" เขาสันหนอกวัว " ยอดเขาที่สูงที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรี ชื่อนี้คงเป็นที่คุ้นหูกันเป็นอย่างดีสำหรับนักเดินป่าทั้งหลาย ด้วยความสูง 1,707 เมตร กับระยะทางในการพิชิต 9 กิโลเมตร ดูตัวเลขอาจจะดูเยอะสำหรับบางคน แต่แท้จริงแล้วที่นี่ถือว่าเป็นเส้นทางที่ง่ายหากเตรียมร่างกายมาดี แต่หากไม่ฟิตพอก็อาจจะเหนื่อย และเกิดอาการนิดนึง แต่ก็ยังถือว่าที่นี่เป็นสถานที่เริ่มต้นสำหรับผู้ที่หลงใหลการเดินป่าได้เลยทีเดียว
สำหรับการจองขึ้นเขาสันหนอกวัวรอบสุดท้ายของปี 62 คือ วันที่ 16 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมาโดยจะเปิดรับจองขึ้นเขาสันหนอกวัว ในรอบสำหรับเดือนมกราคม - 16 กุมภาพันธ์ 2563 ในวันเสาร์คนก็อาจจะจองเต็มหมดแล้ว หากจองตอนนี้ ยังไงก็ลองโทรๆ ไปกันดูก่อน เผื่อยังมีที่ว่างเหลือ
เอาล่ะ ! แล้วด้านล่างนี้ก็คือเรื่องราวการเดินทางพิชิตสันหนอกวัว 2 วัน 1 คือ ของผม
การเดินทางครั้งนี้ผมเลือกที่จะขับรถยนต์ส่วนตัวกันมาเอง โดยออกเดินทางตั้งแต่เย็นวันศุกร์ และไปนอนกางเต๊นท์ ที่ป้อมปี่ 1 คืน หรือหากใครจะจองบ้านพักก็ได้หากยังไม่เต็มซะก่อน
แต่จะบอกว่าคืนนั้นเราเลี้ยวเข้าไปผิดที่ ดันไปเลี้ยวเข้าที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ซึ่งด้านหลังนั้นเป็นน้ำตกกระเต็งเจ็ง คืนนี้มีกลุ่มผม กับ สิงห์มอเตอร์ไซค์คู่นึง นอนอยู่ใกล้ๆ กัน
ก็ดีไปอีกแบบนะ เพราะ ห้องน้ำมีให้ใช้แบบส่วนตัวสุดๆ ไปต้องไปแย่งกับใครเลย และไม่น่ากลัวด้วย ตื่นเช้าก็อาบน้ำที่นี่ และค่อยเคลื่อนตัวไปยังที่ป้อมปี่ก็ได้ อยู่ห่างกันแค่นิดเดียวเท่านั้น

หลังจากที่เคลื่อนตัวมายังป้อมปี่ และกินข้าวเช้า พร้อมไปรับเสบียงที่ได้โทรสั่งไว้ตั้งแต่วันศุกร์ จาก ครัวป้อมปี่ เบอร์ 0924190368 (รับทำอาหาร และข้าวห่อสำหรับกินระหว่างทาง
เวลา 8.00 น. เจ้าหน้าที่ก็เริ่มมาตั้งโต๊ะให้ลงทะเบียน โดยจะต้องมาเขียนใบลงทะเบียนทุกคน เพื่อเป็นข้อมูลยามเกิดเหตุฉุกเฉิน เพื่อลงทะเบียนกันครบกลุ่มที่เจ้าหน้าที่ได้จัดไว้ ก็จะทำการแจกแจงลูกหาบ และเจ้าหน้าที่ประจำกลุ่ม ครั้งนี้ผมมากัน 4 คน เขาก็ได้จัดผมไปอยู่กลุ่มเดียวกับคนที่มา 2 คน รวมเป็น 6 คน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดก็จะถูกหาร 6 คน

หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยหัวหน้าอุทยานก็มาพูดคุย และขอความร่วมมือ หลักๆ ก็เรื่องถุงพลาสติกเลย ที่ปีหน้าจะมีมาตรฐานในการห้ามใช้ และจัดการกับเรื่องนี้ เอาล่ะทีนี้ก็ถึงเวลาเดินทางกันแล้ว

