ผมเพิ่งมีโอกาสมาเที่ยวประเทศสิงคโปร์หลังจากที่ไม่ได้มานานกว่า 15 ปี สิงคโปร์เปลี่ยนไปมาก มีทั้งเรื่องที่ประทับใจ และไม่ประทับใจอยู่หลายเรื่อง สำหรับตอนแรกขอเป็นเรื่องที่ประทับใจก่อนละกันนะครับ
สิงคโปร์เป็นประเทศเล็กแต่เรื่องเทคโนโลยีไม่ได้เล็กไปด้วย ที่จะเล่าในตอนแรกนี้เป็นเรื่องขั้นตอนการ Check In ขากลับประเทศไทย (Departure) ซึ่งตามปกติกระบวนการที่เราเจอกันอยู่ประจำคือ Check In ผ่าน App หรือ Web ของสายการบินก่อนไปถึงสนามบิน, พิมพ์ Boarding pass หรือใช้ E-Boarding pass, Load กระเป๋า (ถ้ามี) ที่ Counter Check In, ผ่านตม.ขาออก, ผ่าน Security check และเมื่อถึง Gate ตอน Boarding ก็จะมีเจ้าหน้าที่เอา Boarding pass เราไป scan ก่อนให้เราผ่านขึ้นเครื่องเป็นอันเสร็จพิธี
สำหรับการเดินทางขากลับครั้งนี้ของผมเริ่มที่สนามบินชางงี (Changi Airport) สายการบิน Air Asia ขึ้นที่ Terminal 4 เริ่มตั้งแต่ Check In ผมมาทำที่สนามบินผ่านเครื่อง Self Check In ซึ่งแต่ละแถวของแต่ละสายการบินจะมีเครื่องฯ วางเรียงไว้จำนวนกว่า 10 เครื่อง ระบบทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำ ทำรายการ 3 คนใช้เวลาไม่เกิน 2 นาที (รวมเวลารอพิมพ์เอกสารด้วย) หลังจากได้ Boarding pass และ Tag ติดกระเป๋าแล้วก็ไปทำ Self Bag-Drop เครื่องจะสแกน Boarding pass, Passport และ Tag ติดกระเป๋า สำหรับ Tag ติดกระเป๋า จะใช้วิธีวางกระเป๋าให้ Tag หันไปที่ทางเข้าของสายพาน จะมีเลเซอร์แดงๆ กวาดหา Tag เมื่อเจอหน้าจอจะขึ้นว่าผ่าน เมื่อทำรายการเรียบร้อยสายพานก็จะพากระเป๋าเราเข้าไปตามสายพานโดยอัตโนมัติเป็นอันเสร็จกระบวนการในขั้นตอนนี้ ใช้เวลาไม่เกิน 3 นาทีสำหรับกระเป๋า 2 ใบ (ตอนแรกผมงงเล็กน้อยเพราะไม่ได้หัน Tag ติดกระเป๋าให้หันเช้า Laser เลย Scan ไม่เจอ) ตรงจุดนี้ยังมีเจ้าหน้าที่อยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพียงช่วย support กรณีเราติดปัญหาเท่านั้น ในอนาคตเมื่อนักท่องเที่ยวได้รับการ educate สักพัก จุดนี้คงเหลือเจ้าหน้าที่สัก 1-2 คนหรือไม่มีเลยก็เป็นไปได้
ขั้นตอนตม.ขาออกเป็นระบบอัตโนมัติเหมือนกัน Scan Boarding Pass, Passport และลายนิ้วมือก็ออกจากขั้นตอนนี้ได้เรียบร้อย ใช้เวลาไม่เกิน 1 นาที ตรงจุดนี้ก็แทบจะไม่มีเจ้าหน้าที่เลย เห็นมีอยู่ 1-2 คนไว้คอย Support อีกเช่นกัน (ของประเทศไทยเราขาออก และขาเข้าสำหรับ Passport คนไทยก็เป็นระบบอัตโนมัติแล้ว หากปรับปรุงเรื่องความสเถียร และความรวดเร็วขึ้นอีกนิดจะดีมากๆ ครับ)
ขั้นตอน Security Check ยังคงมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่เหมือนเดิม โดยในส่วนของการตรวจสอบ และสายพานแตกต่างจากที่เห็นของเมืองไทยคือสายพานแยกออกเป็น 2 เส้น เส้นหนึ่งสำหรับกระเป๋าและสัมภาระที่ Scan แล้วไม่พบสิ่งปกติ ส่วนอีกสายพานจะเป็นกระเป๋าและสัมภาระที่พบสิ่งผิดปกติต้องเปิดกระเป๋าให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ตรงจุดนี้ใช้เจ้าหน้าที่มากกว่าจุดอื่นๆ และใช้เวลาค่อนข้างมากขึ้นกับจำนวนคิว
ขั้นตอนสุดท้ายคือ Boarding ขึ้นเครื่องที่ Gate ตรงจุดนี้ก็เป็น Self Check In ผ่านเครื่อง Scan Boarding Pass ใช้เวลาต่อคนไม่เกิน 3 วินาทีเร็วมาก มีเจ้าหน้าที่ 2 คนเพื่อจัดระเบียบให้ผู้โดยสายที่อยู่ใน zone 1 ขึ้นเครื่องก่อน (Premium Flexi, Hot Seat) หากตัดเรื่องกระบวนการนี้ออกไปจุดนี้แทบจะไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่เลย
รวมๆ กระบวนการทั้งหมดไม่นับรวมจุด Security Check และเวลาที่ใช้เดินไปในแต่ละจุดรวม 3 คนใช้เวลาไม่เกิน 5 นาทีคือเร็วมากๆ อ่ะ อยากเห็นประเทศไทยขยายเรื่องการ Self Service ให้เพิ่มขึ้นโดยนำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ จะช่วยให้กระบวนการต่างๆ ทำได้รวดเร็วมากขึ้นอีกครับ
#เที่ยวสิงคโปร์ EP.1 Self-Service Check In
สิงคโปร์เป็นประเทศเล็กแต่เรื่องเทคโนโลยีไม่ได้เล็กไปด้วย ที่จะเล่าในตอนแรกนี้เป็นเรื่องขั้นตอนการ Check In ขากลับประเทศไทย (Departure) ซึ่งตามปกติกระบวนการที่เราเจอกันอยู่ประจำคือ Check In ผ่าน App หรือ Web ของสายการบินก่อนไปถึงสนามบิน, พิมพ์ Boarding pass หรือใช้ E-Boarding pass, Load กระเป๋า (ถ้ามี) ที่ Counter Check In, ผ่านตม.ขาออก, ผ่าน Security check และเมื่อถึง Gate ตอน Boarding ก็จะมีเจ้าหน้าที่เอา Boarding pass เราไป scan ก่อนให้เราผ่านขึ้นเครื่องเป็นอันเสร็จพิธี
สำหรับการเดินทางขากลับครั้งนี้ของผมเริ่มที่สนามบินชางงี (Changi Airport) สายการบิน Air Asia ขึ้นที่ Terminal 4 เริ่มตั้งแต่ Check In ผมมาทำที่สนามบินผ่านเครื่อง Self Check In ซึ่งแต่ละแถวของแต่ละสายการบินจะมีเครื่องฯ วางเรียงไว้จำนวนกว่า 10 เครื่อง ระบบทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำ ทำรายการ 3 คนใช้เวลาไม่เกิน 2 นาที (รวมเวลารอพิมพ์เอกสารด้วย) หลังจากได้ Boarding pass และ Tag ติดกระเป๋าแล้วก็ไปทำ Self Bag-Drop เครื่องจะสแกน Boarding pass, Passport และ Tag ติดกระเป๋า สำหรับ Tag ติดกระเป๋า จะใช้วิธีวางกระเป๋าให้ Tag หันไปที่ทางเข้าของสายพาน จะมีเลเซอร์แดงๆ กวาดหา Tag เมื่อเจอหน้าจอจะขึ้นว่าผ่าน เมื่อทำรายการเรียบร้อยสายพานก็จะพากระเป๋าเราเข้าไปตามสายพานโดยอัตโนมัติเป็นอันเสร็จกระบวนการในขั้นตอนนี้ ใช้เวลาไม่เกิน 3 นาทีสำหรับกระเป๋า 2 ใบ (ตอนแรกผมงงเล็กน้อยเพราะไม่ได้หัน Tag ติดกระเป๋าให้หันเช้า Laser เลย Scan ไม่เจอ) ตรงจุดนี้ยังมีเจ้าหน้าที่อยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพียงช่วย support กรณีเราติดปัญหาเท่านั้น ในอนาคตเมื่อนักท่องเที่ยวได้รับการ educate สักพัก จุดนี้คงเหลือเจ้าหน้าที่สัก 1-2 คนหรือไม่มีเลยก็เป็นไปได้
ขั้นตอนตม.ขาออกเป็นระบบอัตโนมัติเหมือนกัน Scan Boarding Pass, Passport และลายนิ้วมือก็ออกจากขั้นตอนนี้ได้เรียบร้อย ใช้เวลาไม่เกิน 1 นาที ตรงจุดนี้ก็แทบจะไม่มีเจ้าหน้าที่เลย เห็นมีอยู่ 1-2 คนไว้คอย Support อีกเช่นกัน (ของประเทศไทยเราขาออก และขาเข้าสำหรับ Passport คนไทยก็เป็นระบบอัตโนมัติแล้ว หากปรับปรุงเรื่องความสเถียร และความรวดเร็วขึ้นอีกนิดจะดีมากๆ ครับ)
ขั้นตอน Security Check ยังคงมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่เหมือนเดิม โดยในส่วนของการตรวจสอบ และสายพานแตกต่างจากที่เห็นของเมืองไทยคือสายพานแยกออกเป็น 2 เส้น เส้นหนึ่งสำหรับกระเป๋าและสัมภาระที่ Scan แล้วไม่พบสิ่งปกติ ส่วนอีกสายพานจะเป็นกระเป๋าและสัมภาระที่พบสิ่งผิดปกติต้องเปิดกระเป๋าให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ตรงจุดนี้ใช้เจ้าหน้าที่มากกว่าจุดอื่นๆ และใช้เวลาค่อนข้างมากขึ้นกับจำนวนคิว
ขั้นตอนสุดท้ายคือ Boarding ขึ้นเครื่องที่ Gate ตรงจุดนี้ก็เป็น Self Check In ผ่านเครื่อง Scan Boarding Pass ใช้เวลาต่อคนไม่เกิน 3 วินาทีเร็วมาก มีเจ้าหน้าที่ 2 คนเพื่อจัดระเบียบให้ผู้โดยสายที่อยู่ใน zone 1 ขึ้นเครื่องก่อน (Premium Flexi, Hot Seat) หากตัดเรื่องกระบวนการนี้ออกไปจุดนี้แทบจะไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่เลย
รวมๆ กระบวนการทั้งหมดไม่นับรวมจุด Security Check และเวลาที่ใช้เดินไปในแต่ละจุดรวม 3 คนใช้เวลาไม่เกิน 5 นาทีคือเร็วมากๆ อ่ะ อยากเห็นประเทศไทยขยายเรื่องการ Self Service ให้เพิ่มขึ้นโดยนำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ จะช่วยให้กระบวนการต่างๆ ทำได้รวดเร็วมากขึ้นอีกครับ