ลักษณะการแก้กรรม
ลักษณะการแก้กรรม ก็คือ สิ่งใดที่เราทำ สิ่งนั้นก็จะต้องรับ รับสิ่งนั้นก็ต้องแก้ในสิ่งนั้น เช่น อาฆาตเขา ต่อไปนี้เราจะไม่อาฆาตเขาแล้ว ละแล้ว นี่แหละตรงข้าม ถึงจะไปแก้กัน แต่ถ้าเราเกลียดเขาแล้วยังไปเกลียดต่อ อย่างนี้ไม่ได้
ยกตัวอย่าง ที่จังหวัดสระบุรี บางคนมีจิตศรัทธา สร้างวัดเยอะแยะไปหมด แต่ว่าลูกของตัวเองเกเร ผู้เป็นพ่อก็ทำอะไรลูกไม่ได้ เพราะว่า แก้ไม่ถูกจุด วิธีแก้ไขก็คือ จะต้องสำนึกผิดในกรรมของตนเองก่อน คนทั่วไปชอบแบบกลบเกลื่อน เรากลบเกลื่อนมันได้ตรงไหน เราเคยไปทำให้บ้านเขาแตกสาแหรกขาดอย่างนั้น แล้วผลที่ตามมาจะไม่ทำให้ครอบครัวของเราไม่แตกสาแหรกขาดอย่างนั้นหรือ? เราจะต้องสำนึกผิดก่อนสิ ถ้าไม่สำนึกผิดก็แก้ไขอะไรไม่ได้ ถ้าคุณไม่สำนึกผิดแล้วคุณจะไปแก้อะไร เพราะว่าคุณไม่เคยทำผิด เราจะต้องสำนึกผิดก่อน เราเคยไปทำให้บ้านเขาแตกสาแหรกขาด เราไปฆ่าพ่อทำให้ลูกเขาลำบากไหม? เราไปฆ่าลูกเขา ทำให้พ่อเขาลำบากไหม? เสียใจไหม? คนเราจะต้องสำนึกก่อน แล้วค่อยไปแก้ไข แล้วถึงจะเบาลง
แต่เราไปสร้างบุญ ก็จะเป็นการไปยั่วให้เขาเอาเรื่องให้หนักขึ้น คือ ไม่สำนึก กลายเป็นว่า เราเป็นผู้มีบุญ เรามีพรรคพวก คือ พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็ช่วยไม่ได้ เพราะคุณผิด ต่อให้นายกก็ช่วยคุณไม่ได้
ถ้าเขาจะใช้วิธีการเหมือนคุณเอียวนี่แหละ คือ ไม่สนใจเจ้ากรรมนายเวร เจ้ากรรมนายเวรก็จะไม่มาทำเรา?
ถ้าคิดอย่างนี้ แล้วทำไมตัวเขามีปัญหาล่ะ ทำไมลูกมีปัญหา ทำไมเขาต้องกินยาอยู่ตลอดล่ะ?
คนเราคิดง่ายเกินไป เราไปทำผิดแล้ว แกล้งว่าลืมไป ไม่รู้เรื่อง ลืมไป แล้วก็บอกว่าไม่มี อย่างนี้ก็จะเหมือนกับนกกระจอกที่เอาหัวมุดดินแล้วบอกว่าใครมองไม่เห็น อุปโลกน์ไหม? บ้าไหม?
ถ้าเราคิดถึงสิ่งที่เราทำผิดบ่อยๆ สำนึกผิดบ่อยๆ ก็จะทำให้เราเป็นคนจมปลักไหม?
แต่ถ้าเราไม่ยอมรับ ก็จมปลัก แต่ถ้าเรายอมรับแล้วแก้ไข ก็จะดีขึ้น ตกลงว่ากรรมจะเบาขึ้นหรือว่ากรรมจะหนักลง? อุปมาเหมือนกับ น้ำ ถ้าน้ำหนักขึ้นเรือก็จะจมลง แต่ถ้าน้ำเบาเรือก็จะลอยขึ้น นี่แหละเป็นเช่นนี้
แล้วจะกลายเป็นการย้ำคิดย้ำทำไหม?
