FT 5 | เรื่องสั้น ปาฏิหาริย์คืนสิ้นปี ตอนที่ 8

-8-

เมื่อกลับถึงห้องพัก ผมไม่ได้รื้อข้าวของที่หอบหิ้วออกเก็บทันที สิ่งแรกที่ทำ คือลงมือเขียนเรื่องสั้น 
ผมจะเขียนเรื่องที่พ่อทำลายทิ้งไป เรื่อง "ตัวตลกสยองขวัญ" 
กลยุทธ์ที่ใช้ คือเขียนให้จบทีละเรื่อง มีเวลาปั้นเต็มที่...
ครั้งนี้ตั้งใจใหม่ให้จบในยี่สิบเอ็ดวัน... ไม่นานก็เขียนได้ลุล่วง ผมทำงานหนักในความเงียบ ปล่อยให้ความสำเร็จเปล่งเสียง...

ครึ่งปีต่อมาผมจบมหาลัย ย้ายไปอยู่อีกเมือง ผมไม่ชอบอยู่ที่ใหนนาน ๆ มันเป็นนิสัยส่วนตัว...
ผมหางานทำ ส่งเสียตัวเองพร้อมเขียนไปด้วย งานหนักแค่ใหน ไม่ละทิ้งงานเขียน
หลายปีผ่านไป พบเจอเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย ผมโตขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมเรียนรู้ที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ตามลำพัง...

ระหว่างนี้ได้คบหาแองจี้ เธอเป็นนักแสดงที่ยังสาว สวยตามสมัยนิยม ผมสีน้ำตาลเข้ม ตาสีน้ำตาลอ่อน 
อายุยิ่สิบสาม เพิ่งเริ่มเข้าวงการ ไม่มีชื่อเสียงมากนัก 
เธอเป็นหญิงที่อ่อนโยน ใจดี มีความฝัน แต่มักพะว้าพะวงสิ่งที่ทำลงไปเสมอ... 

ขณะที่ผมกำลังเขียนเรื่องสั้น "กระเป๋าสตางค์วิเศษ" บนโต๊ะอยู่นั้น เธอเดินเข้ามาด้านหลังผม 
"เลิกเขียนได้แล้ว มาคุยกันดีกว่า ฉันอยากได้ยินเสียงคุณ" เสียงหวานเหมือนน้ำผึ้ง โอบไหล่ผม
"ไม่ล่ะแองจี้ นี่เป็นวันปิดต้นฉบับ ต้องเขียนให้จบคืนนี้" ผมกุมมือเธอมาจูบ
"ก็ได้ค่ะ แต่เขียนจบแล้ว เรามากินป๊อบคอร์น และดูหนังฉลองกัน เหมือนที่คุณชอบทำทุกครั้งนะค่ะ" เธอย้ำ
"ได้ที่รัก อีกชั่วโมงนึงนะ" ผมยิ้มรับ ก่อนที่เธอจะเดินออกจากประตูที่แง้มอยู่...

หลังเขียนเสร็จ ผมเดินลงบันไดไปห้องนั้งเล่น เธอตบโซฟาสีน้ำตาลแก่ข้าง ๆ เตรียมหยิบรีโมตโทรทัศน์
"ผมหาห้องเช่าใหม่ได้แล้ว อยู่เมืองข้าง ๆ เป็นตึกห้าชั้น ใต้ตึกมีบาร์ด้วยนะ" ผมหย่อนกายลงโซฟา
"อยู่กับฉันที่นี่ก็ได้นี่ค่ะ"  เธอกล่าวและพูดต่อ
"ใช้ห้องใต้หลังคาเขียนเหมือนเดิมก็ได้นี่ ทำไมต้องย้ายออกด้วยละ ?" เธอถามอย่างสงสัย 
"โธ่ที่รัก คุณก็รู้ ผมต้องการที่เงียบ ๆ สำหรับเขียนหนังสือ อีกอย่างคนเราอยู่ที่เดิม ๆ ก็ไม่เปลี่ยนแปลงหรอก 
การไปอยู่ที่แตกต่างต่างหาก จึงจะเปลี่ยนแปลงได้ ผมอยากได้วิสัยทัศน์ใหม่ ๆ นะ" ผมบอกเสียงขรึม
"ก็ได้ค่ะ ถ้าคุณต้องการยังงั้น" เธอตอบเสียงเศร้า
"พรุ่งนี้ผมมีนัดสัมภาษณ์งานใหม่ตอนเช้า คุณช่วยทยอยขนสัมภาระผมออกไปก่อนนะ เดี๋ยวเขียนที่อยู่ทิ้งให้" 
"ตกลงค่ะ" เธอพยักหน้า ก่อนที่เราทั้งคู่จะเริ่มดูหนัง Letter from an Unknown Woman ของปี 1948

