หลังจากที่บอกว่า จะ จะ แล้วก็จะ รีวิว การขึ้นเขาช้างเผือกมาเนิ่นนาน ได้เวลาซักที แถมนี่ก็เป็นการรีวิวครั้งแรกด้วย
จริงๆ แล้วก็อยากเก็บเป็นบันทึกไว้ให้ตัวเองด้วย แต่แล้วคิดว่าลองแบ่งปันประสบการณ์
ความตื่นเต้นเต้นของตัวเองด้วยเลยละกัน เผื่อจะเป็นประโยชน์กับสาวๆ ที่อยากไปกับ "เขา" ซักครั้งในชีวิต
ช่วงนี้เมื่อปีที่แล้ว คงเป็นความท้าทายในชีวิตครั้งแรกในการขึ้นเขา ธรรมดาซะที่ไหน ขึ้นเขาครั้งแรก ก็
“เขาช้างเผือก” กันเลยจ้า…. เขาที่เขาว่ากันว่าโหด ตั้งแต่โทรจอง 555 หลายคนอาจจะไม่รู้จัก เขาช้างเผือก ว่าแล้วมันเป็นยังไง อยู่ที่ไหน ก็ต้องเท้าความกันนิด (เล่าประหนึ่งเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน) “เขาช้างเผือก” ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ได้ชื่อว่าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของอุทยานฯ ความสูง 1,249 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ส่วนเส้นทางเดินป่า เป็นป่าโปร่งสลับกับทุ่งหญ้า ระยะทางเดินเท้าประมาณ 8 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 4-5 ชั่วโมง แล้วแต่ความมุมานะของตัวเองและทีม “เขาช้างเผือก” เปิดให้ขึ้นช่วงเดือนพฤศจิกายน - มกราคม ของทุกปี (หรือโปรดติดตามประกาศจากอุทยาน อย่างใกล้ชิด) จุดไฮไลท์สำคัญของการขึ้นเขาช้างเผือก ที่เขาว่ากัน นั่นก็คือ “สันคมมีด” นั่นเอง…...
ทริปนี้ เราไปกับทีม “.....ทัวร์” (ถ้าอยากรู้ชื่อทัวร์ก็ถามกันอีกทีนะคะ ไม่แน่ใจว่าจะผิดกฎมั้ย ถ้าระบุชื่อทัวร์เลย 555) ก็แน่นอนล่ะ ไม่มีประสบการณ์เที่ยวแอดเวนเจอร์แบบนี้ จะไปลุยเดี่ยว ตายเอาดาบน้ำ ก็ดูจะไม่เข้าท่า หลังจากที่ เพจ....ทัวร์ ประกาศว่า “เขาช้างเผือก” เปิดจองแล้ว ก็จัดฮะ ก็ลุ้นกันที่หน้าเพจทุกวัน เนื่องจากอุทยานฯ จำกัดคนขึ้นเขาช้างเผือกให้มีแค่ 60 คน/วัน (ตอนแรกก็สงสัยนะ ทำไมไม่ให้ขึ้นไปเยอะๆ ล่ะ จะได้มีรายได้เยอะๆ พอขึ้นไปเท่านั้นแหละ เก็ท… ไหนจะที่หลับที่นอน ห้องน้ำห้องท่า การดูแลความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่อุทยาน พี่ๆ ทหาร) ก็เหมาะสมแล้วค่า…. ไม่เถียงซักคำ
“ขึ้นเป้” เอาแระ ละมันคือยังไงล่ะ ก็ต้องทำการบ้านพอสมควร อะไรที่ควรเอาไป โน่นก็ดี นี่ก็ดี เยอะไปหมด เสื้อผ้า กางเกงเดินเขา ปลอกแขน รองเท้าเดินเขา กระติกน้ำพกพา หยูกยา ผ้าห่ม หมอนลม และอื่นๆ อีกมากมายที่ยัดไม่ลง เลยต้องเอาออกในท้ายที่สุด 555
