***ก่อนอื่นเราต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ให้กำลังใจและคำแนะนำกับเราใน EP.1 นะคะ
https://m.pantip.com/topic/39519495?
จะนำคำแนะนำเหล่านั้นมาปรับใช้ให้ตัวเองดีขึ้นค่ะ
วันนี้จะมาเล่าเรื่องซึมเศร้ากันต่อค่ะ รวมถึงเรื่องการเรียนที่ผ่านมาของเราด้วย
เราเริ่มมีอาการมาประมาณ 4 ปีแล้ว แต่ไม่เคยยอมรับและคิดว่าคงเป็นแค่เครียด เดี๋ยวก็หาย
รู้สึกได้ครั้งแรกว่าตัวเองไม่ปกติตอนสอบ TU - GET (วัดระดับภาษาอังกฤษ) เมื่อม.6 ค่ะ เพื่อนำคะแนนไปยื่นแพทย์อินเตอร์ของ TU
ตอนม.6 คือมีความเครียดสูง เนื่องจากฝันของเราคือการเข้าคณะแพทยศาสตร์ ซึ่งยากมากสำหรับเรา
เราไม่ใช่เด็กเรียนเก่งเทพอะไร เป็นแค่เด็กธรรมดาที่ฝันอยากเป็นแพทย์ (แต่ก็เป็นเด็กเรียนค่อนข้างดีค่ะ)
เล่าเหตุการณ์ตอนสอบ 1 ชม.แรกยังปกติ แต่อยู่ดีๆมันก็เครียดมากขึ้นมา(สอบทั้งหมด3ชม.) ทำให้เราแพนิค มีอาการมือสั่น หัวใจเต้นเร็ว หวาดกลัว มือเย็น มึนหัว เหมือนจะล้มจากโต๊ะสอบ ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจว่ากลัวอะไร แต่กลัวมากทำให้2ชม.หลังที่เหลือ เราไม่โฟกัสได้ดีนัก จุดโฟกัสเรากลายเป็นอาการแพนิคว่าต้องทำยังไงดีให้คนอื่นไม่รู้สึกว่าเราไม่ปกติอยู่ และต้องทนทำข้อสอบให้เสร็จ
เมื่อคะแนนออกมาก็ได้ผ่านเกณฑ์ค่ะ สามารถยื่นเข้าแพทย์ได้ ได้มา 730 คะแนน/1000 คะแนน
(ทางมหาวิทยาลัยต้องการ 550 อย่างต่ำ) แต่ก็ต้องมีการสอบวิชาการเพิ่มอีก (ฟิสิกส์,เคมี,ชีววิทยา,คณิต) ถ้าผ่านก็ได้รับเรียนก็สัมภาษณ์ซึ่งสัมภาษณ์ที่นี่และระบบแพทย์อินเตอร์อื่นๆในไทยมันยากขึ้น เป็นแบบ MMI (mini multiple interviews) คือจะเจออาจารย์หลายๆคน หลายๆด่าน แต่ละด่าน(ห้อง)ก็มีโจทย์ต่างกัน วัดจรรยาบรรณ ลักษณะนิสัยเรา บุคคลภาพ ความมุ่งมั่น ความมั่นใจ ไหวพริบ ความอดทน ฯลฯ ว่าเหมาะสมกับการเรียนคณะที่ยากนี้ได้หรือไม่ ผลออกมาเราไม่ผ่านไปถึงสัมภาษณ์เพราะตอนนั้นเราอ่อนฟิสิกส์ และ คณิตศาสตร์
ตอนนั้นก็รู้ตัวว่าอ่าน 2 วิชานี้ไม่ทันเพราะไม่ถนัดด้วย เลยคิดว่าจะซิ่วแน่ๆ
จากนั้นเราเลยแอดมิชชันเข้าคณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยนี้ตอนทราบว่าไม่น่าจะติดแพทย์ได้ในปีนั้น(เพราะก็อยากมีที่เรียนเหมือนเพื่อนๆและก็คิดว่าเรียนสายนี้ก็คงจะได้ทบทวนเนื้อหาด้วย) เราเข้าไปด้วยคะแนนสูงสุดของภาค และผ่านการทดสอบภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยจัดขึ้นกับนักเรียนใหม่ เราเป็นคนเดียวในภาคที่ได้คะแนนสูงจนไม่ต้องเรียนภาษาอังกฤษตัวใดๆเลยตลอด 4 ปีในคณะวิทยาศาสตร์(ถ้าเราเรียนต่อ) อาจารย์ที่นั้นใจดีเห็นอกเห็นใจนักเรียน โดยเฉพาะอาจารย์ที่ปรึกษาเราที่คอยช่วยเหลือ ดูแล ให้คำแนะนำเสมอ ทั้งๆที่ท่านทราบดีตั้งแต่วันแรกแล้วว่าความฝันเราคือแพทย์ แต่อาจารย์ไม่ได้ต่อต้านอะไรเลย แถมยังเขียน Recommendation letter ให้เราอีก แต่เราเรียนไปได้เทอมเดียวก็ลาออกเพราะคิดว่าไม่ใช่ความฝันเราเราพอใจแล้วและจะเตรียมตัวอ่านหนังสือต่อที่บ้านเพราะเห็นว่าเข้าไปเรียนมันจะมีงาน ทำให้อ่านได้ไม่เต็มที่ แต่ประสบการณ์ที่นั่นดีมาก ได้พบอาจารย์ดีๆและได้มิตรภาพดีๆ ไม่ถือเป็นการเสียเวลาสำหรับเรา