เกือบ ๆ 9 โมง กลุ่มของผม เจ้าหน้าที่นำทาง และลูกหาบก็ขึ้นรถกระบะคันเดียวกัน เพื่อพาไปยังจุดเริ่มเดินเท้าขึ้นสู่ยอดเขาสันหนอกวัวก

เวลา 9.12 น. เราก็มาถึงยังจุดเริ่มต้นของการเดินทาง

อ่านรีวิวมาเยอะเห็นเขามักถ่ายกันเป็นพิธี ก็ไม่พลาดที่กลุ่มผมจะถ่ายกันบ้าง และนี่ก็คือโฉมหน้าของนักเดินทางของผม

เวลา 9.20 น. พวกเราก็เริ่มเดินกันอย่างเฮฮาในตอนนี้ที่ยังมีแรง หนทางจะเป็นไงไปดูกันต่อเลย

เส้นทางก็จะประมาณนี้มีอุปสรรคบ้างนิดหน่อย แต่ยังถือว่าสบายๆ อยู่

ผ่านจุดพักที่ 1 ไปตอนไหนก็ไม่รู้เหมือนนั่งแปบๆ แล้วเดินต่อมายังจุดพักที่ 2 เลย ตอนนี้ก็เวลาประมาณ 10 โมงได้ละ

พักแปบๆ ก็เดินต่อเลย แรงยังเหลือก็พักแปบเดียวแบบนี้แหละ

10.30 น. ก็มาโผล่จุดที่ 3 แล้ว ก็ถือว่ายังทำเวลาได้ดี จริงๆ ก็คือปกติที่เขาเดินกันนั่นแหละ

จากจุดพักที่ 3 มาได้ 15 นาที ก็มาถึงจุดพักที่ 4 ถึงตรงนี้ก็ถือว่าเดินมาได้ครึ่งทางแล้วล่ะ แต่หารู้ไม่ว่าเส้นทางที่จะเจอต่อไปคือที่สุดของที่นี่

นี่คือการเริ่มต้นจากจุดพักที่ 4 ไปยังป่าไผ่ที่จัดว่าชันระดับนึง แต่ยังไม่โหดเท่าที่จะเจอต่อๆ ไป

เวลา 11.05 น. เราก็เข้าสู่โซนป่าไผ่ ที่พี่สันติ ผู้นำทางของเราบอกว่าเป็นจุดตัดกำลังก่อนเผชิญเนินหมาถอย

เวลา 11.19 น. เราก็มาถึงยังทางขึ้นเนินหมาถอย ที่มาที่ไปของชื่อนี้ก็คือ การเดินลงเนินนี้ให้ถอยหลังเดินจะลงได้ง่าย และเมื่อยน้อยกว่าก็เดินหันหน้าลง แค่นี้แหละที่มาของชื่อ เนินนี้จัดว่าเป็น The Best ของสันหนอกวัว จริงๆ แล้วถ้าเนินนี้อยู่ที่จุดแรกๆ ก็อาจไม่จัดว่าโหดมาก แต่เป็นเพราะเราเหนื่อยล้ามาตลอด 4-5 กิโลที่ผ่านมา พอมาถึงเนินที่ชัดที่สุดอย่างเนินหมาถอย อาการปวดเมื่อย ตะคริว สำหรับบางคนก็จะเริ่มถามหา

ระหว่างทางที่อยู่เนินหมาถอย มองไปด้านขวาเราก็จะเจอกับเขาเรดาร์ ของกองทัพอากาศไทยทั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา

หลังจากผ่านเนินหมาถอยอันหฤโหด เราก็มาถึงยังจุดพักที่ 5 เที่ยงพอดี และนี่ก็คือจุดที่ทุกๆ คนจะพักกินข้าวกันตรงนี้ เพื่อเตรียมเดินต่อ *** มีที่ทำธุระส่วนตัวด้วยนะจุดนี้