ออกตัวกันในกรุงเทพฯ รวมผู้ร่วมชะตากรรมทั้งหมดแล้วออกเดินทางจากกรุงเทพประมาณ 3 ทุ่ม แล้วก็ถึงอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ประมาณตี 4 นอนเล่นรอบนรถอีกนิด อากาศดีมาก เย็นๆ มีคนมานอนรอตรงหน้าอุทยานด้วย (สุดจริง) พอที่ทำการเปิด ก็เดินสะลึมสะลือ เข้าไปล้างหน้าแปรงฟันกันในที่ทำการอุทยาน แล้วก็เข้าไปจัดการเรื่องเอกสารกันตอนเช้ามืด ตี 5 ไรงี๊ ต้องมีบัตรประชาชนตัวจริง แล้วก็ทำประกันอุบัติเหตุ กันด้วย (เอาจริงๆ ก็ไม่แพงหรอก ทำเถอะ) จัดการเรื่องเอกสารเสร็จก็มุ่งหน้าต่อไปอีกหน่อย
อันนี้อีกเรื่องนึง ตอนที่เจ้าหน้าที่อุทยานเช็คชื่อคนที่จอง แล้วก็เทียบกับบัตรประชาชนตัวจริง เพื่อยืนยันการขึ้นเขา พี่ๆ ทีมงานเล่าให้ฟังว่า มีบางคนจองแล้วไม่มา น่าเสียดายแทนคนที่เค้าโทรไม่ติด โทรมาติดแล้วเต็มบ้างไรบ้าง ก็เลยมีบางคน บางกลุ่ม ที่โทรมาจองไม่ได้แบบนั้น มาวัดดวงกันหน้างานก็มี แต่ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงนะ ถ้าเต็มก็ไม่ได้ขึ้น
หลังจากจัดการเรื่องเอกสารเสร็จ เราก็ไปทานอาหารเช้ากันที่ หมู่บ้านอิต่อง ปิล๊อก บรรยากาศดีเว่อ ทานอาหารเสร็จก็ไปที่ จุดจัดการลูกหาบ จัดการเรื่องน้ำหนักกระเป๋า สัมภาระที่จะไปต่อ แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับขึ้นเขากันเลยจ้า พี่ๆ ทหารและทีมงานแจ้งว่า จะเริ่มเดินขึ้นเขาช้างเผือกกันราวๆ 8-9 โมง
เริ่มละจ้า….กรุ๊ปเราที่เดินขึ้นเขาด้วยกัน มีกัน 11 คน (ดุ๊ก พี่ลัก พี่พงศ์ น้องแชมป์ ชิน พี่ชาติ เฮียป้อม เจ๊รี เจ้าพลอย ปีใหม่ และเรา) มีพี่ทหารปิดท้าย ดู VIP เว่อ รูปอาจจะไม่ครบทุกคน....
ระหว่างทางก็เดินไปเรื่อยๆ เหมือนจะชิว ซักพักเริ่มไม่ชิว แต่ระว่างทางก็มีทีมอื่น พอถึงจุดพักก็แลกเปลี่ยนเม้ามอยความเหนื่อยล้ากัน
ซักพักแสงแดดที่แผดเผาก็เริ่มมา ร้อนมาก
ต้องบอกก่อนว่า วิวสองข้างทางสวยมาก ความพาโนรามา 360 องศา ยิ่งกว่าใช้แอ๊ป อยากถ่ายรูปทุกช็อต แต่เอาตัวเองยังไม่รอด เลยไม่ค่อยได้หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปดีๆ อย่างที่คิด (ไว้ซ่อมรอบหน้า....หราาาาา)
อ้อ.... อยากจะบอกว่า สิ่งที่พลาดอีกอย่างคือ การลืมเอารองเท้าเดินเขามา (อุตสาห์ถอยมาใหม่) คือได้เป็นรองเท้าวิ่งในการขึ้นเขา ซึ่งสำหรับมือใหม่ในการขึ้นเขาครั้งแรกอย่างเรา นี่คือปังมาก ปังพินาศ… ความพังคือ รองเท้าลื่น ไม่เกาะพื้นผิว ในขณะที่ 2 ข้างทางอันตรายมาก มีความชัน
บางจังหวะที่เป็นทางชัน ด้วยความที่รองเท้าไม่ได้เกาะพื้นผิวอย่างที่ควรจะเป็น สิ่งที่เกาะได้ดีนั่นก็คือ….. ก้นนาจา ใช่ข่ะ ไถลมาข่ะ เหมือนใช้ก้นลง แล้วค่อยๆ ไถลๆ อย่างช้า คือพังจิง…. แต่มันเวริก์นะ ไม่งั้นก็ลื่นตกเขาตายได้ ถ้าดันทุรังใช้เท้าลง
ผลก็คือ ตะคริว ตะคริว และตะคริว ที่นิ้วเท้าเอย น่องเอย คือเป็นบ่อยมากๆๆๆ เกรงใจเพื่อนร่วมทริป กับ"พี่ทหาร" มากๆ บอกให้เดินไปก่อนก็ไม่ไปจ้า โดยเฉพาะ "เฮียป้อม" คอยประกบสาวๆ ที่รั้งท้าย ดูแลตลอด ไล่ ก็ไม่ไป…
เวลาผ่านไป 4 ชั่วโมงแล้วววว.....