มีหลายคนบอกให้เราล้มเลิกความฝันที่เกินตัว เรียนต่อไปดีกว่า ไม่ก็เข้าคณะที่เข้าง่ายกว่าแพทย์นิดนึง ก็ช่วยคนได้เหมือนกัน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราอยากทำ ไม่ใช่ความฝัน เราคงไม่มีความสุขกับมัน และที่บ้านก็ไม่มีใครมีปัญหากับการตัดสินใจต่างๆของเรา ไม่มีปัญหาทางการเงิน เราคิดว่าเราโชคดีกว่าหลายๆคนที่เขาไม่ได้โอกาสตรงนี้ แล้วทำไมเราถึงไม่ตามฝันให้สำเร็จหละ จะไปฟังคำดูถูกหรือเอาตัวเองไปเทียบกับเพื่อนๆที่มีที่เรียนแล้วทำไม เส้นทางเราไม่เหมือนกัน I have my own pace เราอาจเดินช้ากว่าคนอื่นแต่เราเดินตามทางของเรา ไม่เดินสับไปมา
เราไม่ได้อยากได้แค่ใบปริญญาที่ในสังคมไทยส่วนใหญ่ตัดสินคนว่า ทุกคนต้องเรียนจบมีใบปริญญาให้ครอบครัวภูมิใจ
เราคิดว่าการไปเรียนระดับสูงขนาดนี้คือการเข้าไปรับความรู้เพื่อมาประกอบอาชีพในอนาคต ไม่ใช่แค่ติดที่ไหนมหาวิทยาลัยอะไร คณะอะไรก็ได้ ขอแค่ได้คำว่าเรียนจบและได้ใบปริญญา แต่กรณีคนที่จบมาไปทำอย่างอื่นแล้วเขามีความสุขนั่นก็คือสิ่งที่เขาภูมิใจและเลือกเองเรายินดีที่เขาตามฝันได้และค้นพบความสุขของตัวเองเจอ แต่คนที่เราเจอๆมาและไม่ชอบคือตัวเองก็มีมหาวิทยาลัยเรียนแต่ยังไม่รู้เลยจะทำอะไรแถมยังมาว่าเราว่าทำไมไม่เรียนซักที จะเป็นทำไม "แพทย์" เสียเวลามาเยอะแล้วนะ แต่ในความคิดเรา เราเพิ่งอายุ20ต้นๆ ไม่รู้สึกว่าสิ่งที่เราจะทำมันสายเกินไปเลย เทียบกับอาชีพที่เราต้องอยู่กะบมันไปอีกตลอดชีวิตการทำงาน
เราไม่เคยดูถูกใครก่อน เรามีเพื่อนๆดีๆเรียนหลายๆสายอาชีพ มหาวิทยาลัยดีๆ หรือไม่ก็มีอาชีพดีๆ คนส่วนใหญ่ที่มีมารยาทจะให้เกียรติในการตัดสินใจซึ่งกันและกัน และพอพวกเขารู้ว่าเราลาออกจากคณะแพทย์ที่เก่า ยังคงให้กำลังใจด้วยซ้ำ
แต่เวลาเราเจอคนแบบที่เราเคยเจอ ที่มาบอกให้เราหาอย่างอื่นเรียนๆไปเถอะ เราตอบกลับพวกเขาบางคนเลยว่า พวกคุณจบมาแล้วอยากทำอะไรหละ มีแผนยัง คนเหล่านั้นมักตอบว่ายังไม่มี และเราก็บอกไปว่า สำหรับเรานะ ไม่ต้องมีใบปริญญาเลยก็ได้ เราสามารถทำธุรกิจต่อที่บ้านได้เลย คุณพ่อเราเป็นเจ้าของกิจการ เขาบอกเองว่าจะสอนงานให้เราทุกอย่างถ้าเราจะมาทางนี้ แล้วปริญญากระดาษที่พวกคุณอยากได้กันหนักหนานั้นมันไม่สำคัญกับเรา แต่ถ้าเราตัดสินใจแบบนั้น เราก็คงจะเรียนสายธุรกิจไปเลย เพื่อให้มีความรู้และไม่ให้คนอื่นมาดูถูกได้ง่ายๆ และสานต่อกิจการครอบครัว
หลังจากลาออกจากคณะวิทยาศาสตร์ เราก็เห็นว่ามีการรับสมัครไปเรียนแพทย์ต่างประเทศที่มีเอเจนซี่ในไทยจัดสอบ แต่ตอนสอบและสัมภาษณ์จะมีอาจารย์จากที่นั่นบินมาโดยตรง เราสมัครและเตรียมอ่านหนังสืออย่างหนักและก็สอบติดคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยหนึ่งในทวีปยุโรป(ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ แต่เรียนเป็นภาคภาษาอังกฤษ)