หลังจากเติมพลังงานมาเรียบร้อย เวลา 13.10 น. เราก็มาถึงยังเนินปราบเซียน แต่ไม่ต้องกลัวไป เพราะไม่ได้โหดกว่าเนินหมาถอยเลย ความชันก็เหมือนกันจุดแรกๆ ที่เราเดินผ่านมานั่นแหละ แต่เราแค่สะสมความล้า ความเมื่อยมานาน พอมาถึงตรงนี้มันก็เลยอาจจะมองว่าโหด แต่อยากจะบอกให้ดีใจเล่นๆ ว่านี่คือเนินสุดท้ายที่เราจะผ่าน

เอาล่ะอดทนอีกนิด ก็บรรลุเป้าหมายแล้ว

เกือบๆ บ่ายสองเราก็มาถึงยอดเขาแล้ว แค่เดินต่ออีกหน่อยเท่านั้นเอง

และที่เห็นยอดนั้นก็คือ สันหนอกแม่ หรือสันหนอกเล็ก ที่เรียกกัน ส่วนสันหนอกพ่อ หรือสันหนอกใหญ่จะอยู่หลังสันหนอกแม่นี่แหละ

สองโมงเป๊ะ ! เราก็มาถึงยังลานกางเต๊นท์

พี่เจ้าหน้าที่ได้สั่งให้ลูกหาบขึ้นมาจองที่กางเต๊นท์ตรงนี้ เพราะเป็นจุดที่ลมไม่แรงมาก ส่วนจุดที่กางเต๊นท์แล้ววิวสวยๆ ก็คือ แอ่งกระทะ ที่อยู่ระหว่างสันหนอกพ่อ และสันหนอกแม่ แต่พี่เจ้าหน้าที่บอกกับเราว่า ลมมันแรงมาก เพราะด้วยลักษณะทางกายภาพแล้วมันเป็นจุดศูนย์รวมลม ลมก็เลยจะแรงกว่าตรงยอดเขา

แดดแรงขนาดนี้ให้ทนอยู่ตรงนี้ก็คงจะร้อน พี่สันติ เจ้าหน้าที่นำทางของผมเลยชวนให้ไปนั่งในป่าร่มๆ ตรงที่พวกเจ้าหน้าที่กลางเต๊นท์กัน

นั่งกินขนมในป่าอยู่สักพัก พี่สันติเลยชวนมาแหล่งต้นน้ำที่ไหลลงไปด้านล่าง สามารถกรอกมาใช้มาต้มกินได้

พี่สันติบอกว่าในน้ำจะมีเชื้อโรคอยู่ตัวนึงที่สามารถทำให้ท้องเสียได้ในบางคน ก็เลยไม่แนะนำเท่าไหร่ หรือถ้ามีที่กรองจะดีมาก หรือถ้าไม่มีจริงๆ ก็นำไปต้มก่อนดื่มกิน *** น้ำเย็นมากจนไอน้ำขึ้นข้างขวด ***

ไหลมาเรื่อยๆ เลย แม้จะเป็นช่วงฤดูหนาวน้ำก็จะประมาณนี้แหละ

เวลา 15.30 น. ผมเลยแอบเพื่อนๆ ในกลุ่มขึ้นมาบนสันหนอกเล็กคนเดียว ซึ่งห่างจากจุดกางเต๊นท์นิดเดียวพอได้เหนื่อยเฮือกเดียวก็ถึงละเดินไม่ถึง 10 นาที จริงๆ พี่สันติจะพาขึ้นมาตอน 5 โมงแหละ แต่ว่างเกินไม่รู้จะทำไรเลยขึ้นมาเก็บบรรยากาศก่อน

และนี่ก็คือ "ป้ายผู้พิชิต สันหนอกวัว" ขึ้นมาตอนไม่มีคนก็ประมาณนี้แหละ แดดขนาดนี้คงไม่มีใครขึ้นมาหรอก 555

และยอดเขาที่เห็นอยู่เบื้องหน้านั้นก็คือ สันหนอกพ่อ หรือสันหนอกใหญ่ นั่นเองซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรีเลยทีเดียว

เพื่อเป็นการบันทึกความทรงจำจึงขอเก็บภาพนี้เป็นไทม์ไลน์ของชีวิตว่าในช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตเคยมาอยู่จุดนี้

