ศพหิ้วหัว

ความเดิมตอนที่แล้ว
https://pantip.com/topic/39429301

วันที่สิบหลังจากเพื่อนเสีย
หลังจากได้ยินเรื่องที่เพื่อนหญิงคนนั้นเล่าให้ฟัง
ผมก็รู้สึกระแวงอะไรบางสิ่งในห้องอยู่เหมือนกัน  
แต่ก็พยายามไม่คิดอะไร 
พอผ่านมาหลายวันแล้ว ก็ไม่มีอะไรผิดสังเกต
ผมก็เลยคลายความวิตกลงได้บ้าง

จนกระทั่ง ช่วงเย็น
เพื่อนโทรมาชวนให้ไปหาที่ห้องมัน
เพื่อนผมมันเช่าคอนโดอยู่ตึกฝั่งตรงข้ามกับตึกผมนี่เอง
มันบอกให้ผมรีบไปหามันที่ห้อง เพราะกำลังสังสรรค์กันอยู่
ผมรับปากเพื่อนไป
แต่ก็นั่งทำอะไรอยู่ในห้องสักพัก จนมืดค่ำ
เลยเปิดไฟในห้องทิ้งไว้ ก่อนจะไปหาเพื่อนตามที่นัด

พอผมไปถึงห้องเพื่อน ก็เห็นเพื่อนๆ อยู่ในห้องกัน เจ็ด แปด คน
กำลังนั่งกินข้าวกินเหล้ากันอยู่หน้าทีวี
ผมก็เข้าไปนั่งดื่มนั่งกินกันตามประสาการพบปะกัน 
จนผ่านไปสักพักใหญ่ๆ เพื่อนบางคนก็ขอตัวกลับก่อน
ในห้องตอนนั้น เลยเหลืออยู่4คนรวมทั้งผม
พอเพื่อนกลับไปไม่นาน อยู่ๆฟ้าก็ดังครืนๆ แว่วๆ เหมือนฝนจะตก
นั่งกินกันไปอีกสักพัก คราวนี้ก็ได้ยินเสียงฟ้าร้อง ดังขึ้นอย่างแรง
จนเพื่อนผมคนหนึ่งมันเดินไปดูตรง หน้าต่างที่ระเบียง
ผมมองไป เห็นแต่เพื่อนมัน มองออกไปนอกหน้าต่างแล้วก็แหงนหน้ามองฟ้า
อืม สงสัยฝนจะตกหนัก  
ผมได้ยินเพื่อนพึมพำ
แล้วผมก็หันกลับมาดูทีวีต่อ ไม่ได้ใส่ใจอะไร 
สักพัก เพื่อน มันก็ เรียกชื่อผม 
"เฮ้ย.. ใครอยู่ในห้องเอ็งวะ"

ผมรีบหันไปมองเพื่อนคนนั้น  ทำหน้า งง อยู่แป๊บหนึ่ง
"เอ็งอำหรือเปล่านี่"
  
พรางรีบลุกขึ้นไปหาเพื่อนที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง
พอเดินไปถึง เพื่อนก็บอกว่า
"เมื่อกี้ มองไปที่หน้าต่างห้องเอ็ง เห็นเงาคนเดินผ่านที่ผ้าม่านด้วย"

ผมก็เลย รีบมองไปที่หน้าต่างห้องผมตามที่เพื่อนบอก
เพ่งมองไปที่ผ้าม่านอย่างจดจ่อ
จนสักพักหนึ่ง ก็ไม่เห็นเงาอะไรเดินผ่านมา อย่างที่เพื่อนบอกเลย
ผมก็เลยพูดกับเพื่อนไปว่า
"เอ็ง อย่ามาอำ แบบนี้"
เพื่อนก็บอกว่า เห็นจริงๆ ไม่ได้อำ 
แต่พอไม่เห็นอะไร มันก็พูดว่า สงสัยมันตาฝาดไปเอง