ย้ำๆ ซ้ำๆ เพื่อแก้ไข ก็จะดีขึ้น แต่ถ้าหากว่า ย้ำๆ ซ้ำๆ เพื่อหลีกเลี่ยงก็จบเลย เราย้ำๆ ซ้ำๆ เพื่อแก้ไข ยกภูมิของตนเองสูงขึ้น ดีขึ้น เขาเรียกว่าการ "ภาวนา"
คนเราทำผิดแล้วจะต้องหมั่นคิดพิจารณา แล้วหมั่นสังวร สำรวม แล้วเราจะผิดซ้ำไหม? แต่ถ้าเราไม่หมั่นคิดพิจารณา ทำเป็นลืม แล้วเราจะทำผิดซ้ำไหม? เห็นหรือยัง ให้เห็นชัดๆ กรรมเวรมันมีจริงก็อย่างนี้แหละ
ตัวเองทำผิดซ้ำยังไม่ว่า ยังไปสอนสั่งลูกหลานให้ทำเช่นนี้อีก
พ่อมันเป็นนักเลง เดี่ยวลูกก็จะเป็นนักเลงอีก เขาคิดว่า ติดเงินเขาแล้วไม่ยอมจ่าย พ่อเป็นนักเลง แล้วเขาจะทำอะไรเราได้? แต่ว่าพ่อมันก็จะต้องมาจ่าย เพราะว่า พ่อมันสำนึกว่าไม่ได้ เมื่อก่อนเราก็เคยไปตามเก็บคนที่ไม่จ่าย เดี๋ยวลูกไม่จ่าย เดี๋ยวลูกเราก็จะต้องโดนตามเก็บ เราจะไปคุ้มหัวเขาได้ตลอดได้อย่างไร พ่อก็เลยจำเป็นจะต้องไปจ่าย เพราะพ่อมันรู้ซึ้งถึงคำว่าไม่จ่ายเป็นยังไง เพราะตัวเองเคยทำมาแล้ว บัดนี้สำนึก ถ้าไม่สำนึกก็จะไปยิง ไปฆ่าคนที่ให้เงินคนที่ให้ลูกยืมเงิน บัดนี้เขาสำนึกแล้วว่า ตรงนั้นทำผิดแล้ว เลยต้องยอม กัดฟันเอาเงินไปจ่าย แต่ลูกเขาไม่เข้าใจ ลูกก็จะไปทำแล้วพ่อของเราก็จะไปจ่าย
เหมือนกับครอบครัวร้านขายไฟฟ้า ที่สุพรรณบุรี ลูกติดหนี้บอล พ่อแม่ก็จะต้องไปจ่ายให้ ไม่รู้กี่ครั้งก็จะต้องไปจ่ายให้ เพราะว่าเราไม่เอาจริงจังว่าตรงนี้มันผิดคืออะไร ลูกก็จะคิดว่า ฉันทำเดี๋ยวพ่อก็จะมาจัดการให้ แล้วลูกมันกลัวตรงไหน แต่ถ้าลูกยังไม่ได้รับบทเรียน เขาก็จะไม่ทราบเลยว่าตรงนั้นเป็นความผิด เขาก็จะทำซ้ำ เพราะว่าไม่รู้ว่าผิดตรงไหน เขาก็จะดูแบบอย่างพ่อแม่
พ่อแม่เขาทำชั่ว บอกว่าถูก มีเหรอที่ลูกจะไม่รับรู้ ไม่จำเป็นต้องไปเห็นจะๆ ถึงจะบอกว่าเขารู้นะ จิตวิญญาณมันเชื่อมกัน มันกลายเป็นกรรมบุพเพ สมมติว่า กรรมของพ่อแม่มีส่วน ๒๕% ของลูก ๗๕% เราทำเอง
กรรมที่สืบมาอยู่ในนี้ เราก็จะต้องอยู่ในนี้ ไม่ว่าจะมาจากใคร เราจะต้องเคลียร์ออกจากตรงนี้ ไม่ใช่ว่าจะไปโทษใคร คนนั้นคนนี้ แม้ว่าเราจะเกิดใหม่ กรรมตรงนี้ก็จะส่งผลไปเรื่อยๆ มันเชื่อมโยงตลอด