ถ้าใครเล่นเด็กดีคงเคยเห็นผ่านตามาบ้าง เพราะเมื่อไม่นานมานี้เราเพิ่งไปตั้งและมันก็ค่อนข้างดัง ที่มีคนมาเขียนรีวิวประสบการณ์ที่นั่นที่ไม่ค่อยดีนักและเป็นโรคซึมเศร้า คนนั้นคือเราเอง
กระทู้นั้นเราไม่ได้กล่าวถึงชื่อประเทศ เมือง ชื่อสถาบัน หรือชื่อเอเจนซี่เลยด้วยซ้ำ มีแต่คนที่มาเดาๆกัน ผิดๆถูกๆ ซึ่งไม่ว่าจะเดาผิดถูกถ้ามีการพาดพิงถึงสถาบันใดๆ ทางเด็กดีก็จะลบทิ้งอยู่แล้วอย่างรวดเร็ว ซึ่งเราว่าทางเด็กดีทำถูกแล้ว
จุดประสงค์หลักของกระทู้นั้นคือแนะนำคนไทย สัญชาติไทย ถ้าเป็นไปได้ เรียน MD ในไทยจะดีที่สุดและจะประสบปัญหาต่างๆน้อยกว่ามาก
แต่ทางเอเจนซี่เห็นว่าเริ่มมีศิษย์เก่ามาสนับสนุนข้อเสียที่เรากล่าวไป (ซึ่งรุ่นพี่เหล่านั้นก็ทำแบบเรา ไม่เอ่ยถึงสถาบันหรือเอเจนซี่หรือชื่อประเทศหรือเมืองใดๆทั้งสิ้น) เอเจนซี่เลยออกมาตอบกระทู้เราเอง พร้อมทั้งแนบจดหมายจากมหาวิทยาลัยเก่าเราว่าเรามีการพาดพิงถึงสถาบันอย่างไม่เหมาะสม มีเนื้อหาที่รุนแรง
เหมือนลักษณะต้องการจะข่มขู่เรา แต่เราอ่านจดหมายแล้วเห็น paragraph แรกก็อยากเลิกอ่านแล้วค่ะ เพราะทางมหาวิทยาลัยกล่าวเลยว่า "ข้อมูลทั้งหมดได้รับการแปลมาจากทางตัวแทนในประเทศไทย (ก็คือเอเจนซี่) " มันจะไปเชื่อถือได้ยังไงหละคะ เขาแปลกระทู้เราบิดเบือนเข้าข้างตัวเองและใส่ร้ายเราต่างๆบางประเด็นอ่านแล้วงงเลยไปพิมพ์แบบนั้นตอนไหน ให้เพื่อนที่เรียนที่นั่นอ่านก็ไม่มีใครโอเคกับการกระทำนั้นกับเราของเอเจนซี่
เราจ่ายค่าโครงการให้เอเจนซี่เป็นหลักแสน ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินหรือค่าเรียนหรือค่าใดๆทั้งสิ้น เป็นแค่ค่าที่เขาจะจัดหารเอกสารสมัครให้เราและดูแลช่วยเหลือเราระหว่างการไปเรียนที่นั่น แต่พอไปถึงก็ไม่เห็นจะมีใครมาช่วยอะไรเรา เอกสารบางทีไม่ครบเรายังต้องไปหาเอง เราเลยไม่พอใจมากตอนนั้น
เนื้อหาในจดหมายจากทางมหาวิทยาลัยเราอ่านแล้วเข้าใจได้ว่าเขาทำหน้าที่แค่ตอบคำถามและชี้แจงประเด็นที่เอเจนซี่ส่งไป ไม่ได้มาประจานอะไรเราเลย เพราะไม่มีการใส่ชื่อเราลงไปในนั้นด้วยซ้ำ ถือว่ามหาวิทยาลัยให้เกียรติเรา และทางมหาวิทยาลัยก็มีการระวังตัวอย่างดีโดยกล่าวว่าข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับนั้นทางเอเจนซี่แปลมาให้ (ไม่ได้ไปอ่านเอง)
แต่ทางเอเจนซี่มาดิ้นกับกระทู้เรา พร้อมทั้งเฉลยว่าตัวเองเป็นเอเจนซี่ใด และประกาศชื่อมหาวิทยาลัยเสร็จสรรพ เหมือนมาเฉลยให้ทุกคนทราบซึ่งเราก็เห็นว่ามันดูตลก จุดประสงค์ของเอเจนซี่คือดูแลเด็กไม่ใช่หรอ แต่ที่ทำ ใครๆมาอ่านคงไม่สมัครไปเรียนผ่านคุณ
ถ้าเราเป็นเอเจนซี่ และฉลาดพอ เราจะอยู่เงียบๆดีกว่า เพราะมันก็แค่กระทู้รีวิวมหาวิทยาลัยจากมุมมองของเด็กคนหนึ่ง ไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าที่ไหน คนมาอ่านเขาก็ทำได้แค่เดาๆกันไป แต่คนวงในจะรู้ดีว่ามีกี่ที่ที่เป็นเช่นนี้ แต่ถ้ามาเดาตรงๆแม้จะถูกหรือผิดก็จะถูกลบคอมเมนท์ไปตามกฎของเว็ปไซต์เด็กดี
แต่ก็พอทราบมาบ้างว่าทางเด็กดีก็ได้รับ sponsored จากเอเจนซี่นี้ (ดูจากกระทู้อวยต่างๆที่เด็กดีลงเอง) และคอมเมนท์ของเอเจนซี่ที่มาตอบเราก็ได้รับการปักหมุดจากทีมงาน ซึ่งสำหรับเราไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะทางเด็กดีก็ยังเป็นกลางบ้างโดยยังคงไม่ลบกระทู้ของเราอยู่