พอมานั่งกินอะไรกันต่อไม่นาน ฝนก็ตกมาห่าใหญ่ 
ตกหนักมาก จนกระทั่งไฟดับไปทั้งคอนโด
พอเริ่มมืด เพื่อนก็หาเทียนมาจุด
ปรากฏว่า ไม่มีเทียน 
ผมกับเพื่อนอีกคนก็เลยอาสาลงไปซื้อเทียนที่ร้านค้าด้านล่างคอนโดให้
พอพากันเดินลงบันไดไป  เพื่อนผมมันก็พูดกับผมขึ้นมาว่า
"เอ้ย นี่เอ็ง  ข้าว่า ข้าไม่ได้ตาฝาดนะ "
"เอ็งซ่อนผู้หญิงไว้ในห้องใช้ไหม ถึงไม่กล้าบอกว่ามีใครอยู่ในห้อง"
"อะ อะ ข้ารู้ทันนะโว้ย"

พอเพื่อนพูดจบผมก็สะดุ้งเล็กน้อย
แล้วก็บอกปัดเพื่อนไป  ว่าไม่มีใครอยู่ในห้องจริงๆ
แล้วก็บอกเพื่อนว่า 
"แล้วถ้ามีจริง   ข้าจะปิดพวกเอ็งทำไมวะ ข้าก็พามาด้วยแล้วสิ"
"เอ็งตาฝาดแล้ว"

หลังจากซื้อเทียนได้แล้ว 
ก็พากันเดินกลับขึ้นมา
เดินขึ้นมาได้ครึ่งทาง อยู่ๆไฟก็ติดพอดี

"อ้าวไฟมาแล้ว"
เสียงเพื่อนที่เดินมาด้วยกันพูดขึ้น
สักพัก ก็มาถึงห้อง
เปิดประตูเข้าไป 
มองไปที่หน้าทีวีไม่เจอเพื่อน 
พอหันกลับมาจะปิดประตู 
เห็นเพื่อนสองคนนั่งตัวชิดกัน หลังพิงผนังกำแพงห้องอยู่
พอผมเห็นก็ตกใจเล็กน้อย
"อ้าว.. มานั่งทำไรอยู่นี่วะ"

มองไป ก็เห็นแขนกับมือมันสั่นๆ ทั้งสองคน
ก็เลยรีบถาม 
"เป็นไร วะ  มือไม้สั่น"

เพื่อนมันก็รีบลุกขึ้น แล้วก็ตอบว่า 
"ปะ ปะเปล่า ไม่มีอะไร  นั่งเล่นเฉยๆ"
สองคนรีบพูดพร้อมกันปานนัดหมาย

พอพากันมานั่งกินอะไรกันต่อ แถวหน้าทีวี
ผมก็เห็นเพื่อนสองคนนั้น มันมีอาการแปลกๆ 
เหมือนมันอยากจะพูดอะไร แต่มันก็ไม่พูด
แล้วก็ดู เงียบๆ กว่าก่อนหน้าที่ไฟจะดับ 
หรือว่ามันเมาแล้ว เลยเงียบๆ ก็ไม่รู้

พอดึกมากแล้วผมก็เลยขอตัวกลับห้อง
พอกำลังจะเดินออกจากห้อง
อยู่ๆ เพื่อนในห้องสองคนมันก็ร้องเรียกชื่อผมขึ้นมาพร้อมกัน
จนผมชะงัก หันกลับไปมอง
"ทำไมวะ เรียกซะตกอกตกใจ"

เพื่อนมันก็ทำหน้าเจื่อนๆ หน้าตาลอกแลก แล้วก็พูดว่า
"ปะ ปะ เปล่า  แค่จะบอกว่า โชคดีนะ"

เสียงเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้น ก่อนจะโบกมือให้ แบบเขินๆ
ผมก็ได้แต่ เดินออกมาแบบ งงๆ 
อะไรของมัน มีบ๊าย บาย ด้วย 