"ยิ่งเดินยิ่งไกล มืดไปจนไม่เห็นทาง ยิ่งรักยิ่งห่าง จืดจางลงไปทุกวัน" "กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็คงไม่ถึง"
"ไม่รู้ .. มันเริ่มจากตรงไหน และ .. ไม่รู้ว่าจะจบลงเช่นไร" "ฉันมาทำ อะไร ที่นี่ ฉันมาทำ อะไร ที่นี่" นี่ไม่ต้องบอกว่าเกิดยุคไหน
เห็นที่ว่างๆ หย่อมๆ ตรงนั้นมั้ยยยย นั่นแหละลานกางเต๊นท์ ที่พักคืนนี้ของพวกเรา
ถึงลานกางเต๊นท์ตอนเกือบบ่าย 2 สิริใช้เวลาเดินเท้า 5 ชั่วโมง 555 หลังจากนั้นเก็บสัมภาระเข้าเต๊นท์ เนื่องจากทีมสตาฟ และลูกหาบ ได้เดินชิวๆ เหมือนเดินบนรันเวย์ ไปแล้วล่วงหน้า กางเต๊นท์ หุงหาอาหารให้แล้วเสร็จ พอเอาของเข้าเต๊นท์เท่านั้น ก็แบบ มันจะมีจุดนึง ที่ใครหลายคนที่มาถึงนี่ หยุดแค่ตรงนี้ ไม่ไปต่อ เพราะความเหนื่อย ไปไม่ถึง “สันคมมีด” ที่หวาดเสียวหรือจุดวัดใจที่ร่ำลือ ซึ่งต้องเดินต่อไปอีกหน่อย ประมาณ 800 เมตร จากลานกางเต๊นท์
มาถึงนี่แล้ว… จะพลาดเหรอ ไปต่อสิคะ รออะไร บ่าย 3 กว่าๆ ก็ขึ้นไป แน่นอนค่ะ เราก็ไปกรุ๊ปท้ายสุดเหมือนเดิม พี่ทหารก็รั้งท้ายเหมือนเดิม ระหว่างทางที่จะขึ้นไป ค่อนข้างชัน ไม่ 90 องศาไปเลยล่ะ และแล้วก็ถึงสันคมมีด คือ…. มันคือหินขนาดความกว้างไม่เกิน 20 ซม. เป็นทางเดินไป 2 ฝั่งก็คือ เหว นั่นเอง แต่ ณ จุดนี้ พี่ทหารอยู่กันเยอะ ประกบต้นทางและปลายทาง แต่ระหว่างทางก็มีเชือกที่หินไว้ให้จับ อยากยืนนะ แต่มันไม่ได้จริงๆ ได้แต่คลานเข่า ตามฉบับกุลสตรี
ถึงจุด เช็คพอยท์ จุดสูงสุด ชมทิวเขาช้างเผือกได้ดีที่สุด ก็ได้แต่นั่งมองคนอื่นมีความสุขกันไป ถ่ายรูปกันเพลิน นี่ก็ถ่ายไรไม่ได้ ได้แต่นั่งมองตาละห้อย ทีหลังจะเอาขาตั้งกล้อง ไม้เซลฟี่ แบกไป ยอม…. พูดเลยยย
หลังจากดื่มด่ำบรรยกาศด้านบนก็ต้องรีบกลับลงมา เพราะถ้าเย็นแล้วลงมาไม่ทัน คืออันตราย แต่พี่ๆ ทหารก็ยังคงรออยู่ที่จุดเดิม คือต้องตะกายลง เพราะเราไม่รู้ว่าปลายเท้าเราจะลงตรงไหน เนื่องจากมองไม่เห็น พี่ๆ ทหารก็คอยจับเท้าเพื่อ ให้เราวางเท้าลงมากันได้อย่างปลอดถัย