เวลา 17.45 น. ก็ถึงเวลาที่ตะวันใกล้จะลับขอบฟ้า แต่กลับเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เครื่องบินลำนั้นทะยานขึ้นฟ้า

เมื่อพระอาทิตย์เริ่มจะตกดิน แสงก็เริ่มทำปฏิกิริยาสัมพันธ์กับต้นหญ้ากลายเป็นสีสันที่ดูสวยงาม

เวลาอากาศร้อนมากๆ เราล้วนอยากให้ตะวันจากไปไวๆ แต่พอถึงเวลาที่ตะวันจะต้องลาลับไปจริงๆ เรากลับอยากให้ช่วงเวลาเหล่านั้นเดินทางช้าลง เหมือนเราเห็นคุณค่าของบางสิ่งแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นจริงๆ

รู้สึกหลงรักช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ตกแล้วล่ะสิ

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากดูพระอาทิตย์ตก มองไปยังจุดกางเต๊นท์ก็เริ่มเห็นควันสีขาวลอยคลุ้งขึ้นมา เหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่านี่คือช่วงเวลาของอาหารเย็น

และพวกผมก็เลือกเมนูอาหารที่ง่ายๆ และเร็วที่สุดก็คือ กะเพราหมูสับ และไข่เจียว ส่วนเมนูอื่นๆ คือเมนูที่เหลือมาจากตอนเดินขึ้นมาอย่างหมูทอด สำหรับข้าวสวยนั้นใครที่ทำไม่เป็นจริงๆ ก็แค่น้ำข้าวสารให้เจ้าหน้าที่หรือลูกหาบช่วยทำให้ก็ได้ คือพี่เจ้าหน้าที่ดูแลดีมากกกกกกกก

พอฟ้ามืดเราก็เริ่มเห็นแสงไฟสวยๆ ที่แต่ละเต๊นท์นำมาประดับคือจะดีมากหากเต๊นท์พวกผมมีอย่างเขาน่าจะดูโรแมนติกมาก

นอนเล่นดูดาวอยู่สักพัก ก็ไม่คิดเลยว่าจะได้กลับมาเห็นฝนดาวตกอีกครั้ง จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่ดูก็เมื่อเกือบ 20 ปีก่อนเลยทีเดียว แล้วเรื่องราวของวันนี้ก็จบลง

พรุ่งนี้เช้าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไปติดตามต่อกันได้เลย
[CR] เธอ ฉัน และสันหนอกวัว ภารกิจส่งท้ายปี 2562
สำหรับการจองขึ้นเขาสันหนอกวัวรอบสุดท้ายของปี 62 คือ วันที่ 16 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมาโดยจะเปิดรับจองขึ้นเขาสันหนอกวัว ในรอบสำหรับเดือนมกราคม - 16 กุมภาพันธ์ 2563 ในวันเสาร์คนก็อาจจะจองเต็มหมดแล้ว หากจองตอนนี้ ยังไงก็ลองโทรๆ ไปกันดูก่อน เผื่อยังมีที่ว่างเหลือ
เอาล่ะ ! แล้วด้านล่างนี้ก็คือเรื่องราวการเดินทางพิชิตสันหนอกวัว 2 วัน 1 คือ ของผม
การเดินทางครั้งนี้ผมเลือกที่จะขับรถยนต์ส่วนตัวกันมาเอง โดยออกเดินทางตั้งแต่เย็นวันศุกร์ และไปนอนกางเต๊นท์ ที่ป้อมปี่ 1 คืน หรือหากใครจะจองบ้านพักก็ได้หากยังไม่เต็มซะก่อน
แต่จะบอกว่าคืนนั้นเราเลี้ยวเข้าไปผิดที่ ดันไปเลี้ยวเข้าที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ซึ่งด้านหลังนั้นเป็นน้ำตกกระเต็งเจ็ง คืนนี้มีกลุ่มผม กับ สิงห์มอเตอร์ไซค์คู่นึง นอนอยู่ใกล้ๆ กัน
ก็ดีไปอีกแบบนะ เพราะ ห้องน้ำมีให้ใช้แบบส่วนตัวสุดๆ ไปต้องไปแย่งกับใครเลย และไม่น่ากลัวด้วย ตื่นเช้าก็อาบน้ำที่นี่ และค่อยเคลื่อนตัวไปยังที่ป้อมปี่ก็ได้ อยู่ห่างกันแค่นิดเดียวเท่านั้น
หลังจากที่เคลื่อนตัวมายังป้อมปี่ และกินข้าวเช้า พร้อมไปรับเสบียงที่ได้โทรสั่งไว้ตั้งแต่วันศุกร์ จาก ครัวป้อมปี่ เบอร์ 0924190368 (รับทำอาหาร และข้าวห่อสำหรับกินระหว่างทาง
เวลา 8.00 น. เจ้าหน้าที่ก็เริ่มมาตั้งโต๊ะให้ลงทะเบียน โดยจะต้องมาเขียนใบลงทะเบียนทุกคน เพื่อเป็นข้อมูลยามเกิดเหตุฉุกเฉิน เพื่อลงทะเบียนกันครบกลุ่มที่เจ้าหน้าที่ได้จัดไว้ ก็จะทำการแจกแจงลูกหาบ และเจ้าหน้าที่ประจำกลุ่ม ครั้งนี้ผมมากัน 4 คน เขาก็ได้จัดผมไปอยู่กลุ่มเดียวกับคนที่มา 2 คน รวมเป็น 6 คน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดก็จะถูกหาร 6 คน
หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยหัวหน้าอุทยานก็มาพูดคุย และขอความร่วมมือ หลักๆ ก็เรื่องถุงพลาสติกเลย ที่ปีหน้าจะมีมาตรฐานในการห้ามใช้ และจัดการกับเรื่องนี้ เอาล่ะทีนี้ก็ถึงเวลาเดินทางกันแล้ว
เกือบ ๆ 9 โมง กลุ่มของผม เจ้าหน้าที่นำทาง และลูกหาบก็ขึ้นรถกระบะคันเดียวกัน เพื่อพาไปยังจุดเริ่มเดินเท้าขึ้นสู่ยอดเขาสันหนอกวัวก
เวลา 9.12 น. เราก็มาถึงยังจุดเริ่มต้นของการเดินทาง
อ่านรีวิวมาเยอะเห็นเขามักถ่ายกันเป็นพิธี ก็ไม่พลาดที่กลุ่มผมจะถ่ายกันบ้าง และนี่ก็คือโฉมหน้าของนักเดินทางของผม
เวลา 9.20 น. พวกเราก็เริ่มเดินกันอย่างเฮฮาในตอนนี้ที่ยังมีแรง หนทางจะเป็นไงไปดูกันต่อเลย
เส้นทางก็จะประมาณนี้มีอุปสรรคบ้างนิดหน่อย แต่ยังถือว่าสบายๆ อยู่
ผ่านจุดพักที่ 1 ไปตอนไหนก็ไม่รู้เหมือนนั่งแปบๆ แล้วเดินต่อมายังจุดพักที่ 2 เลย ตอนนี้ก็เวลาประมาณ 10 โมงได้ละ
พักแปบๆ ก็เดินต่อเลย แรงยังเหลือก็พักแปบเดียวแบบนี้แหละ
10.30 น. ก็มาโผล่จุดที่ 3 แล้ว ก็ถือว่ายังทำเวลาได้ดี จริงๆ ก็คือปกติที่เขาเดินกันนั่นแหละ
จากจุดพักที่ 3 มาได้ 15 นาที ก็มาถึงจุดพักที่ 4 ถึงตรงนี้ก็ถือว่าเดินมาได้ครึ่งทางแล้วล่ะ แต่หารู้ไม่ว่าเส้นทางที่จะเจอต่อไปคือที่สุดของที่นี่
นี่คือการเริ่มต้นจากจุดพักที่ 4 ไปยังป่าไผ่ที่จัดว่าชันระดับนึง แต่ยังไม่โหดเท่าที่จะเจอต่อๆ ไป
เวลา 11.05 น. เราก็เข้าสู่โซนป่าไผ่ ที่พี่สันติ ผู้นำทางของเราบอกว่าเป็นจุดตัดกำลังก่อนเผชิญเนินหมาถอย
เวลา 11.19 น. เราก็มาถึงยังทางขึ้นเนินหมาถอย ที่มาที่ไปของชื่อนี้ก็คือ การเดินลงเนินนี้ให้ถอยหลังเดินจะลงได้ง่าย และเมื่อยน้อยกว่าก็เดินหันหน้าลง แค่นี้แหละที่มาของชื่อ เนินนี้จัดว่าเป็น The Best ของสันหนอกวัว จริงๆ แล้วถ้าเนินนี้อยู่ที่จุดแรกๆ ก็อาจไม่จัดว่าโหดมาก แต่เป็นเพราะเราเหนื่อยล้ามาตลอด 4-5 กิโลที่ผ่านมา พอมาถึงเนินที่ชัดที่สุดอย่างเนินหมาถอย อาการปวดเมื่อย ตะคริว สำหรับบางคนก็จะเริ่มถามหา
ระหว่างทางที่อยู่เนินหมาถอย มองไปด้านขวาเราก็จะเจอกับเขาเรดาร์ ของกองทัพอากาศไทยทั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา
หลังจากผ่านเนินหมาถอยอันหฤโหด เราก็มาถึงยังจุดพักที่ 5 เที่ยงพอดี และนี่ก็คือจุดที่ทุกๆ คนจะพักกินข้าวกันตรงนี้ เพื่อเตรียมเดินต่อ *** มีที่ทำธุระส่วนตัวด้วยนะจุดนี้
หลังจากเติมพลังงานมาเรียบร้อย เวลา 13.10 น. เราก็มาถึงยังเนินปราบเซียน แต่ไม่ต้องกลัวไป เพราะไม่ได้โหดกว่าเนินหมาถอยเลย ความชันก็เหมือนกันจุดแรกๆ ที่เราเดินผ่านมานั่นแหละ แต่เราแค่สะสมความล้า ความเมื่อยมานาน พอมาถึงตรงนี้มันก็เลยอาจจะมองว่าโหด แต่อยากจะบอกให้ดีใจเล่นๆ ว่านี่คือเนินสุดท้ายที่เราจะผ่าน
เอาล่ะอดทนอีกนิด ก็บรรลุเป้าหมายแล้ว
เกือบๆ บ่ายสองเราก็มาถึงยอดเขาแล้ว แค่เดินต่ออีกหน่อยเท่านั้นเอง
และที่เห็นยอดนั้นก็คือ สันหนอกแม่ หรือสันหนอกเล็ก ที่เรียกกัน ส่วนสันหนอกพ่อ หรือสันหนอกใหญ่จะอยู่หลังสันหนอกแม่นี่แหละ
สองโมงเป๊ะ ! เราก็มาถึงยังลานกางเต๊นท์
พี่เจ้าหน้าที่ได้สั่งให้ลูกหาบขึ้นมาจองที่กางเต๊นท์ตรงนี้ เพราะเป็นจุดที่ลมไม่แรงมาก ส่วนจุดที่กางเต๊นท์แล้ววิวสวยๆ ก็คือ แอ่งกระทะ ที่อยู่ระหว่างสันหนอกพ่อ และสันหนอกแม่ แต่พี่เจ้าหน้าที่บอกกับเราว่า ลมมันแรงมาก เพราะด้วยลักษณะทางกายภาพแล้วมันเป็นจุดศูนย์รวมลม ลมก็เลยจะแรงกว่าตรงยอดเขา
แดดแรงขนาดนี้ให้ทนอยู่ตรงนี้ก็คงจะร้อน พี่สันติ เจ้าหน้าที่นำทางของผมเลยชวนให้ไปนั่งในป่าร่มๆ ตรงที่พวกเจ้าหน้าที่กลางเต๊นท์กัน
นั่งกินขนมในป่าอยู่สักพัก พี่สันติเลยชวนมาแหล่งต้นน้ำที่ไหลลงไปด้านล่าง สามารถกรอกมาใช้มาต้มกินได้
พี่สันติบอกว่าในน้ำจะมีเชื้อโรคอยู่ตัวนึงที่สามารถทำให้ท้องเสียได้ในบางคน ก็เลยไม่แนะนำเท่าไหร่ หรือถ้ามีที่กรองจะดีมาก หรือถ้าไม่มีจริงๆ ก็นำไปต้มก่อนดื่มกิน *** น้ำเย็นมากจนไอน้ำขึ้นข้างขวด ***
ไหลมาเรื่อยๆ เลย แม้จะเป็นช่วงฤดูหนาวน้ำก็จะประมาณนี้แหละ
เวลา 15.30 น. ผมเลยแอบเพื่อนๆ ในกลุ่มขึ้นมาบนสันหนอกเล็กคนเดียว ซึ่งห่างจากจุดกางเต๊นท์นิดเดียวพอได้เหนื่อยเฮือกเดียวก็ถึงละเดินไม่ถึง 10 นาที จริงๆ พี่สันติจะพาขึ้นมาตอน 5 โมงแหละ แต่ว่างเกินไม่รู้จะทำไรเลยขึ้นมาเก็บบรรยากาศก่อน
และนี่ก็คือ "ป้ายผู้พิชิต สันหนอกวัว" ขึ้นมาตอนไม่มีคนก็ประมาณนี้แหละ แดดขนาดนี้คงไม่มีใครขึ้นมาหรอก 555
และยอดเขาที่เห็นอยู่เบื้องหน้านั้นก็คือ สันหนอกพ่อ หรือสันหนอกใหญ่ นั่นเองซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรีเลยทีเดียว
เพื่อเป็นการบันทึกความทรงจำจึงขอเก็บภาพนี้เป็นไทม์ไลน์ของชีวิตว่าในช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตเคยมาอยู่จุดนี้
เวลา 17.45 น. ก็ถึงเวลาที่ตะวันใกล้จะลับขอบฟ้า แต่กลับเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เครื่องบินลำนั้นทะยานขึ้นฟ้า
เมื่อพระอาทิตย์เริ่มจะตกดิน แสงก็เริ่มทำปฏิกิริยาสัมพันธ์กับต้นหญ้ากลายเป็นสีสันที่ดูสวยงาม
เวลาอากาศร้อนมากๆ เราล้วนอยากให้ตะวันจากไปไวๆ แต่พอถึงเวลาที่ตะวันจะต้องลาลับไปจริงๆ เรากลับอยากให้ช่วงเวลาเหล่านั้นเดินทางช้าลง เหมือนเราเห็นคุณค่าของบางสิ่งแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นจริงๆ
รู้สึกหลงรักช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ตกแล้วล่ะสิ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากดูพระอาทิตย์ตก มองไปยังจุดกางเต๊นท์ก็เริ่มเห็นควันสีขาวลอยคลุ้งขึ้นมา เหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่านี่คือช่วงเวลาของอาหารเย็น
และพวกผมก็เลือกเมนูอาหารที่ง่ายๆ และเร็วที่สุดก็คือ กะเพราหมูสับ และไข่เจียว ส่วนเมนูอื่นๆ คือเมนูที่เหลือมาจากตอนเดินขึ้นมาอย่างหมูทอด สำหรับข้าวสวยนั้นใครที่ทำไม่เป็นจริงๆ ก็แค่น้ำข้าวสารให้เจ้าหน้าที่หรือลูกหาบช่วยทำให้ก็ได้ คือพี่เจ้าหน้าที่ดูแลดีมากกกกกกกก
พอฟ้ามืดเราก็เริ่มเห็นแสงไฟสวยๆ ที่แต่ละเต๊นท์นำมาประดับคือจะดีมากหากเต๊นท์พวกผมมีอย่างเขาน่าจะดูโรแมนติกมาก
นอนเล่นดูดาวอยู่สักพัก ก็ไม่คิดเลยว่าจะได้กลับมาเห็นฝนดาวตกอีกครั้ง จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่ดูก็เมื่อเกือบ 20 ปีก่อนเลยทีเดียว แล้วเรื่องราวของวันนี้ก็จบลง
พรุ่งนี้เช้าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไปติดตามต่อกันได้เลย
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้