พอมาถึงห้อง อาบน้ำ นั่งดูทีวีสักพัก ผมก็เข้านอน
พอปิดไฟ นอนเล่นไปมาสักพักผมก็หลับไป
มารู้สึกตัวอีกที ตอนได้ยินเสียงฝนตก ฟ้าร้อง 
เสียงลอดเข้ามาในห้องเบาๆ
พอลืมตามองไปทางหน้าต่างก็เห็นแต่แสงฟ้าแลบ
ส่องผ่านผ้าม่านเข้ามาในห้อง เหมือนไฟจากแฟลชถ่ายรูป 
ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร ก็เลยพลิกตัวนอนตะแคลง หันข้างไปอีกฝั่ง
กำลังจะเคลิ้มๆ หลับ อยู่ๆก็รู้สึก เหมือนมีมือใครเย็นๆมาจับตรงไหล่ผม
จนไหล่ผมเย็นเฉียบขึ้นมา ปานเอาน้ำแข็งทั้งก้อนมาวางทับ
ผมสะดุ้งตกใจ รีบหันหลังกลับไปมองว่ามือใครมาจับไหล่ผม
แต่ก็เจอเพียงความว่างเปล่าในความมืด
เฮ้ย...
ขนหัวผมลุกซู่ขึ้นมา ตัวชา ไปถึงตาตุ่ม
ผมรีบเอามือมาจับตรงไหล่ข้างที่ผมรู้สึกเย็น
ความรู้สึกว่าถูกมือใครมาจับ ยังคงอยู่ และรู้สึกได้อย่างชัดเจน
ผมรีบดึงผ้ามาคลุมจนถึงคอ นอนหงาย มองเพดาน 
เริ่มคิดมาก จนนอนไม่หลับ 
เมื่อกี้ เราฝันหรือเปล่าวะ หรือว่ารู้สึกไปเอง
ทำไม มันรู้สึกเหมือนจริงมาก
ผ่านไปเกือบสิบนาที ผมก็นอนไม่หลับได้แต่ นอนกระสับกระส่ายไปมา 
จนเริ่มรู้สึกปวดเบา ผมก็เลยลุกขึ้นมานั่งจะไปเข้าห้องน้ำ
ผมไม่ได้เปิดไฟในห้อง 
ลุกเดินไปหน้าห้องน้ำแบบมืดๆ แล้วก็เปิดไฟในห้องน้ำ
พอเข้าไปทำธุระเสร็จ กดชักโครกน้ำลง แล้วก็เดินมาล้างมือ ที่หน้ากระจก
ล้างมือเสร็จ ก็ยืนส่องกระจกดูหน้าตัวเองอยู่ในห้องน้ำเงียบๆ
สักพัก อยู่ๆก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อผมดังแว่วเข้ามาในห้องน้ำ
ทำให้ผมรีบ ขานรับ
"เออ ข้าอยู่นี่ "

พอนึกขึ้นได้ว่า ผมอยู่คนเดียว เท่านั้นแหละ 
ตัวผมก็นิ่ง เกร็ง ขึ้นมาทันที
"คะ คะ ใคร เรียก วะ"

พอนิ่ง บรรยากาศก็เงียบ มาก 
ใจผมต้นแรง จนมือสั่นไปหมด
ค่อยๆหันข้าง  เดินออกไปที่หน้าประตูห้องน้ำ ด้วยความสงสัย
พอเดินออกมาอยู่ตรงหน้าห้องน้ำ 
แสงไฟจากห้องน้ำลอดช่องประตูออกมาเล็กน้อย
ทำให้ในห้องไม่มืดมากนัก 
แต่บรรยากาศก็ทำให้ผมรู้สึก เสียวไปตามแผ่นหลังวูบวาบ
ผมค่อยๆชำเลืองมองไปทางเตียงนอนช้าๆ 
พอมองไปในที่ที่มีแสงสลัว สลัว ก็ทำให้หัวใจผมเริ่มเต้นแรงจนผิดจังหวะ
ผมกวาดสายตา มองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นมีอะไร
แต่ก็ยังไม่คลายความหวาดระแวง เลยรีบเดินไปเปิดไฟในห้อง
พอเดินจากหน้าห้องน้ำมา กำลังจะถึงปลายเตียง 
อยู่ๆหางตาผม ก็รู้สึกว่ามีอะไรเคลื่อนไหว อยู่ตรงพื้น แถวๆโต๊ะคอม
ผมก็เลยรีบหันไปดู
พอมองไปที่พื้น ก็เห็นเหมือนตัวอะไรเป็นเงาดำๆ ตะคุ่มตะคุ่ม คล้ายหนูตัวใหญ่
จนผมต้องเพ่งมองให้ดี
พอจ้องไปดูดีๆเท่านั้นแหละ
ขนแขนผมก็ลุกซู่ รอบตัวเย็นเฉียบขึ้นมาอย่างกระทันหัน
มันเป็นเท้าของคนวางอยู่ตรงมุมมืดๆหน้าโต๊ะคอม
ผมค่อยๆมองตามเท้านั้นขึ้นไปตามลำแข้งดำๆนั้น ช้าๆ 
เห็นเป็นร่างดำทะมึนนั่งอยู่ที่เก้าอี้ หันมาทางผม 
แล้วเสียงพนักเก้าอี้ก็ดัง แอ๊ด.. ขึ้น
พร้อมๆกับ สายตาผม ที่รีบจ้องไปดูตรงใบหน้า ว่าเป็นใครมานั่งอยู่ตรงนั้น
แล้วผมก็ ผวาขึ้นสุดขีดครับ
ร่างดำทะมึนนั้น มีแค่คอ ตั้งอยู่บนไหล่ กว้างๆ 
ไม่มีหัว นั่งนิ่งตัวตั้งตรงอยู่ที่เก้าอี้

เท่านั้นแหละ ขนหัวผมก็ลุกตั้ง สติแทบไม่อยู่กับตัว
ร้องเสียงดังลั่น อย่างคนเก็บอาการไม่อยู่
รีบกระโจนไปที่ประตูห้องอย่างไว
"ผะ ผะ ผี หัวขาด"
เสียงประตูปิดดัง ปั้ง! แว่วตามหลังฝีเท้าผมมาติดๆ
ผมรีบวิ่งไปหาเพื่อนที่อยู่คอนโดอีกฝั่งทันที

พอถึงหน้าประตู ก็รีบเคาะประตูเสียงดัง
สักพักเพื่อนมันก็ งวงเงีย  มาเปิดประตูให้
ผมรีบ พรวดพราด เข้าไปในห้องอย่างไว
จนเพื่อนมันทำหน้า งงๆ 
"เป็นไรวะ มาเรียกแบบนี้ "
"โวยวาย เสียงดัง เดี๋ยวข้างห้องก็ด่าพอดี"

พอผมเข้าไปในห้องได้ ก็รีบบอกเพื่อนทันทีว่าผมเจอผีหลอก
แล้วก็รีบเล่าให้เพื่อนฟัง พอเพื่อนได้ฟังว่าผมโดนผีหลอก
เพื่อนสองคนมันก็เลย เล่าบางอย่างให้ผมฟัง
ว่า....
ตอนที่ไฟดับ แล้วผมลงไปซื้อเทียนกับเพื่อนอีกคน
เพื่อนสองคนที่รออยู่ในห้อง ก็ พากันไปยืนดูบรรยากาศฝนพรำที่หน้าต่าง
แล้วอยู่ๆไฟก็มา  พอยืนคุยอะไรกันไปมาอยู่ที่หน้าต่างสักพัก
ก็พากันมองไปที่ ห้องผมโดยบังเอิญ

แล้วเพื่อนมันก็เล่าว่า
พอมองไปที่หน้าต่าง
อยู่ๆก็เห็นเป็นเงาคนโผล่มาที่ผ้าม่าน
เป็นร่างสูงใหญ่ แต่เงานั้น มันไม่มีหัว

พอเห็นแบบนั้น เพื่อนสองคนนั้นก็เลย พากันถอยกรูไปนั่งหลบ ตัวสั่นอยู่ข้างๆประตู
อย่างที่ผมเห็นตอนนั้น 

ผมก็เลยรีบ ด่าเพื่อนไป
ว่าทำไมไม่ยอมบอกแต่แรก

ตื่นเช้ามา ผมกับเพื่อนๆ ก็พากันไปทำบุญที่วัด
แล้วก็แวะไปหา อาจารย์ที่ท่านเก่งเรื่อง นั่งทางใน ให้ดูเรื่องที่พวกผมเจอให้หน่อย
เพื่อนบอกว่า แม่ของมันแนะนำให้ไปดูกับอาจารย์ท่านนี้
พอ อาจารย์นั่งทางในดูสักพัก
ท่านก็บอกว่า เป็นวิญญาณของเพื่อนผมคนนั้น ที่ตามผมมา
แล้วท่านอาจารย์ ก็บอกว่า 
ต้องทำพิธีให้เขา หมดห่วง  ให้ไปผุดไปเกิด 
พออาจารย์บอกแบบนั้น พวกเราก็เลย ให้อาจารย์ทำพิธีให้ 
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา  ผมก็ไม่เห็นวิญญาณของเพื่อนอีกเลย

หลังจากภาพความทรงจำทุกอย่างกลับคืนมา หลอกหลอนผมอีก

ผมได้แต่ถือโทรศัพท์ มือสั่น เล่าเรื่องที่พึ่งเจอ พยาบาลทัก ให้เพื่อนฟัง 
เสียงเพื่อน พูดตอบกลับมาทันที ที่ผมเล่าจบ
ใช่มันจริงหรือวะ ผ่านมาตั้ง เจ็ด แปด ปีแล้วนะ โว้ย
คุยไปคุยมา กับเพื่อนอยู่สักพัก ก็สรุปไม่ได้ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมคืออะไรกันแน่
เพื่อนมันก็เลยแนะนำให้ผมไปหาวัด ลองไปปรึกษากับพระดู เผื่อท่านช่วยได้
เช้าวันต่อมา แม้จะยังรู้สึกไม่สบายอยู่ อาการไอก็กำเริบหนักกว่าวันก่อน
แต่ผมก็พยายาม ไปหาวัดสักที่ ที่พอจะจัดการกับเรื่องนี้ได้
จนขับรถมาถึงวัดแห่งหนึ่ง แถวๆที่ผมพัก พอได้เข้าไปคุยกับเจ้าอาวาสแล้ว
ท่านก็แนะนำให้ผมไป ที่วัดแห่งหนึ่งครับ 
ผมก็รีบไปวัดนั้น ตามที่เจ้าอาวาสบอก 
พอไปถึงวัดนั้น ผมก็ได้ไปเจอกับ หลวงพี่ท่านหนึ่ง 
พอสนทนาได้ใจความแล้ว 
หลวงพี่ก็ หลับตา สวดมนต์อยู่พักหนึ่ง
แล้วหลวงพี่ก็บอกผมว่า 
วิญญาณที่ตามผมมานั่น เขายังไม่ได้ไปไหน แต่แรกแล้ว
ที่ผมมองไม่เห็นวิญญาณเขา เพราะถูกอวิชชาสะกดปิดตาผมไว้
ไม่ให้มองเห็นเขาเท่านั้นเอง 

"แต่เขาก็ยังตามโยมอยู่นะ"
พอหลวงพี่พูดจบเท่านั้นแหละ 
ผมนี่ รู้สึกได้เลยว่า มีใครยืนอยู่ข้างหลังผม
ผมก็เลยถามหลวงพี่ไปว่า แล้วทำยังไง วิญญาณเพื่อนถึงจะเลิกตามผม
หลวงพี่ก็บอกว่า 
"หลวงพี่ไม่สามารถขับไล่วิญญาณได้" 
"รู้แต่ว่า เพื่อนโยมเขายังมีห่วงอยู่"
"เขาต้องการให้โยมกลับไปทำอะไรสักอย่างให้เขา"
"หลวงพี่บอกได้แค่นี้หละ"

แล้วหลังจากนั้น หลวงพี่ก็ สวดมนต์
ทำพิธีถอด อาคม ที่ปิดตาผมอยู่ออกให้

หลังจากนั้น
ตลอดทางขับรถกลับ 
ผมได้แต่คิดไปมา 
เพื่อนมันยังห่วงอะไรอยู่นะ
แล้วนี่ สรุปผมต้องกลับไปที่บ้านเกิดเพื่อนอีกหรือนี่
โปรดติดตามตอนต่อไป
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 44
ตอนจบ
ผมหูผึ่งขึ้นมาทันทีที่ได้ ยินชื่อนั้น
รีบเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
ได้ยินเสียง เณรพูดขึ้นแบบทีเล่นทีจริง
"โยมแม่  อยากกินอะไร เดี่ยวเณรจะบอก ตากับยาย ใส่บาตร ให้นะ"

ผมค่อยๆเดินอ้อมไปยืนดูอยู่ข้างๆ จนเริ่มเห็นหน้าเณร ถนัดขึ้น
ทันทีที่เห็นหน้า ผมก็แทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เลยครับ

แววตาคู่นั้น ผิวสีแบบนั้น
โครงหน้าที่คุ้นตาอย่างนั้น มันเด่นชัด
จนชวนให้คิดถึงใบหน้าของเพื่อนขึ้นมาทันที ตั้งแต่แรกเห็น
มือเล็กๆของเณรค่อยๆปัด ฝุ่นที่อยู่ตรงฐานธาตุ ออกช้าๆ
แล้วเอาดอกไม้ที่ถือมา วางลงที่ฐานนั้นอย่างบรรจง
ผมน้ำตาไหลออกมา อย่างสุดกั้น

"นี่ใช่ไหมเพื่อน ที่แกห่วงอยู่"

ผมสะอื้นไห้ออกมา กับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า
แม้ผมจะยังไม่รู้อะไรมากนัก แต่ก็พอจะคาดเดาอะไรบางอย่างออก
นี่คงเป็นสายใยสุดท้ายที่เพื่อนผม มันคงอยากจะบอกให้ผมรับรู้

หลวงพ่อหันมาเห็นผมยืน สะอื้นอยู่
แล้วท่านก็พูดว่า
"อ้าว เป็นอะไรหรือโยม"

ผมรีบเอามือปาดน้ำตา แล้วนั่งลงอยู่ข้างๆหลวงพ่อ

"ผมทราบซึ้งในความกตัญญูของเณรครับ"

หลวงพ่อก็ ได้แต่ ตอบ "อืม  อืม"

หลังจากให้เณรไปทำกิจวัตรต่อแล้ว
ผมก็มีโอกาสได้คุยกับหลวงพ่อต่อครับ
ท่านเล่าเรื่องของเณรให้ฟัง ว่า
แม่ของเณรได้เสียชีวิตตั้งแต่ เมื่อสองปีก่อน
แล้วด้วยความที่ครอบครัวทางบ้าน มีฐานะยากจน
ตากับยาย ก็เลยเอามาฝากบวชเรียนไว้ที่นี่

พอผมถามถึงว่า พ่อของเณรเป็นใคร
หลวงพ่อก็บอกว่า
"ไม่รู้เหมือนกัน แต่เห็นชาวบ้านเขาลือกันว่า ท้องไม่มีพ่อ"

หลังจากถามถึงครอบครัว นานา ว่าอยู่ที่ไหน
หลวงพ่อก็ให้คนพาผมไปหา ครอบครัวของนานาครับ
โดยก่อนเดินทางไป เขาก็พาผมไปเอารถที่จอดอยู่ในที่เกิดเหตุ
โชคดีที่ พวกนักเลงพวกนั้นมันทิ้งกระเป๋าตังส์ไว้ให้ผม
แม้ว่าข้างในจะไม่มีเงินสดเหลืออยู่
เขาถามผมว่าจะไปแจ้งความไหม
ผมก็บอกคนที่มาส่งว่า  
"กฏหมายคงเล่นงานอะไรมันไม่ได้หรอก "
"แจ้งความไปก็คง ป่วยการ"

หลังจากเปลี่ยนล้ออะไหล่เสร็จ ผมก็เดินทางไปบ้าน นานา ทันทีครับ
พอไปถึงบ้าน จนได้พบกับตากับยายแล้ว
ผมก็ถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ นานา ก่อนจะมีลูก

ตา ยาย ก็เล่าให้ฟังว่า
เมื่อแปดปีก่อน
นานา มาบอกกับทางบ้านว่า ตัวเองท้อง
แต่ตากับยาย ถามว่าท้องกับใคร
นานา ก็ไม่บอก
นานา บอกแต่ว่า เขาจะให้คนมาสู่ขอ ตามประเพณี
ตากับยายก็เลยได้แต่รอ
รอแล้วรอเล่า จนกระทั่ง นานา ก็คลอดลูกออกมา
แต่ก็ไม่เห็นผู้ชายคนนั้นมาสู่ขอ ตามที่บอกสักที
พอตากับยายจี้ถามหนักๆเข้า
วันหนึ่ง นานา ก็คิดสั้น จะฆ่าตัวตาย
แต่โชคดีที่ ยาย มาเห็นแล้วก็ห้ามไว้เสียก่อน
แล้วก็ได้แต่ทำใจ บอก นานา ไปว่า

"เขาไม่รักเรา เราก็อยู่กันตามประสาแม่ลูกไปเถอะนะ"
"ต่อจากนี้ไป ก็อย่าคิดถึงผู้ชายคนนั้นอีกเลย"

กระทั่งผ่านไปหลายปี แม้จะมีชายคนอื่นมาจีบ นานา
แต่ นานา ก็ไม่เคยสนใจใยดี
แต่ก็มีความสุขดี
จนเมื่อสองปีก่อน
นานาก็มาเจออุบัติเหตุ รถชนเสียชีวิต

"ฉันก็อยู่กันแค่สองตายาย ต้องออกไปทำงานทุกวัน"
"ใครจะเลี้ยงดูไอ้แดง"
"นึกได้แต่ หลวงพ่อเท่านั้นแหละ ที่เป็นที่พึ่งสุดท้าย"