ถ้าให้พูดเป็นประเด็นเลยข้อดีของมหาวิทยาลัยนั้นก็มี คือมี Ranking ที่ดีระดับนึง และมีมาตรฐานการสอบเข้าไม่ใช่ใครมีเงินจ่ายก็เรียนได้ และมีการสอบที่ยากและมีมาตรฐาน ไม่ใช่ใครไปนั่งเล่น ปาร์ตี้ วันๆไม่อ่านหนังสืออย่างหนักจะผ่านได้ แต่ข้อดีมันก็มีให้เห็นในกระทู้อวยของที่นี่ต่างๆหลายกระทู้แล้ว (บางคนไม่ได้เรียนต่อแล้วด้วยซ้ำแต่กระทู้อวยยังอยู่) เราเลยไม่รู้ว่าจะเขียนข้อดีอะไรมากกว่านั้นอีก เพราะบางอันก็อวยเกินจริง และจากที่ถามมาโดยตรง คนที่อยู่ในกระทู้เหล่านั้นไม่ได้กล่าวเช่นนั้นเองด้วย เหมือนทางเอเจนซี่มาขอข้อมูลเด็กๆ (เพื่อนเราก็โดน) และเอาข้อมูลบางส่วนไปดัดแปลงและใส่รูปใส่อะไรต่างๆลงไป โดยบางทีเจ้าตัวยังงงเลยไปพูดตอนไหน ซึ่งถ้าตามกฎหมายคือฟ้องได้เลย และยังมีการพาดพิงถึงสถาบันชั้นนำอย่าง Oxfords ว่าเก่าแก่เทียบเท่า (เก่าแก่คือสร้างมานานค่ะ ไม่ได้หมายความว่าจะไปเทียบเขาได้) หรือมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำต่างๆ ซึ่งจากที่เราเห็นรุ่นพี่ ก็ไม่เห็นมันจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย ไม่เคยเห็นใครไปแลกเปลี่ยนกับที่เหล่านั้นอย่างจริงจัง ซึ่งข้อมูลตรงด้านความร่วมมือนี้เราไม่ทราบแน่ชัดว่ามันไปร่วมมือกันตรงไหน ยังไง......
ส่วนข้อเสียที่เราเคยระบายไปก็คือความไม่ยุติธรรมในการสอบและความเอาใจใส่ของอาจารย์ต่อนักเรียน
drop out rate 50-60% ประมาณนี้ในปีของเรา และจากที่ดูมาปีอื่นๆก็ไม่ต่างกันมากนัก เราเห็นว่านักเรียนที่นั่นแทบทุกคนขยันมาก อาจารย์ไม่มีคะแนนช่วยใดๆ สอบคือคะแนน100% ทุกการสอบมี 3 attempts (สอบ1 ซ่อม2) ถ้าตกก็ไล่ออก
การสอบจะมี weekly tests (written) ต้องผ่านทุกๆการสอบ จะสอบทุกๆ1-2week ถ้าไม่ผ่านต้องไปนัดซ่อมส่วนตัวทางอีเมล ยุ่งยากมาก และซ่อมนั้นยากกว่าสอบในห้องอีก...และการสอบ credit test ก่อนปิดภาคเรียนจะยากกว่า weekly
ถ้าสอบทุกอย่าที่ว่ามาผ่านหมดแล้วก็ถึงจะมีสิทธิ์เข้าสอบ Final Exams (written + oral exams)
เราเห็นได้อย่างหนึ่งคือมหาวิทยาลัยคัดเลือเด็กเข้ามา แต่ drop out rate สูงขนาดนี้มันหมายถึงคุณไม่มีประสิทธิภาพในการ train นักเรียนใช่หรือไม่?
เราทราบดีว่าเรียนแพทย์มันต้องหนัก เพราะเราต้อง deal with ชีวิตคนในอนาคต มันไม่ใช่อะไรที่ง่ายอยู่แล้วตั้งแต่สอบเข้าพอเข้าไปก็เรียนหนักมาก
แต่การเรียนและสอบที่ไม่ยุติธรรม และ สภาพแวดล้อมที่กดดันเกินความจำเป็นไม่ใช่ระบบการศึกษาที่ดี มันไม่ใช่การเรียนที่ถูกต้องในความคิดเรา
ชีวิตการเรียนและสอบของคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเก่านี้ของเราขอไปเล่าต่อใน EP.3
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ
อดีตนักศึกษาแพทย์(ต่างประเทศ)ที่กำลังต่อสู้กับโรคซึมเศร้าและจะกลับมาเริ่มเรียนแพทย์ใหม่ที่ไทย EP.2
https://m.pantip.com/topic/39519495?
จะนำคำแนะนำเหล่านั้นมาปรับใช้ให้ตัวเองดีขึ้นค่ะ
วันนี้จะมาเล่าเรื่องซึมเศร้ากันต่อค่ะ รวมถึงเรื่องการเรียนที่ผ่านมาของเราด้วย
เราเริ่มมีอาการมาประมาณ 4 ปีแล้ว แต่ไม่เคยยอมรับและคิดว่าคงเป็นแค่เครียด เดี๋ยวก็หาย
รู้สึกได้ครั้งแรกว่าตัวเองไม่ปกติตอนสอบ TU - GET (วัดระดับภาษาอังกฤษ) เมื่อม.6 ค่ะ เพื่อนำคะแนนไปยื่นแพทย์อินเตอร์ของ TU
ตอนม.6 คือมีความเครียดสูง เนื่องจากฝันของเราคือการเข้าคณะแพทยศาสตร์ ซึ่งยากมากสำหรับเรา
เราไม่ใช่เด็กเรียนเก่งเทพอะไร เป็นแค่เด็กธรรมดาที่ฝันอยากเป็นแพทย์ (แต่ก็เป็นเด็กเรียนค่อนข้างดีค่ะ)
เล่าเหตุการณ์ตอนสอบ 1 ชม.แรกยังปกติ แต่อยู่ดีๆมันก็เครียดมากขึ้นมา(สอบทั้งหมด3ชม.) ทำให้เราแพนิค มีอาการมือสั่น หัวใจเต้นเร็ว หวาดกลัว มือเย็น มึนหัว เหมือนจะล้มจากโต๊ะสอบ ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจว่ากลัวอะไร แต่กลัวมากทำให้2ชม.หลังที่เหลือ เราไม่โฟกัสได้ดีนัก จุดโฟกัสเรากลายเป็นอาการแพนิคว่าต้องทำยังไงดีให้คนอื่นไม่รู้สึกว่าเราไม่ปกติอยู่ และต้องทนทำข้อสอบให้เสร็จ
เมื่อคะแนนออกมาก็ได้ผ่านเกณฑ์ค่ะ สามารถยื่นเข้าแพทย์ได้ ได้มา 730 คะแนน/1000 คะแนน
(ทางมหาวิทยาลัยต้องการ 550 อย่างต่ำ) แต่ก็ต้องมีการสอบวิชาการเพิ่มอีก (ฟิสิกส์,เคมี,ชีววิทยา,คณิต) ถ้าผ่านก็ได้รับเรียนก็สัมภาษณ์ซึ่งสัมภาษณ์ที่นี่และระบบแพทย์อินเตอร์อื่นๆในไทยมันยากขึ้น เป็นแบบ MMI (mini multiple interviews) คือจะเจออาจารย์หลายๆคน หลายๆด่าน แต่ละด่าน(ห้อง)ก็มีโจทย์ต่างกัน วัดจรรยาบรรณ ลักษณะนิสัยเรา บุคคลภาพ ความมุ่งมั่น ความมั่นใจ ไหวพริบ ความอดทน ฯลฯ ว่าเหมาะสมกับการเรียนคณะที่ยากนี้ได้หรือไม่ ผลออกมาเราไม่ผ่านไปถึงสัมภาษณ์เพราะตอนนั้นเราอ่อนฟิสิกส์ และ คณิตศาสตร์
ตอนนั้นก็รู้ตัวว่าอ่าน 2 วิชานี้ไม่ทันเพราะไม่ถนัดด้วย เลยคิดว่าจะซิ่วแน่ๆ
จากนั้นเราเลยแอดมิชชันเข้าคณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยนี้ตอนทราบว่าไม่น่าจะติดแพทย์ได้ในปีนั้น(เพราะก็อยากมีที่เรียนเหมือนเพื่อนๆและก็คิดว่าเรียนสายนี้ก็คงจะได้ทบทวนเนื้อหาด้วย) เราเข้าไปด้วยคะแนนสูงสุดของภาค และผ่านการทดสอบภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยจัดขึ้นกับนักเรียนใหม่ เราเป็นคนเดียวในภาคที่ได้คะแนนสูงจนไม่ต้องเรียนภาษาอังกฤษตัวใดๆเลยตลอด 4 ปีในคณะวิทยาศาสตร์(ถ้าเราเรียนต่อ) อาจารย์ที่นั้นใจดีเห็นอกเห็นใจนักเรียน โดยเฉพาะอาจารย์ที่ปรึกษาเราที่คอยช่วยเหลือ ดูแล ให้คำแนะนำเสมอ ทั้งๆที่ท่านทราบดีตั้งแต่วันแรกแล้วว่าความฝันเราคือแพทย์ แต่อาจารย์ไม่ได้ต่อต้านอะไรเลย แถมยังเขียน Recommendation letter ให้เราอีก แต่เราเรียนไปได้เทอมเดียวก็ลาออกเพราะคิดว่าไม่ใช่ความฝันเราเราพอใจแล้วและจะเตรียมตัวอ่านหนังสือต่อที่บ้านเพราะเห็นว่าเข้าไปเรียนมันจะมีงาน ทำให้อ่านได้ไม่เต็มที่ แต่ประสบการณ์ที่นั่นดีมาก ได้พบอาจารย์ดีๆและได้มิตรภาพดีๆ ไม่ถือเป็นการเสียเวลาสำหรับเรา
