ก่อนอื่นขอเกริ่นก่อนเข้าเรื่อง 😄
โรคตาบอดสี (color blindness) คือความผิดปกติของสายตาที่ทำให้มองเห็นสีบางสีผิดไปจากปกติ ซึ่งเกิดจากความปกติของเซลล์รับรู้การเห็นสี (Photo receptor cell) โดยจะต้องผ่านการทดสอบสายตาเพื่อทำการยืนยันรูปแบบของตาบอดสีว่า บอดสีอะไร และบอดสีมากน้อยเพียงใด ตาบอดสีนั้นไม่ใช่อาการของคนที่ไม่สามารถมองเห็นสีนั้นๆ ได้ ว่ากันง่ายๆ คือหากคุณตาบอดสีแดง เมื่อเห็นวัตถุที่มีสีแดง สีแดงนั้นจะเปลี่ยนไปเป็นสีอื่นที่ไม่ตรงกับสีแดง
ตาบอดสีมักจะพบได้มากที่สุดกับผู้ชาย โดยพบผู้ชายมีอาการตาบอดสีประมาณ 8% ของประชากรทั้งหมด แต่พบในผู้หญิงได้เพียงประมาณ 0.4% เท่านั้น
อาการตาบอดสี แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด โดยแบ่งไปตามสาเหตุได้ดังนี้
1. ภาวะตาบอดสีชนิดเกิดแต่กำเนิด เป็นภาวะถ่ายทอดทางพันธุกรรมจาก X chromosome (โครโมโซม) ของฝ่ายแม่/ฝ่ายหญิง จากการวิจัยทำให้พบว่าตาบอดสีแต่กำเนิดจะมีอาการบอดสีแดง หรือพร่องสีแดง บอดสีเขียวหรือพร่องสีเขียว เป็นส่วนมาก
2. ตาบอดสีที่เกิดในภายหลัง เกิดจากความผิดปกติของการเห็นสีที่เกิดในภายหลัง ซึ่งมักจะเกิดจากสาเหตุของโรคจอตา หรือประสาทตา รวมไปถึงการสูญเสียเซลล์รูปกรวยชนิดต่างๆ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นสีน้ำเงิน-เหลือง และโรคของประสาทตามักสูญเสียการมองเห็นสีแดง-เขียว ซึ่งนอกจากมองเห็นสีผิดไปแล้ว ผู้ป่วยมักจะมีสายตาหรือลานสายตาที่ผิดปกติด้วย
(อ้างอิงจาก
https://www.honestdocs.co/what-is-color-blindness)
การสอบเรียนต่อคณะแพทยศาสตร์ จะมีการตรวจวัดเรื่องตาบอดสี(เป็นมาตรฐานที่ต้องตรวจทุกคนก่อนเรียนแพทย์)
ขั้นแรก : Ishihara test ซึ่งเป็นการตรวจด้วยการอ่านเลขในจุดสี เป็นการสแกนเบื้องต้นว่ามีตาบอดสีไหน
อ้างอิง
http://ret2.go.th/ict/index.php?option=com_attachments&task=download&id=10130
ขั้นที่2 : หากตรวจพบว่า ishihara test มีความผิดปกติจะส่งตรวจเพิ่มเติมคือการไล่ลำดับสีด้วย Farnsworth d 15 hue test
อ้างอิง
https://colormax.org/farnsworth-d-15-color-vision-test/
ขั้นที่3 : จะเป็นการตรวจละเอียดว่าเรามีความบกพร่องสีไหนบ้าง และระดับความรุนแรงเท่าไหร่ด้วย Farnsworth munsell 100 hue test
อ้างอิง
https://munsell.com/faqs/what-does-score-farnsworth-munsell-100-hue-test-mean/
หลังจากนั้นจะเป็นหน้าที่ของจักษุแพทย์และกรรมการในการคัดเลือกนักศึกษาแพทย์ว่าระดับความรุนแรงตาบอดสีอยู่ที่ระดับไหน และยอมรับได้ไหมที่จะอนุญาตให้เข้าเรียนแพทย์
Q ; ตาบอดสีเรียนแพทย์ได้ไหม?
A ; เรียนได้หากระดับความรุนแรงจากการทดสอบไม่รุนแรงมาก (จักษุแพทย์และคณะกรรมการเป็นผู้ตัดสินใจ)
Q ; หากได้เข้าเรียนแล้ว มีความลำบากไหม?