กรรมนี้ก็จะไปตรงกับพ่อแม่ สายมาจากไหน เผ่าพันธุ์ บรรพบุรุษของเรา เราจะต้องสร้างกุศลเคลียร์ไปถึงนั้น พ่อแม่ก็จะรับกรรมจากปู่ย่า ปู่ย่ารับกรรมจากโคตรปู่ย่า เราจะต้องเคลียร์เครือกรรม เครือสาย
"เครือกรรมนี้มาจากเช่นใด ขอให้จากนี้ย้อนไปให้ถึงเบื้องบนต้นตอเลย เคลียร์ไปเรื่อยๆ คือ การให้ระลึกถึง กรรมตรงนี้ไม่ว่าจะมาจากต้นตอใด ขอให้เคลียร์ไปถึง เพราะว่าเราไม่สามารถล่วงรู้ว่ามาจากต้นตอใด กี่ทอดแล้ว"
ฉะนั้น จะกี่ทอดก็แล้วเถอะ เราไม่สนใจ แต่บัดนี้เราสำนึกผิด ตรงนี้เราไม่เอา ตรงนี้เราขอส่งกุศลให้กับเครือตรงนี้ เครืออาจจะมา ๕ ตอน เครือเราอาจจะมาถึง ๘ ตอน ๑๐ ตอน ซึ่งเราไม่สามารถรู้ แต่เราจะเคลียร์ไปให้ถึง เขาเรียกว่า ตั้งฐานจิตให้ถูก
ถ้าสมมติว่าเราตาย กรรมพวกนี้จะมาส่งให้เราไปเกิด กรรมพวกนี้จะมาพัวพันเราตลอด เราก็จะต้องสร้างกุศล เคลียร์กรรมคืนเครือ คำว่า "เครือนี้ หมายถึง สืบเนื่องมา เป็นโซ่เกี่ยวมาเรื่อยๆ เหมือนกับรูป DNA ฉะนั้น เราจะต้องรำลึกถึงเครือ
สมมติว่า เราแก้ไขได้ เราก็จะหลุดออกจากโซ่นี้ แต่ว่าห่วงโซ่นี้ก็ยังอยู่เหมือนเดิมใช่ไหม? เพราะว่าบุคคลอื่นของเครือเรานี้เขาไม่เคลียร์?
คือว่าถ้าใครไม่เคลียร์ก็เรื่องของเขา ถ้าเราเคลียร์เราก็พ้นจากวิบากกรรม ทำให้เราขึ้นภูมิ ก็ทำให้เราพ้นจากวัฏฏะ ตรงนั้น เราก็จะมาเกาะวัฏฏะที่เป็นกุศล
แสดงว่าคนเราก็จะต้องมีโซ่หลายโซ่ เพราะว่าเราเกิดอยู่ตลอด เรามีเครืออยู่ตลอด มีเครือกุศล อกุศล และกลางๆ นี่เป็นหัวใหญ่ส่วนรายละเอียดก็ว่ากันไป
เขามีใจสร้างกุศล สร้างวัดเพื่อลบล้างสิ่งที่ทำผิดมา
บางคนสร้างวัดแล้วไม่มีพระมาอยู่ เสียเงินไปฟรีๆ
เขาไม่ควรที่จะมาสร้างวัด เพราะว่า เขาไม่มีบารมีพอ และเจตนาไม่บริสุทธิ์ กลายเป็นมารไปหมด เราสร้างวัดจิตของเราโอเคหรือเปล่า ถ้าไม่โอเคก็กลายเป็นสร้างมาร สร้างวัดแล้วจิตพุทธะไม่มาอยู่ มีแต่จิตมารมาอยู่ก็ยุ่งละสิ เพราะว่ามันอยู่ที่จิต
เราสร้างวัดจะต้องมีเจตนาที่ถูกต้อง และจะต้องมีบารมี แต่บางคนมีบารมีแต่ฐานจิตไม่ถูกต้องก็มีเยอะแยะไป ยกตัวอย่างบางคน สร้างวัดเพื่อเอาวัดมาทำเงิน หากิน มันคนละเรื่องกัน
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต
ลักษณะการแก้กรรม
ลักษณะการแก้กรรม ก็คือ สิ่งใดที่เราทำ สิ่งนั้นก็จะต้องรับ รับสิ่งนั้นก็ต้องแก้ในสิ่งนั้น เช่น อาฆาตเขา ต่อไปนี้เราจะไม่อาฆาตเขาแล้ว ละแล้ว นี่แหละตรงข้าม ถึงจะไปแก้กัน แต่ถ้าเราเกลียดเขาแล้วยังไปเกลียดต่อ อย่างนี้ไม่ได้
ยกตัวอย่าง ที่จังหวัดสระบุรี บางคนมีจิตศรัทธา สร้างวัดเยอะแยะไปหมด แต่ว่าลูกของตัวเองเกเร ผู้เป็นพ่อก็ทำอะไรลูกไม่ได้ เพราะว่า แก้ไม่ถูกจุด วิธีแก้ไขก็คือ จะต้องสำนึกผิดในกรรมของตนเองก่อน คนทั่วไปชอบแบบกลบเกลื่อน เรากลบเกลื่อนมันได้ตรงไหน เราเคยไปทำให้บ้านเขาแตกสาแหรกขาดอย่างนั้น แล้วผลที่ตามมาจะไม่ทำให้ครอบครัวของเราไม่แตกสาแหรกขาดอย่างนั้นหรือ? เราจะต้องสำนึกผิดก่อนสิ ถ้าไม่สำนึกผิดก็แก้ไขอะไรไม่ได้ ถ้าคุณไม่สำนึกผิดแล้วคุณจะไปแก้อะไร เพราะว่าคุณไม่เคยทำผิด เราจะต้องสำนึกผิดก่อน เราเคยไปทำให้บ้านเขาแตกสาแหรกขาด เราไปฆ่าพ่อทำให้ลูกเขาลำบากไหม? เราไปฆ่าลูกเขา ทำให้พ่อเขาลำบากไหม? เสียใจไหม? คนเราจะต้องสำนึกก่อน แล้วค่อยไปแก้ไข แล้วถึงจะเบาลง
แต่เราไปสร้างบุญ ก็จะเป็นการไปยั่วให้เขาเอาเรื่องให้หนักขึ้น คือ ไม่สำนึก กลายเป็นว่า เราเป็นผู้มีบุญ เรามีพรรคพวก คือ พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็ช่วยไม่ได้ เพราะคุณผิด ต่อให้นายกก็ช่วยคุณไม่ได้
ถ้าเขาจะใช้วิธีการเหมือนคุณเอียวนี่แหละ คือ ไม่สนใจเจ้ากรรมนายเวร เจ้ากรรมนายเวรก็จะไม่มาทำเรา?
ถ้าคิดอย่างนี้ แล้วทำไมตัวเขามีปัญหาล่ะ ทำไมลูกมีปัญหา ทำไมเขาต้องกินยาอยู่ตลอดล่ะ?
คนเราคิดง่ายเกินไป เราไปทำผิดแล้ว แกล้งว่าลืมไป ไม่รู้เรื่อง ลืมไป แล้วก็บอกว่าไม่มี อย่างนี้ก็จะเหมือนกับนกกระจอกที่เอาหัวมุดดินแล้วบอกว่าใครมองไม่เห็น อุปโลกน์ไหม? บ้าไหม?
ถ้าเราคิดถึงสิ่งที่เราทำผิดบ่อยๆ สำนึกผิดบ่อยๆ ก็จะทำให้เราเป็นคนจมปลักไหม?
แต่ถ้าเราไม่ยอมรับ ก็จมปลัก แต่ถ้าเรายอมรับแล้วแก้ไข ก็จะดีขึ้น ตกลงว่ากรรมจะเบาขึ้นหรือว่ากรรมจะหนักลง? อุปมาเหมือนกับ น้ำ ถ้าน้ำหนักขึ้นเรือก็จะจมลง แต่ถ้าน้ำเบาเรือก็จะลอยขึ้น นี่แหละเป็นเช่นนี้
แล้วจะกลายเป็นการย้ำคิดย้ำทำไหม?