แล้วตากับยายก็เอา รูป รูปหนึ่งมาให้ดู
หลังจากที่ นานา เสียชีวิต แล้วก็ไปเจอรูปนี้อยู่ใต้ที่นอนของ นานา

ผมได้แต่น้ำตาไหลออกมา ทันทีที่เห็นรูป
นานา กับ เพื่อนผมยืน ถ่ายรูปด้วยกัน
คนที่รักกันจริงขนาดนี้ ยังมีอยู่อีกหรือ

แล้วผมก็บอกตากับยายไปว่า
คนนี้คือเพื่อนผมเอง
ที่เขามาสู่ขอนานาไม่ได้
เพราะ เขาเสียชีวิตกระทันหันครับ
และก็ไม่มีใคร ทราบเรื่องนี้เลย

ว่าแล้วผมก็ก้มลงกราบ สองตายาย
ผมผิดเองครับ
ทั้งหมด มันเกิดจากผมเป็นต้นเหตุเอง
ผมขออโหสิกรรม ด้วยครับ ขอให้ ตา ยาย อภัยให้ผมด้วยครับ

พูดไปน้ำตาก็ไหลไป

หลังจากทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว
ผมก็กลับไปหาน้าๆของเพื่อน
แล้วก็เล่าทุกอย่างให้น้าของเพื่อนฟัง
พอน้ารู้เรื่อง เขาก็โทรบอกพวกญาติๆทุกคนเป็นการใหญ่

จากนั้นไม่นาน น้าๆและญาติๆของเพื่อน ก็พากันไปทำพิธี ขอขมาตายาย
แล้วก็สู่ขอ นานา กับตายาย ตามประเพณี
โดยขบวนเจ้าบ่าว
ก็มีผมกับกลุ่มเพื่อนๆที่เรียนมหาลัย
ช่วยกันถืออัฐิเพื่อน เดินทางไปด้วย


และแล้ว อัฐิเพื่อนก็ได้ไปอยู่ที่ธาตุเดียวกันกับนานา ที่วัดแห่งนั้น

ญาติๆเพื่อนบางคนที่เป็นผู้ชาย ต่างเข้าสวมกอด เณร ทันทีเมื่อรู้ความจริง
ราวกับเป็นคนสนิทในบ้าน
ทุกคนในงานต่างอิ่มเอิบไปด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มแต่เปื้อนไปด้วยน้ำตา
ไม่เว้นแม้แต่ผม ที่งานนี้น้ำตาไหลตลอดงาน เลยครับ
ยิ่งตอนที่ ทำพิธีเอา อัฐิเพื่อนมาไว้ด้วยกันในธาตุแล้ว
น้ำตาก็ยิ่งไหนออกมา ทั้งๆที่ยิ้มอยู่
แหละนี่เองละมั้ง
ที่เป็นเหตุผลที่แท้จริง ที่เพื่อนมันชวนผมมาบ้าน เมื่อแปดปีก่อน
มันคงอยากให้ผมมางานแต่งมันนี่เอง

หลังจากเสร็จพิธีแล้ว ช่วงที่เดินทางมาส่งน้าๆที่บ้านเพื่อน
มีชาวบ้านหลายคนแวะเวียนมาถามไถ่
แล้วผมก็ได้ยินชาวบ้านคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า
คนที่เขาฆ่าเพื่อนผม ตอนนี้นอนเป็นอัมพาตครึ่งซีก
ขยับตัวเองไม่ได้
ต้องนอนติดเตียงไปตลอดชีวิต

น้า ก็เลยถาม ชาวบ้านคนนั้นว่า
ทำไมถึงเป็นอัมพาตได้

ชาวบ้านคนนั้นก็ตอบว่า
"ตกจากบ้านร้างหลังหนึ่ง แล้วประตูก็ตกมาทับซ้ำอีกที
ไม่รู้ว่าพากันไปเสพยา หรือ เมาอะไรหรือเปล่า ถึงตกลงมาได้แบบนั้น"

พอได้ยินชาวบ้านเล่า
ผมก็รู้เลยว่า นั่น เป็นฝีมือของใคร

ครับ และนับแต่นั้นมา
ผมก็ไม่เคยเจออะไรแปลกๆอย่างที่เล่าให้ฟัง อีกเลยครับ

จบบริบูรณ์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่