คืนถัดมา ผมกลับถึงบ้านแองจี้กลางดึก สังเกตุเห็นห้องโล่งไปมาก 
เมื่อเดินเข้าห้องนั่งเล่น 
ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้น ระงมทั่ว
"เกิดอะไรขึ้นเหรอ" ผมพูด ขณะก้าวเท้าช้า ๆ เตรียมเอื้อมมือกดสวิสต์ไฟ 
"อย่าเปิดนะ!! ฉันไม่อยากให้คุณเห็นฉันสภาพนี้! " น้ำเสียงเธอสั่นเครือ

"เกิดอะไรขึ้นแองจี้!!" ผมถามย้ำอีก เห็นผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิงรุงรัง
"ฉันขอโทษ" ดวงตาเธอแวววาวด้วยน้ำตา อายไลนเนอร์เลอะเลือนทั่วขอบตา 
"ขอโทษเรื่องอะไร ?" น้ำเสียงผมกดดันนิดหน่อย เพื่อให้เธอพูดจบประโยค
แองจี้เงยหน้ามองผม ในความมืดสลัว เธออธิบายน้ำตาเอ่อ 
"หลักจากฉันนำเสื้อผ้าของใช้คุณ... ไปเก็บที่ห้องใหม่... ฉันก็กลับมานำงานเขียนของคุณแพ็คลงกระเป๋าเดินทาง
ขณะที่กำลังซื้อตั๋วในสถานีรถไฟ"  เธอหยุดนิดนิง  "กระเป๋า... กระเป๋ามันก็หายไป..."  เสียงเธอขาดเป็นห้วง ๆ 
"หายไป ? คุณหมายความว่ายังไง ?" ผมถามตื่นตระหนก
เธอนิ่งเงียบ...
"กระเป๋าโดนขโมยยังงั้นเหรอ ?" ผมกลืนน้ำลาย
เธอพยักหน้าหงึก... ดวงตาแดงก่ำ ใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตก
"โอ้พระเจ้า!!!" ผมร้องตกตะลึง "งานเขียนทั้งหมดเลยเหรอ!?"
อึดใจนึงเต็ม ๆ กว่าเธอจะเปล่งเสียงออกมา
"ค่ะ" เธอพยักหน้าช้า ๆ ส่งสายตาซึ่งทำให้ผมใจสลาย พลางร้องไห้โฮเสียงดัง

ผมนิ่งขึงพูดอะไรไม่ออก นัยน์ตามีน้ำใส ๆ เอ่อขึ้น ผมรีบลุกเดินออกไปข้างนอก ท่ามกลางคืนที่เปล่าเปลี่ยวตามลำพัง...
สายตาตวัดเหม่อมองบนฟ้าไร้จุดหมาย ลมพัดกรรโชกแรง เห็นเมฆดำทะมึน ฝนเริ่มตกลงมา...
"นี่คือผลลัพท์ของความทุ่มเท ยังงั้นเหรอพระเจ้า!!!" ผมตะโกนด้วยความโกรธปนเปความเศร้า
ลมแรงพัดพาละอองฝนกระทบใบหน้า ฝนเริ่มเทหนักขึ้น ๆ
ผมสะอึกสะอื้นร้องไห้ออกมาขณะที่เปียกฝน... 
หยาดน้ำฝนซัดสาดใบหน้า กับหยาดน้ำตาที่เปียกปอน... จนผมไม่อาจแยกออกว่าเป็นน้ำฝนหรือน้ำตา...