หลายๆ คน สงสัยแล้วได้อาบน้ำ เข้าห้องน้ำมั้ย ไม่ค่า ไม่ได้อาบน้ำ เนื่องจากลานกางเต๊นท์ ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ ที่มีน้ำก็คือ พวกเราที่หิ้วมากัน หรือที่ให้ลูกหาบหิ้วมาแค่นั้น ส่วนห้องน้ำนั้น ก็เป็นเอิ่มมมม…… ส้วมหลุม… ใช่ค่า ส้วมหลุม เราไม่ได้เข้าไปนะ ไม่มีธุระที่ต้องเข้าไป ทำได้แค่ล้างหน้าแปรงฟัน ชมวิวพาโนรามา 2 ข้างทางเท่านั้น
ตกกลางคืนก็แคมปิ้งรอบกองไฟ ทำกับข้าวกินกันภายใต้เพิงมาแหงน นั่งดูทางช้างเผือก และดาวเต็มท้องฟ้า น้องที่ไปด้วยกัน
“เจ้าพลอย” ถ่ายรูปดาวเก่งมาก เทคนิคแอดแว๊น (ขออนุญาตยืมเจ้าของภาพ) ไม่เคยเห็นทางช้างเผือกมาก่อน ได้เห็นก็คราวนี้แหละ…
ช่วงดึกที่นี่หนาวและลมแรงมากๆ อุณภูมิประมาณ 13-15 องศา ไม่รวมแรงลม
นอนเต๊นท์ปกติ ก็ค่อนข้างจะไม่สบายแล้ว เจออากาศที่เย็นไปอีก ไหนจะถูกจำกัดด้วยการขนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกขึ้นไป ก็ต้องนอนอย่างงั้นละจ้า (คือปกติ พร๊อพก็จะเยอะๆ หน่อย)
เช้าวันรุ่งขึ้น ดื่มด่ำบรรยากาศยามเช้า แล้วก็เก็บสัมภาระเดินลงเขา ประมาณ 8 โมงกว่าๆ มาทางไหนก็กลับทางนั้น แค่นึกถึงเส้นทางขากลับ ก็ ไม่รอช้า รีบเลยจ้า เด๋วจะร้อนไปกว่านี้ ระหว่างทางกลับก็เหมือนเดิม ตะคริวน้อยลงกว่าขาขึ้น แต่ก็ใช้ก้นไถลลงมาเหมือนเดิม 555
ⓜ ⓔ ⓜ ⓞ ⓡ ⓨ บันทึกประสบการณ์กับ "เขา"ช้างเผือก ◕‿◕
ทริปนี้ เราไปกับทีม “.....ทัวร์” (ถ้าอยากรู้ชื่อทัวร์ก็ถามกันอีกทีนะคะ ไม่แน่ใจว่าจะผิดกฎมั้ย ถ้าระบุชื่อทัวร์เลย 555) ก็แน่นอนล่ะ ไม่มีประสบการณ์เที่ยวแอดเวนเจอร์แบบนี้ จะไปลุยเดี่ยว ตายเอาดาบน้ำ ก็ดูจะไม่เข้าท่า หลังจากที่ เพจ....ทัวร์ ประกาศว่า “เขาช้างเผือก” เปิดจองแล้ว ก็จัดฮะ ก็ลุ้นกันที่หน้าเพจทุกวัน เนื่องจากอุทยานฯ จำกัดคนขึ้นเขาช้างเผือกให้มีแค่ 60 คน/วัน (ตอนแรกก็สงสัยนะ ทำไมไม่ให้ขึ้นไปเยอะๆ ล่ะ จะได้มีรายได้เยอะๆ พอขึ้นไปเท่านั้นแหละ เก็ท… ไหนจะที่หลับที่นอน ห้องน้ำห้องท่า การดูแลความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่อุทยาน พี่ๆ ทหาร) ก็เหมาะสมแล้วค่า…. ไม่เถียงซักคำ
เช้าวันรุ่งขึ้น ดื่มด่ำบรรยากาศยามเช้า แล้วก็เก็บสัมภาระเดินลงเขา ประมาณ 8 โมงกว่าๆ มาทางไหนก็กลับทางนั้น แค่นึกถึงเส้นทางขากลับ ก็ ไม่รอช้า รีบเลยจ้า เด๋วจะร้อนไปกว่านี้ ระหว่างทางกลับก็เหมือนเดิม ตะคริวน้อยลงกว่าขาขึ้น แต่ก็ใช้ก้นไถลลงมาเหมือนเดิม 555