มีหลายคนบอกให้เราล้มเลิกความฝันที่เกินตัว เรียนต่อไปดีกว่า ไม่ก็เข้าคณะที่เข้าง่ายกว่าแพทย์นิดนึง ก็ช่วยคนได้เหมือนกัน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราอยากทำ ไม่ใช่ความฝัน เราคงไม่มีความสุขกับมัน และที่บ้านก็ไม่มีใครมีปัญหากับการตัดสินใจต่างๆของเรา ไม่มีปัญหาทางการเงิน เราคิดว่าเราโชคดีกว่าหลายๆคนที่เขาไม่ได้โอกาสตรงนี้ แล้วทำไมเราถึงไม่ตามฝันให้สำเร็จหละ จะไปฟังคำดูถูกหรือเอาตัวเองไปเทียบกับเพื่อนๆที่มีที่เรียนแล้วทำไม เส้นทางเราไม่เหมือนกัน I have my own pace เราอาจเดินช้ากว่าคนอื่นแต่เราเดินตามทางของเรา ไม่เดินสับไปมา
เราไม่ได้อยากได้แค่ใบปริญญาที่ในสังคมไทยส่วนใหญ่ตัดสินคนว่า ทุกคนต้องเรียนจบมีใบปริญญาให้ครอบครัวภูมิใจ
เราคิดว่าการไปเรียนระดับสูงขนาดนี้คือการเข้าไปรับความรู้เพื่อมาประกอบอาชีพในอนาคต ไม่ใช่แค่ติดที่ไหนมหาวิทยาลัยอะไร คณะอะไรก็ได้ ขอแค่ได้คำว่าเรียนจบและได้ใบปริญญา แต่กรณีคนที่จบมาไปทำอย่างอื่นแล้วเขามีความสุขนั่นก็คือสิ่งที่เขาภูมิใจและเลือกเองเรายินดีที่เขาตามฝันได้และค้นพบความสุขของตัวเองเจอ แต่คนที่เราเจอๆมาและไม่ชอบคือตัวเองก็มีมหาวิทยาลัยเรียนแต่ยังไม่รู้เลยจะทำอะไรแถมยังมาว่าเราว่าทำไมไม่เรียนซักที จะเป็นทำไม "แพทย์" เสียเวลามาเยอะแล้วนะ แต่ในความคิดเรา เราเพิ่งอายุ20ต้นๆ ไม่รู้สึกว่าสิ่งที่เราจะทำมันสายเกินไปเลย เทียบกับอาชีพที่เราต้องอยู่กะบมันไปอีกตลอดชีวิตการทำงาน
เราไม่เคยดูถูกใครก่อน เรามีเพื่อนๆดีๆเรียนหลายๆสายอาชีพ มหาวิทยาลัยดีๆ หรือไม่ก็มีอาชีพดีๆ คนส่วนใหญ่ที่มีมารยาทจะให้เกียรติในการตัดสินใจซึ่งกันและกัน และพอพวกเขารู้ว่าเราลาออกจากคณะแพทย์ที่เก่า ยังคงให้กำลังใจด้วยซ้ำ
แต่เวลาเราเจอคนแบบที่เราเคยเจอ ที่มาบอกให้เราหาอย่างอื่นเรียนๆไปเถอะ เราตอบกลับพวกเขาบางคนเลยว่า พวกคุณจบมาแล้วอยากทำอะไรหละ มีแผนยัง คนเหล่านั้นมักตอบว่ายังไม่มี และเราก็บอกไปว่า สำหรับเรานะ ไม่ต้องมีใบปริญญาเลยก็ได้ เราสามารถทำธุรกิจต่อที่บ้านได้เลย คุณพ่อเราเป็นเจ้าของกิจการ เขาบอกเองว่าจะสอนงานให้เราทุกอย่างถ้าเราจะมาทางนี้ แล้วปริญญากระดาษที่พวกคุณอยากได้กันหนักหนานั้นมันไม่สำคัญกับเรา แต่ถ้าเราตัดสินใจแบบนั้น เราก็คงจะเรียนสายธุรกิจไปเลย เพื่อให้มีความรู้และไม่ให้คนอื่นมาดูถูกได้ง่ายๆ และสานต่อกิจการครอบครัว
หลังจากลาออกจากคณะวิทยาศาสตร์ เราก็เห็นว่ามีการรับสมัครไปเรียนแพทย์ต่างประเทศที่มีเอเจนซี่ในไทยจัดสอบ แต่ตอนสอบและสัมภาษณ์จะมีอาจารย์จากที่นั่นบินมาโดยตรง เราสมัครและเตรียมอ่านหนังสืออย่างหนักและก็สอบติดคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยหนึ่งในทวีปยุโรป(ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ แต่เรียนเป็นภาคภาษาอังกฤษ)
ถ้าใครเล่นเด็กดีคงเคยเห็นผ่านตามาบ้าง เพราะเมื่อไม่นานมานี้เราเพิ่งไปตั้งและมันก็ค่อนข้างดัง ที่มีคนมาเขียนรีวิวประสบการณ์ที่นั่นที่ไม่ค่อยดีนักและเป็นโรคซึมเศร้า คนนั้นคือเราเอง
กระทู้นั้นเราไม่ได้กล่าวถึงชื่อประเทศ เมือง ชื่อสถาบัน หรือชื่อเอเจนซี่เลยด้วยซ้ำ มีแต่คนที่มาเดาๆกัน ผิดๆถูกๆ ซึ่งไม่ว่าจะเดาผิดถูกถ้ามีการพาดพิงถึงสถาบันใดๆ ทางเด็กดีก็จะลบทิ้งอยู่แล้วอย่างรวดเร็ว ซึ่งเราว่าทางเด็กดีทำถูกแล้ว
จุดประสงค์หลักของกระทู้นั้นคือแนะนำคนไทย สัญชาติไทย ถ้าเป็นไปได้ เรียน MD ในไทยจะดีที่สุดและจะประสบปัญหาต่างๆน้อยกว่ามาก
แต่ทางเอเจนซี่เห็นว่าเริ่มมีศิษย์เก่ามาสนับสนุนข้อเสียที่เรากล่าวไป (ซึ่งรุ่นพี่เหล่านั้นก็ทำแบบเรา ไม่เอ่ยถึงสถาบันหรือเอเจนซี่หรือชื่อประเทศหรือเมืองใดๆทั้งสิ้น) เอเจนซี่เลยออกมาตอบกระทู้เราเอง พร้อมทั้งแนบจดหมายจากมหาวิทยาลัยเก่าเราว่าเรามีการพาดพิงถึงสถาบันอย่างไม่เหมาะสม มีเนื้อหาที่รุนแรง
เหมือนลักษณะต้องการจะข่มขู่เรา แต่เราอ่านจดหมายแล้วเห็น paragraph แรกก็อยากเลิกอ่านแล้วค่ะ เพราะทางมหาวิทยาลัยกล่าวเลยว่า "ข้อมูลทั้งหมดได้รับการแปลมาจากทางตัวแทนในประเทศไทย (ก็คือเอเจนซี่) " มันจะไปเชื่อถือได้ยังไงหละคะ เขาแปลกระทู้เราบิดเบือนเข้าข้างตัวเองและใส่ร้ายเราต่างๆบางประเด็นอ่านแล้วงงเลยไปพิมพ์แบบนั้นตอนไหน ให้เพื่อนที่เรียนที่นั่นอ่านก็ไม่มีใครโอเคกับการกระทำนั้นกับเราของเอเจนซี่
เราจ่ายค่าโครงการให้เอเจนซี่เป็นหลักแสน ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินหรือค่าเรียนหรือค่าใดๆทั้งสิ้น เป็นแค่ค่าที่เขาจะจัดหารเอกสารสมัครให้เราและดูแลช่วยเหลือเราระหว่างการไปเรียนที่นั่น แต่พอไปถึงก็ไม่เห็นจะมีใครมาช่วยอะไรเรา เอกสารบางทีไม่ครบเรายังต้องไปหาเอง เราเลยไม่พอใจมากตอนนั้น
เนื้อหาในจดหมายจากทางมหาวิทยาลัยเราอ่านแล้วเข้าใจได้ว่าเขาทำหน้าที่แค่ตอบคำถามและชี้แจงประเด็นที่เอเจนซี่ส่งไป ไม่ได้มาประจานอะไรเราเลย เพราะไม่มีการใส่ชื่อเราลงไปในนั้นด้วยซ้ำ ถือว่ามหาวิทยาลัยให้เกียรติเรา และทางมหาวิทยาลัยก็มีการระวังตัวอย่างดีโดยกล่าวว่าข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับนั้นทางเอเจนซี่แปลมาให้ (ไม่ได้ไปอ่านเอง)
แต่ทางเอเจนซี่มาดิ้นกับกระทู้เรา พร้อมทั้งเฉลยว่าตัวเองเป็นเอเจนซี่ใด และประกาศชื่อมหาวิทยาลัยเสร็จสรรพ เหมือนมาเฉลยให้ทุกคนทราบซึ่งเราก็เห็นว่ามันดูตลก จุดประสงค์ของเอเจนซี่คือดูแลเด็กไม่ใช่หรอ แต่ที่ทำ ใครๆมาอ่านคงไม่สมัครไปเรียนผ่านคุณ
ถ้าเราเป็นเอเจนซี่ และฉลาดพอ เราจะอยู่เงียบๆดีกว่า เพราะมันก็แค่กระทู้รีวิวมหาวิทยาลัยจากมุมมองของเด็กคนหนึ่ง ไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าที่ไหน คนมาอ่านเขาก็ทำได้แค่เดาๆกันไป แต่คนวงในจะรู้ดีว่ามีกี่ที่ที่เป็นเช่นนี้ แต่ถ้ามาเดาตรงๆแม้จะถูกหรือผิดก็จะถูกลบคอมเมนท์ไปตามกฎของเว็ปไซต์เด็กดี
แต่ก็พอทราบมาบ้างว่าทางเด็กดีก็ได้รับ sponsored จากเอเจนซี่นี้ (ดูจากกระทู้อวยต่างๆที่เด็กดีลงเอง) และคอมเมนท์ของเอเจนซี่ที่มาตอบเราก็ได้รับการปักหมุดจากทีมงาน ซึ่งสำหรับเราไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะทางเด็กดีก็ยังเป็นกลางบ้างโดยยังคงไม่ลบกระทู้ของเราอยู่
ถ้าให้พูดเป็นประเด็นเลยข้อดีของมหาวิทยาลัยนั้นก็มี คือมี Ranking ที่ดีระดับนึง และมีมาตรฐานการสอบเข้าไม่ใช่ใครมีเงินจ่ายก็เรียนได้ และมีการสอบที่ยากและมีมาตรฐาน ไม่ใช่ใครไปนั่งเล่น ปาร์ตี้ วันๆไม่อ่านหนังสืออย่างหนักจะผ่านได้ แต่ข้อดีมันก็มีให้เห็นในกระทู้อวยของที่นี่ต่างๆหลายกระทู้แล้ว (บางคนไม่ได้เรียนต่อแล้วด้วยซ้ำแต่กระทู้อวยยังอยู่) เราเลยไม่รู้ว่าจะเขียนข้อดีอะไรมากกว่านั้นอีก เพราะบางอันก็อวยเกินจริง และจากที่ถามมาโดยตรง คนที่อยู่ในกระทู้เหล่านั้นไม่ได้กล่าวเช่นนั้นเองด้วย เหมือนทางเอเจนซี่มาขอข้อมูลเด็กๆ (เพื่อนเราก็โดน) และเอาข้อมูลบางส่วนไปดัดแปลงและใส่รูปใส่อะไรต่างๆลงไป โดยบางทีเจ้าตัวยังงงเลยไปพูดตอนไหน ซึ่งถ้าตามกฎหมายคือฟ้องได้เลย และยังมีการพาดพิงถึงสถาบันชั้นนำอย่าง Oxfords ว่าเก่าแก่เทียบเท่า (เก่าแก่คือสร้างมานานค่ะ ไม่ได้หมายความว่าจะไปเทียบเขาได้) หรือมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำต่างๆ ซึ่งจากที่เราเห็นรุ่นพี่ ก็ไม่เห็นมันจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย ไม่เคยเห็นใครไปแลกเปลี่ยนกับที่เหล่านั้นอย่างจริงจัง ซึ่งข้อมูลตรงด้านความร่วมมือนี้เราไม่ทราบแน่ชัดว่ามันไปร่วมมือกันตรงไหน ยังไง......
ส่วนข้อเสียที่เราเคยระบายไปก็คือความไม่ยุติธรรมในการสอบและความเอาใจใส่ของอาจารย์ต่อนักเรียน
drop out rate 50-60% ประมาณนี้ในปีของเรา และจากที่ดูมาปีอื่นๆก็ไม่ต่างกันมากนัก เราเห็นว่านักเรียนที่นั่นแทบทุกคนขยันมาก อาจารย์ไม่มีคะแนนช่วยใดๆ สอบคือคะแนน100% ทุกการสอบมี 3 attempts (สอบ1 ซ่อม2) ถ้าตกก็ไล่ออก
การสอบจะมี weekly tests (written) ต้องผ่านทุกๆการสอบ จะสอบทุกๆ1-2week ถ้าไม่ผ่านต้องไปนัดซ่อมส่วนตัวทางอีเมล ยุ่งยากมาก และซ่อมนั้นยากกว่าสอบในห้องอีก...และการสอบ credit test ก่อนปิดภาคเรียนจะยากกว่า weekly
ถ้าสอบทุกอย่าที่ว่ามาผ่านหมดแล้วก็ถึงจะมีสิทธิ์เข้าสอบ Final Exams (written + oral exams)
เราเห็นได้อย่างหนึ่งคือมหาวิทยาลัยคัดเลือเด็กเข้ามา แต่ drop out rate สูงขนาดนี้มันหมายถึงคุณไม่มีประสิทธิภาพในการ train นักเรียนใช่หรือไม่?
เราทราบดีว่าเรียนแพทย์มันต้องหนัก เพราะเราต้อง deal with ชีวิตคนในอนาคต มันไม่ใช่อะไรที่ง่ายอยู่แล้วตั้งแต่สอบเข้าพอเข้าไปก็เรียนหนักมาก
แต่การเรียนและสอบที่ไม่ยุติธรรม และ สภาพแวดล้อมที่กดดันเกินความจำเป็นไม่ใช่ระบบการศึกษาที่ดี มันไม่ใช่การเรียนที่ถูกต้องในความคิดเรา
ชีวิตการเรียนและสอบของคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเก่านี้ของเราขอไปเล่าต่อใน EP.3
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