ย้ำๆ ซ้ำๆ เพื่อแก้ไข ก็จะดีขึ้น แต่ถ้าหากว่า ย้ำๆ ซ้ำๆ เพื่อหลีกเลี่ยงก็จบเลย เราย้ำๆ ซ้ำๆ เพื่อแก้ไข ยกภูมิของตนเองสูงขึ้น ดีขึ้น เขาเรียกว่าการ "ภาวนา"
คนเราทำผิดแล้วจะต้องหมั่นคิดพิจารณา แล้วหมั่นสังวร สำรวม แล้วเราจะผิดซ้ำไหม? แต่ถ้าเราไม่หมั่นคิดพิจารณา ทำเป็นลืม แล้วเราจะทำผิดซ้ำไหม? เห็นหรือยัง ให้เห็นชัดๆ กรรมเวรมันมีจริงก็อย่างนี้แหละ
ตัวเองทำผิดซ้ำยังไม่ว่า ยังไปสอนสั่งลูกหลานให้ทำเช่นนี้อีก
พ่อมันเป็นนักเลง เดี่ยวลูกก็จะเป็นนักเลงอีก เขาคิดว่า ติดเงินเขาแล้วไม่ยอมจ่าย พ่อเป็นนักเลง แล้วเขาจะทำอะไรเราได้? แต่ว่าพ่อมันก็จะต้องมาจ่าย เพราะว่า พ่อมันสำนึกว่าไม่ได้ เมื่อก่อนเราก็เคยไปตามเก็บคนที่ไม่จ่าย เดี๋ยวลูกไม่จ่าย เดี๋ยวลูกเราก็จะต้องโดนตามเก็บ เราจะไปคุ้มหัวเขาได้ตลอดได้อย่างไร พ่อก็เลยจำเป็นจะต้องไปจ่าย เพราะพ่อมันรู้ซึ้งถึงคำว่าไม่จ่ายเป็นยังไง เพราะตัวเองเคยทำมาแล้ว บัดนี้สำนึก ถ้าไม่สำนึกก็จะไปยิง ไปฆ่าคนที่ให้เงินคนที่ให้ลูกยืมเงิน บัดนี้เขาสำนึกแล้วว่า ตรงนั้นทำผิดแล้ว เลยต้องยอม กัดฟันเอาเงินไปจ่าย แต่ลูกเขาไม่เข้าใจ ลูกก็จะไปทำแล้วพ่อของเราก็จะไปจ่าย
เหมือนกับครอบครัวร้านขายไฟฟ้า ที่สุพรรณบุรี ลูกติดหนี้บอล พ่อแม่ก็จะต้องไปจ่ายให้ ไม่รู้กี่ครั้งก็จะต้องไปจ่ายให้ เพราะว่าเราไม่เอาจริงจังว่าตรงนี้มันผิดคืออะไร ลูกก็จะคิดว่า ฉันทำเดี๋ยวพ่อก็จะมาจัดการให้ แล้วลูกมันกลัวตรงไหน แต่ถ้าลูกยังไม่ได้รับบทเรียน เขาก็จะไม่ทราบเลยว่าตรงนั้นเป็นความผิด เขาก็จะทำซ้ำ เพราะว่าไม่รู้ว่าผิดตรงไหน เขาก็จะดูแบบอย่างพ่อแม่
พ่อแม่เขาทำชั่ว บอกว่าถูก มีเหรอที่ลูกจะไม่รับรู้ ไม่จำเป็นต้องไปเห็นจะๆ ถึงจะบอกว่าเขารู้นะ จิตวิญญาณมันเชื่อมกัน มันกลายเป็นกรรมบุพเพ สมมติว่า กรรมของพ่อแม่มีส่วน ๒๕% ของลูก ๗๕% เราทำเอง
กรรมที่สืบมาอยู่ในนี้ เราก็จะต้องอยู่ในนี้ ไม่ว่าจะมาจากใคร เราจะต้องเคลียร์ออกจากตรงนี้ ไม่ใช่ว่าจะไปโทษใคร คนนั้นคนนี้ แม้ว่าเราจะเกิดใหม่ กรรมตรงนี้ก็จะส่งผลไปเรื่อยๆ มันเชื่อมโยงตลอด