ชีวิตที่พยายามต่อสู้จบแล้ว วินาทีนี้ ผมหดหู่ สิ้นหวัง สงสารตัวเองจนตัวสั่นไปหมด!!!
เมื่องานเขียนที่สั่งสมอันตรธานหายไป ผมรู้สึกเหมือนสูญเสียชีวิตที่เคยมี จนไม่อยากเขียนอีกต่อไป...
ขณะนี้มีแต่เพียง ความรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก เอ่อล้นพรั่งพรูเต็มหัวใจ
ผมยืนตากฝนนานเท่าไหร่ไม่รู้ รู้เพียงว่า เมื่อฝนหยุด ผมเดินอย่างทุลักทุเลกลับเข้าบ้าน...
เมื่อเดินผ่านห้องนั่งเล่น อดไม่ได้ที่จะดูนาฬิกาบนฝาผนัง ยังไม่เที่ยงคืน...
ผมย่ำเท้าเข้าห้องนอน ไปที่เตียง ไฟยังมืดอยู่ เห็นแองจี้นอนหลับตะแคง เส้นผมสีน้ำตาลเหยียดปรกแก้ม 
มือขวาผมเขี่ยปอยผมให้พ้นร่องแก้ม นัยน์ตาเธอเปียกชื้น เธอคงร้องไห้จนหลับไป... ผมโน้มตัวจูบหน้าผาก โกรธเธอไม่ลงจริง ๆ

ผมเดินไปที่หน้าต่าง เปิดกระจก ท่ามกลางความมืด บนฟ้าไร้เมฆ เห็นจันทร์เสี้ยวกำลังขึ้น... 
"ไม่มีอะไรต้องเสียใจ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ล้วนคือสิ่งที่ดีที่สุด" ผมปลอบตัวเอง ด้วยเสียงอ่อนระโหย

ผมปลดกระดุมเสื้อเชิ้ต ตั้งใจจะไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า 
สายตาพลันเห็นเครื่องพิมพ์ดีด วางอยู่บนโต๊ะที่ใช้กินป๊อปคอร์น แองจิ้คงยกลงมา...
ผมเดินเข้าไปจ้องมอง และคำพูดของชายชราก็ลอยเข้ามาให้ห้วงความทรงจำ 
"อย่าเลิกเขียน อย่าให้พรสวรรค์ต้องเสียเปล่า..."
ผมทรุดตัวลงช้า ๆ ที่โซฟา...

"โลก... ยังไม่ได้เห็นผลงานที่ดีที่สุดของผมเลย" ผมบอกตัวเองเสียงกล้ำกลืน 
จากนั้นเอื้อมนิ้วชี้ เคาะแป้นพิมพ์ดีดสองสามที...
"แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก!!" ผมกัดริมฝีปากจนเลือดออก
ก่อนที่ตัดสินใจเริ่มวิ่งใหม่อีกครั้ง!! ลงมือเขียนใหม่คำต่อคำ
ขณะนี้ผมกำลังสู้เพื่อชีวิต อนาคต ความฝัน และผมจะไม่มีวันยอมแพ้...

วันคืน สัปดาห์ เดือนปีล่วงเลย...
ผมมีผลงานของตัวเองมากมาย ชีวิตกลับมามีความหมายอีกครั้ง แต่ว่าชื่อเสียงยังโนเนม 
ผมส่งเรื่องไปให้สำนักพิมพ์หลายแห่ง ได้รับอีเมล์และจดหมายปฏิเสธทุกวัน...  
ในที่สุด สำนักพิมพ์แห่งหนึ่งตกลงซื้อ เราเซ็นสัญญา 
เย็นนั้น ผมเดินออกจากตึกสำนักพิมพ์ เห็นท้องฟ้าสีม่วงครึ้ม ความมืดเริ่มโรยตัวลงมา... 

"ความสำเร็จในครั้งนี้ คงช่วยส่องทางให้กับความหวังอื่น ๆ" ผมให้กำลังใจตัวเอง

สี่ปีต่อมา... นามปากกาเริ่มเป็นที่คุ้นหู ผลงานอื่น ๆ ทยอยออก 
จากนั้นเจ็ดปี นิยายของผมก็ได้ถูกสร้างเป็นภาพยนต์ ชื่อเสียงกลายเป็นที่รู้จักวงกว้าง
ผมมาไกลเกือบถึงปณิธาน... ไม่ว่าไปแห่งใหน 
ทุกคนต่างรู้จักนามปากกาผม
พอมองย้อนกลับไป ในอดีตอันไกล และเลือนราง ผมยังคงนึกถึงชายชรา เมื่อนึกถึงเหตุการณ์วันนั้น รอยยิ้มก็ผุดที่มุมปาก
คืนนั้นเราเข้ากันได้ดีมาก ผมเหมือนไฟที่จุดบุหรี่ให้เขา
ผมรักความทรงจำนั้น... มันมีค่าเหลือเกินในทุก ๆ ความทรงจำ
และเมื่อหวนนึกถึงคำพูดสุดท้ายของชายชรา ผมก็เริ่มตระหนัก ว่าตัวตนแท้จริงแล้วของเขาเป็นใคร...
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่