A ; มีอุปสรรคเล็กน้อย เช่น
ในช่วง pre-clinic(ปี1-3) จะต้องทำแลปเคมี , การย้อมสี gram stain เป็นต้น
ในช่วง clinic(ปี4-5) การดูสี lesion (skin lesion ต่างๆที่ต้องใช้ในการวินิจฉัย)
แต่เป็นอุปสรรคถึงขั้นทำให้ไม่สามารถวินิจฉัยหรือแยกไม่ออกเลยไหม ตอบเลยว่าไม่
เพราะบางอย่างเช่น gram stain เราไม่ได้ดูเองคนเดียวเรามีเจ้าหน้าที่ห้องแลปช่วยอ่านผล และสุดท้ายก็ต้องมีการส่งเพาะเชื้ออยู่ดี
ส่วน skin lesion อาจมีผลกระทบเล็กน้อยแต่โรคทุกโรคไม่ได้ใช้แค่สีในการวินิจฉัย เราใช้อาการ ประวัติจากคนไข้ การตรวจร่างกาย และผลห้องแลปรวมๆกันในการวินิจฉัย ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นปัญหามาก
Q ; แล้วความมั่นใจหล่ะ จะวินิจฉัยได้หรอ?
A ; ตอบได้เลยว่าจขกท.ไม่เคยมีปัญหาเรื่องพวกนี้ พอเรารู้ตัวว่าเรามีปัญหาด้านนี้ ดังนั้นความรู้ในด้านอื่นๆเราต้องมีให้เยอะๆ เพราะการวินิจฉัยเราไม่ได้ใช้แค่สี เราใช้หลายๆอย่างเอามารวมกันแล้วประมวลผลออกมาถึงจะได้วินิจฉัยโรคได้
Q ; แล้วเรียนต่อสาขาไหนไม่ได้?
A ; อย่างที่รู้กันแพทย์ ก็จะมีแพทย์เฉพาะทางหลายๆสาขา เช่น อายุรกรรม กุมารเวชกรรม สูติศาสตร์ ศัลยกรรม เป็นต้น
สาขาที่ห้ามเรียนในกรณีตาบอดสีแน่ๆ คือ จักษุแพทย์ ศัลยแพทย์หรือแพทย์ที่ต้องเข้าห้องผ่าตัด เพราะพวกนี้เรื่องสีต้องใช้ความแม่นยำเป็นอย่างมาก ดังนั้นเราไม่ควรเพิ่มความเสี่ยงให้แก่คนไข้ เราควรมีความรับผิดชอบต่อผู้อื่น
ดังนั้นสาขาอื่นๆที่พอจะเรียนต่อได้ เช่น อายุแพทย์ กุมารแพทย์ รังสีแพทย์ จิตแพทย์ แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู เป็นต้น เพราะกลุ่มแพทย์เหล่านี้เรื่องความแม่นยำของสีไม่จำเป็นต้องมีมาก เราใช้ประวัติการตรวจร่างกายและอื่นๆช่วยในการวินิจฉัยได้
Q ; เรื่องสีของยา มีความจำเป็นไหมที่ต้องแยก?
A ; เรื่องสีของยาถือว่ามีผลกระทบต่อคนตาบอดสีน้อยมาก เนื่องจากปัจจุบันมีบริษัทหลายๆบริษัทซึ่งผลิตยาตัวเดียวกันแต่ใช้สีสันแตกต่างกันก็มี
ดังนั้นการรู้จักสีก็มีประโยชน์(แต่ถามว่ามากไหม ตอบเลยว่าไม่ได้เยอะมาก) เพราะเราใช้อย่างอื่นได้เช่น ขนาดของเม็ดยา รูปร่าง ช่วงเวลาการกินยา เหล่านี้ก็พอจะให้เราเดาคร่าวๆได้ว่าผู้ป่วยน่าจะใช้ยาตัวไหน
แต่!!!!! ที่สำคัญที่สุดควรได้ตัวยาและชื่อยาด้วยถึงจะมีความแม่นยำที่สุด (ดังนั้นคนไข้ทุกคนที่มีดรคประจำตัวและมียาที่ต้องกินประจำกรุณานำยาของท่านไปพบแพทย์ด้วยทุกครั้ง)
ปล1. เจ้าของกระทู้เป็นตาบอดสีเขียวแดง(จากพันธุกรรม)และปัจจุบันเรียนแพทยศาสตร์บัณฑิตปีที่6
ปล2. เจ้าของกระทู้เขียนจากประสบการณ์ของตัวเอง
ปล3. ให้กำลังใจน้องๆทุกคนที่รู้ตัวว่าตัวเองตาบอดสีและกลัวว่าจะไม่ผ่านการทดสอบ
ตาบอดสีสามารถสอบแพทย์ได้ไหม หรือเรียนแพทย์ได้ไหม
โรคตาบอดสี (color blindness) คือความผิดปกติของสายตาที่ทำให้มองเห็นสีบางสีผิดไปจากปกติ ซึ่งเกิดจากความปกติของเซลล์รับรู้การเห็นสี (Photo receptor cell) โดยจะต้องผ่านการทดสอบสายตาเพื่อทำการยืนยันรูปแบบของตาบอดสีว่า บอดสีอะไร และบอดสีมากน้อยเพียงใด ตาบอดสีนั้นไม่ใช่อาการของคนที่ไม่สามารถมองเห็นสีนั้นๆ ได้ ว่ากันง่ายๆ คือหากคุณตาบอดสีแดง เมื่อเห็นวัตถุที่มีสีแดง สีแดงนั้นจะเปลี่ยนไปเป็นสีอื่นที่ไม่ตรงกับสีแดง
ตาบอดสีมักจะพบได้มากที่สุดกับผู้ชาย โดยพบผู้ชายมีอาการตาบอดสีประมาณ 8% ของประชากรทั้งหมด แต่พบในผู้หญิงได้เพียงประมาณ 0.4% เท่านั้น
อาการตาบอดสี แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด โดยแบ่งไปตามสาเหตุได้ดังนี้
1. ภาวะตาบอดสีชนิดเกิดแต่กำเนิด เป็นภาวะถ่ายทอดทางพันธุกรรมจาก X chromosome (โครโมโซม) ของฝ่ายแม่/ฝ่ายหญิง จากการวิจัยทำให้พบว่าตาบอดสีแต่กำเนิดจะมีอาการบอดสีแดง หรือพร่องสีแดง บอดสีเขียวหรือพร่องสีเขียว เป็นส่วนมาก
2. ตาบอดสีที่เกิดในภายหลัง เกิดจากความผิดปกติของการเห็นสีที่เกิดในภายหลัง ซึ่งมักจะเกิดจากสาเหตุของโรคจอตา หรือประสาทตา รวมไปถึงการสูญเสียเซลล์รูปกรวยชนิดต่างๆ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นสีน้ำเงิน-เหลือง และโรคของประสาทตามักสูญเสียการมองเห็นสีแดง-เขียว ซึ่งนอกจากมองเห็นสีผิดไปแล้ว ผู้ป่วยมักจะมีสายตาหรือลานสายตาที่ผิดปกติด้วย
(อ้างอิงจาก https://www.honestdocs.co/what-is-color-blindness)
การสอบเรียนต่อคณะแพทยศาสตร์ จะมีการตรวจวัดเรื่องตาบอดสี(เป็นมาตรฐานที่ต้องตรวจทุกคนก่อนเรียนแพทย์)
ขั้นแรก : Ishihara test ซึ่งเป็นการตรวจด้วยการอ่านเลขในจุดสี เป็นการสแกนเบื้องต้นว่ามีตาบอดสีไหน
อ้างอิง http://ret2.go.th/ict/index.php?option=com_attachments&task=download&id=10130
ขั้นที่2 : หากตรวจพบว่า ishihara test มีความผิดปกติจะส่งตรวจเพิ่มเติมคือการไล่ลำดับสีด้วย Farnsworth d 15 hue test
อ้างอิง https://colormax.org/farnsworth-d-15-color-vision-test/
ขั้นที่3 : จะเป็นการตรวจละเอียดว่าเรามีความบกพร่องสีไหนบ้าง และระดับความรุนแรงเท่าไหร่ด้วย Farnsworth munsell 100 hue test
อ้างอิง https://munsell.com/faqs/what-does-score-farnsworth-munsell-100-hue-test-mean/
หลังจากนั้นจะเป็นหน้าที่ของจักษุแพทย์และกรรมการในการคัดเลือกนักศึกษาแพทย์ว่าระดับความรุนแรงตาบอดสีอยู่ที่ระดับไหน และยอมรับได้ไหมที่จะอนุญาตให้เข้าเรียนแพทย์
Q ; ตาบอดสีเรียนแพทย์ได้ไหม?
A ; เรียนได้หากระดับความรุนแรงจากการทดสอบไม่รุนแรงมาก (จักษุแพทย์และคณะกรรมการเป็นผู้ตัดสินใจ)
Q ; หากได้เข้าเรียนแล้ว มีความลำบากไหม?
A ; มีอุปสรรคเล็กน้อย เช่น
ในช่วง pre-clinic(ปี1-3) จะต้องทำแลปเคมี , การย้อมสี gram stain เป็นต้น
ในช่วง clinic(ปี4-5) การดูสี lesion (skin lesion ต่างๆที่ต้องใช้ในการวินิจฉัย)
แต่เป็นอุปสรรคถึงขั้นทำให้ไม่สามารถวินิจฉัยหรือแยกไม่ออกเลยไหม ตอบเลยว่าไม่
เพราะบางอย่างเช่น gram stain เราไม่ได้ดูเองคนเดียวเรามีเจ้าหน้าที่ห้องแลปช่วยอ่านผล และสุดท้ายก็ต้องมีการส่งเพาะเชื้ออยู่ดี
ส่วน skin lesion อาจมีผลกระทบเล็กน้อยแต่โรคทุกโรคไม่ได้ใช้แค่สีในการวินิจฉัย เราใช้อาการ ประวัติจากคนไข้ การตรวจร่างกาย และผลห้องแลปรวมๆกันในการวินิจฉัย ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นปัญหามาก
Q ; แล้วความมั่นใจหล่ะ จะวินิจฉัยได้หรอ?
A ; ตอบได้เลยว่าจขกท.ไม่เคยมีปัญหาเรื่องพวกนี้ พอเรารู้ตัวว่าเรามีปัญหาด้านนี้ ดังนั้นความรู้ในด้านอื่นๆเราต้องมีให้เยอะๆ เพราะการวินิจฉัยเราไม่ได้ใช้แค่สี เราใช้หลายๆอย่างเอามารวมกันแล้วประมวลผลออกมาถึงจะได้วินิจฉัยโรคได้
Q ; แล้วเรียนต่อสาขาไหนไม่ได้?
A ; อย่างที่รู้กันแพทย์ ก็จะมีแพทย์เฉพาะทางหลายๆสาขา เช่น อายุรกรรม กุมารเวชกรรม สูติศาสตร์ ศัลยกรรม เป็นต้น
สาขาที่ห้ามเรียนในกรณีตาบอดสีแน่ๆ คือ จักษุแพทย์ ศัลยแพทย์หรือแพทย์ที่ต้องเข้าห้องผ่าตัด เพราะพวกนี้เรื่องสีต้องใช้ความแม่นยำเป็นอย่างมาก ดังนั้นเราไม่ควรเพิ่มความเสี่ยงให้แก่คนไข้ เราควรมีความรับผิดชอบต่อผู้อื่น
ดังนั้นสาขาอื่นๆที่พอจะเรียนต่อได้ เช่น อายุแพทย์ กุมารแพทย์ รังสีแพทย์ จิตแพทย์ แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู เป็นต้น เพราะกลุ่มแพทย์เหล่านี้เรื่องความแม่นยำของสีไม่จำเป็นต้องมีมาก เราใช้ประวัติการตรวจร่างกายและอื่นๆช่วยในการวินิจฉัยได้
Q ; เรื่องสีของยา มีความจำเป็นไหมที่ต้องแยก?
A ; เรื่องสีของยาถือว่ามีผลกระทบต่อคนตาบอดสีน้อยมาก เนื่องจากปัจจุบันมีบริษัทหลายๆบริษัทซึ่งผลิตยาตัวเดียวกันแต่ใช้สีสันแตกต่างกันก็มี
ดังนั้นการรู้จักสีก็มีประโยชน์(แต่ถามว่ามากไหม ตอบเลยว่าไม่ได้เยอะมาก) เพราะเราใช้อย่างอื่นได้เช่น ขนาดของเม็ดยา รูปร่าง ช่วงเวลาการกินยา เหล่านี้ก็พอจะให้เราเดาคร่าวๆได้ว่าผู้ป่วยน่าจะใช้ยาตัวไหน
แต่!!!!! ที่สำคัญที่สุดควรได้ตัวยาและชื่อยาด้วยถึงจะมีความแม่นยำที่สุด (ดังนั้นคนไข้ทุกคนที่มีดรคประจำตัวและมียาที่ต้องกินประจำกรุณานำยาของท่านไปพบแพทย์ด้วยทุกครั้ง)
ปล1. เจ้าของกระทู้เป็นตาบอดสีเขียวแดง(จากพันธุกรรม)และปัจจุบันเรียนแพทยศาสตร์บัณฑิตปีที่6
ปล2. เจ้าของกระทู้เขียนจากประสบการณ์ของตัวเอง
ปล3. ให้กำลังใจน้องๆทุกคนที่รู้ตัวว่าตัวเองตาบอดสีและกลัวว่าจะไม่ผ่านการทดสอบ