กรรมนี้ก็จะไปตรงกับพ่อแม่ สายมาจากไหน เผ่าพันธุ์ บรรพบุรุษของเรา เราจะต้องสร้างกุศลเคลียร์ไปถึงนั้น พ่อแม่ก็จะรับกรรมจากปู่ย่า ปู่ย่ารับกรรมจากโคตรปู่ย่า เราจะต้องเคลียร์เครือกรรม เครือสาย
"เครือกรรมนี้มาจากเช่นใด ขอให้จากนี้ย้อนไปให้ถึงเบื้องบนต้นตอเลย เคลียร์ไปเรื่อยๆ คือ การให้ระลึกถึง กรรมตรงนี้ไม่ว่าจะมาจากต้นตอใด ขอให้เคลียร์ไปถึง เพราะว่าเราไม่สามารถล่วงรู้ว่ามาจากต้นตอใด กี่ทอดแล้ว"
ฉะนั้น จะกี่ทอดก็แล้วเถอะ เราไม่สนใจ แต่บัดนี้เราสำนึกผิด ตรงนี้เราไม่เอา ตรงนี้เราขอส่งกุศลให้กับเครือตรงนี้ เครืออาจจะมา ๕ ตอน เครือเราอาจจะมาถึง ๘ ตอน ๑๐ ตอน ซึ่งเราไม่สามารถรู้ แต่เราจะเคลียร์ไปให้ถึง เขาเรียกว่า ตั้งฐานจิตให้ถูก
ถ้าสมมติว่าเราตาย กรรมพวกนี้จะมาส่งให้เราไปเกิด กรรมพวกนี้จะมาพัวพันเราตลอด เราก็จะต้องสร้างกุศล เคลียร์กรรมคืนเครือ คำว่า "เครือนี้ หมายถึง สืบเนื่องมา เป็นโซ่เกี่ยวมาเรื่อยๆ เหมือนกับรูป DNA ฉะนั้น เราจะต้องรำลึกถึงเครือ
สมมติว่า เราแก้ไขได้ เราก็จะหลุดออกจากโซ่นี้ แต่ว่าห่วงโซ่นี้ก็ยังอยู่เหมือนเดิมใช่ไหม? เพราะว่าบุคคลอื่นของเครือเรานี้เขาไม่เคลียร์?
คือว่าถ้าใครไม่เคลียร์ก็เรื่องของเขา ถ้าเราเคลียร์เราก็พ้นจากวิบากกรรม ทำให้เราขึ้นภูมิ ก็ทำให้เราพ้นจากวัฏฏะ ตรงนั้น เราก็จะมาเกาะวัฏฏะที่เป็นกุศล
แสดงว่าคนเราก็จะต้องมีโซ่หลายโซ่ เพราะว่าเราเกิดอยู่ตลอด เรามีเครืออยู่ตลอด มีเครือกุศล อกุศล และกลางๆ นี่เป็นหัวใหญ่ส่วนรายละเอียดก็ว่ากันไป
เขามีใจสร้างกุศล สร้างวัดเพื่อลบล้างสิ่งที่ทำผิดมา
บางคนสร้างวัดแล้วไม่มีพระมาอยู่ เสียเงินไปฟรีๆ
เขาไม่ควรที่จะมาสร้างวัด เพราะว่า เขาไม่มีบารมีพอ และเจตนาไม่บริสุทธิ์ กลายเป็นมารไปหมด เราสร้างวัดจิตของเราโอเคหรือเปล่า ถ้าไม่โอเคก็กลายเป็นสร้างมาร สร้างวัดแล้วจิตพุทธะไม่มาอยู่ มีแต่จิตมารมาอยู่ก็ยุ่งละสิ เพราะว่ามันอยู่ที่จิต
เราสร้างวัดจะต้องมีเจตนาที่ถูกต้อง และจะต้องมีบารมี แต่บางคนมีบารมีแต่ฐานจิตไม่ถูกต้องก็มีเยอะแยะไป ยกตัวอย่างบางคน สร้างวัดเพื่อเอาวัดมาทำเงิน หากิน มันคนละเรื่องกัน
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต