน้องวันรุ่งขึ้น
วันที่ 3 (1 มกรมคม 2563) : คุณหมอ B
ช่วงเย็นเราไปเยี่ยมน้องตามที่คุณหมอ A แจ้งเมื่อวาน
ใจเราคิดว่าน้องได้กลับบ้านพร้อมกันแล้วแน่ ๆ
ปรากฏว่าเป็นคุณหมออีกคนนึง (ไม่ใช่คนเดียวกับเมื่อวานนี้)
เราก็ไม่ได้ติดใจอะไร เข้าใจว่ามีเข้าออกเวร
และเราค่อยข้างเชื่อใจคุณหมอและโรงพยาบาลจากเสียงที่บอกต่อกัน
นั่งรอในโรงพยาบาลได้ซักพัก คุณหมอก็ออกมาคุย
ซึ่งคุณหมอ B บอกเราว่า .........
"อาการน้องยังไม่ดีขึ้น หมอยังอยากให้น้องรอดูซัก 3-5 วัน"
เราอึ้งซักพัก งงด้วยว่าทำไมเมื่อวานคุณหมอ A บอกน้องโอเคขึ้นแล้ว
เลยถามคุณหมอ B ว่าน้องไม่ดีขึ้นเลยหรอ (เพราะใจเราคาดหวังจากที่คุยกับคุณหมอ A เมื่อวาน)
คุณหมอ B แจ้งว่า เรื่องพยาธิเม็ดเลือดของน้องโอเคขึ้นนะ
เกล็ดเลือดจาก 41000 วันนี้เป็น 50000 แล้ว น้องกินข้าวได้เองเหมือนเดิม
สดชื่นขึ้น เราเข้าไปหาน้องพยายามลุกขึ้นมาหาเรา มาดม มาคลอเคลียด้วย
จากนั้น คุณหมอ B แจ้งว่าน้องมีอาการขาหลังอ่อนแรง เดินไม่ได้ น่าจะเกิดจากการตกจากที่สูง
เราเลยแจ้งคุณหมอ B ว่าเมื่อวาน (31 ธันวา) น้องตกจากเก้าอี้แล้วขาแบะไม่เดินอีกเลย
คุณหมอเลยบอกว่า น่าจะเป็นที่ระบบประสาทข้อ 15 - 1 อะไรซักอย่าง (อันนี้จำชื่อไม่ได้จริง ๆ ค่ะ ขออภัยด้วย)
ทำให้น้องขาอ่อนแรง หมอกังวลตรงนี้
แต่เมื่อวานหมอให้สเตียรอยด์ไปน้องตอบสนองได้ดีขึ้น
หมอเลยอยากลองดูอีก 3-5 วันแล้วให้สเตียรอยด์พร้อมให้ยาพยาธิเม็ดเลือดเข้าเส้นก่อน
ว่าน้องอาการดีขึ้น แล้วตอบสนองสเตียรอยด์ต่อมั้ย
เราเลยคุยกับแม่ว่าเอายังไงดี เพราะมีเรื่องค่ารักษาเข้ามาด้วย
คุณหมอ B แจ้งเรื่องค่ารักษาดูอาการเบื้องต้นว่า 1500 - 1800 แต่หมอจะคุมให้ไม่เกิน 1800
แล้วดูอาการเป็นรายวันไป แม่เราเลยบอกว่าถ้าอย่างงั้นให้คุณหมอลองรักษาดูซัก 3 วัน
เราเลยตกลงตามนั้นแล้วแจ้งคุณหมอ B ไปว่าเราจะมาเยี่ยมทุกวันและอัพเดทอาการเป็นวันต่อวัน
ตอนนั้นเราตกใจและเสียใจมากกับอาการเดินไม่ได้ของน้องตามที่คุณหมอแจ้ง
เพราะน้องอายุ 8 ขวบแล้วไม่เคยป่วยเลย นี่เป็นการป่วยครั้งแรกและเป็นทีเป็นค่อนข้างหนัก
เราตกลงตามที่เราพอจะจ่ายไหวและอยากเห็นน้องอาการดีขึ้น
เราใช้เวลาซักพักในการคิดเรื่องน้องและเรื่องที่คุณหมอ B แจ้ง
สิ่งที่เราติดใจหลังจากกลับมาจากโรงพยาบาล (และรบกวนสอบถามเพื่อน ๆ ในพันทิป) คือ
1. ถ้าคุณหมอจะรักษาน้องเพิ่ม โดยไม่ใช่อาการที่เราตกลงกันตอนแรก (ไปหาหมอเพราะพยาธิเม็ดเลือด)
ปกติแล้วคุณหมอไม่โทรแจ้งหน้าของก่อนเหรอคะ ว่าจะรักษาเพิ่ม หมอเจออาการเพิ่ม ทำนองนี้
2. คุณหมอ B แจ้งว่า เมื่อวานให้สเตียรอยด์น้อง แล้งน้องตอบสนองอาการดีขึ้น
เลยอยากให้น้องลองดูอีกซัก 3-5 วัน
อันนี้เราสงสัยเป็นการส่วนตัวว่า ปกติแล้วพยาธิเม็ดเลือดต้องให้ยาที่เกี่ยวข้องกับสเตียรอยด์ด้วยมั้ย
ทำไมคุณหมอ B ถึงแจ้งว่า ให้เพราะรักษาร่วมกันไป
ประเด็นนี้ เราเคารพสิ่งที่คุณหมอตัดสินใจรักษานะคะ
แต่เราอยากทราบเพิ่มเติมว่าจริง ๆ แล้ว มันต้องให้จริง ๆ ใช่มั้ย?
ถ้าประเด็นนี้ละลาบละล้วงในอาชีพคุณหมอเกินไป ขออนุญาตขอโทษไว้ล่วงหน้านะคะ
3. พรุ่งนี้เราคิดว่าเราจะลองถามคุณหมอเกี่ยวกับการรักษาประสาทขาของน้องดู
เรื่องที่คุณหมอไม่ได้แจ้งเราก่อน ควรหรือไม่ควรคะ?
รบกวนพี่ ๆ ในพันทิปด้วยนะคะ
พอดีน้องเราไม่เคยป่วยเลย พอป่วยทีนึงก็ค่อนข้างหนัก
ค่ารักษาก็หนัก จากป่วยพยาธิเม็ดเลือดวันแรกและวันที่ 2 ประมาณ 5000 แล้ว
กังวลเรื่องรักษาขาต่ออีก เพราะไม่รู้ว่าร่างกายของน้องที่ไม่รู้จะกลับมาเหมือนเดิมมั้ย
และเรื่องค่ารักษาด้วย เพราะเราเป็นคนออกเองทั้งหมด
ยังไงแนะนำได้นะคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