อยากตายอย่างบอกไม่ถูกเลยค่ะ

สวัสดีค่ะ.. ตามหัวข้อกระทู้ เรากำลังประสบกับความรู้สึกอยากหายไปจากโลกนี้
รู้สึกทรมาณและสับสน จนไม่รู้ควรจะทำยังไงกับชีวิตแล้วค่ะ
เราเป็นโรคซึมเศร้าค่ะ กำลังรักษาตัวอยู่ ตอนนี้ก็เข้าสู่เดือนที่ 6 แล้ว เป็นระยะเวลาที่ดูแสนสั้น แต่มันยาวนานสำหรับเราเหลือเกินค่ะ ..เปลี่ยนประเภทยารักษาครั้งแล้วครั้งเล่าก็แล้ว แต่จนถึงตอนนี้มันกลับทำให้เราสงสัยในการมีอยู่ของตัวเราขึ้นทุกวัน
โดยส่วนตัวแล้ว เรารู้ตัวดีค่ะว่าเหตุผลของความคิดพวกนี้มาจากไหน ยังไงก็ขออนุญาตเล่าให้ฟังสักเรื่องแล้วกันนะคะ ยาวหน่อยแต่สามารถข้ามไปที่วรรค ~~~ ได้นะคะ

ก่อนหน้าที่เราจะเข้ารักษา เรา'เคย'มีแฟนอยู่หนึ่งคนค่ะ
เธอเป็นผู้หญิงคนนึง เรารู้จักกันผ่านทางเฟซบุ๊คจากกลุ่มโรลเพลย์(ขออนุญาตไม่ขยายความนะคะ) ตอนนั้นเธออยู่ม.4 อายุน้อยกว่าเรา 1 ปี แต่เป็นคนที่มีความรับผิดชอบ มีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่พอสมควร(ในบางครั้ง) เธอเป็นคนน่ารักค่ะ น่ารักที่สุดที่เราเคยพบเจอมาเลย แม้ตลอด 1 ปีครึ่งที่พวกเราคบกันมาจะ'ไม่เคย'เจอหน้ากันตรงๆเลยก็ตาม คนที่รู้ส่าเราคบกันก็มีแต่ฝั่งแม่ของเราค่ะ (ครอบครัวฝั่งพ่อไม่มีใครรู้จนถึงตอนนี้) ได้ยินแค่เสียงของกันและกันผ่านสายคอลไลน์ แต่ถึงอย่างนั้น เราก็รักเขามากค่ะ รักแบบ อยากใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกับเธอคนนั้น อยากทำให้ทุกๆวันของเขามีความสุข อยากปกป้อง อยากดูแล จนกระทั่งวินาทีสุดท้ายที่ความสัมพันธ์เราจบลง ความรู้สึกของเราก็ยังคงอยู่ และไม่ได้ลดลงไปจากตอนแรกที่คบกันเลย
ฟังดูไร้สาระใช่ไหมคะ? บางท่านอาจจะคิดว่ามันคงเป็นความรู้สึกชั่ววูบของเด็กสองคนที่แม้แต่หน้าก็ยังไม่เคยเห็นกัน ..เราเข้าใจค่ะ เป็นเรื่องปกติที่จะคิดว่าความรักผ่านตัวอักษรเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ยืนยาว เพราะก่อนหน้านี้ เราก็คิดแบบนั้นมาโดยตลอด
จนกระทั่งเธอคนนั้นเข้ามาในชีวิตของเรา
เธอเองก็เป็นโรคซึมเศร้าค่ะ สภาพแวดล้อมที่เธออยู่เรียกได้ว่าเลวร้ายกว่าเรามากค่ะ ครอบครัวของเธอไม่มีใครเข้าใจเธอเลย หนำซ้ำยังกดดันต่างๆนานา ปฏิบัติกับเธอเหมือนกับคนนอกคนนึง(/กำหมัด) เราเองที่ได้ฟังเรื่องราวต่างๆ รวมถึงได้ยินกับหูตัวเองแบบนี้ เรายิ่งรู้สึกเป็นห่วงจนอยากพาเธอออกมาจากตรงนั้น ไม่อยากสร้างปัญหาให้เธอคนนั้นอีก จึงกลืนทุกความรู้สึกแย่ของตัวเองและคอยให้กำลังใจ รับฟังและอยู่เคียงข้างต่อไป ทั้งที่ลึกๆในจิตใจตัวเอง ก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาเลย
แต่ถามว่าเราทำแบบนั้นไปทำไม คำตอบก็คงหนีไม่พ้น ‘เพราะรัก’ นั่นแหละค่ะ
เราทำแบบนั้นมาโดยตลอด จนมองข้ามข้อเสียแทบทุกอย่างของเธอคนนั้นไป อดทนและปกปิดความหม่นหมองของตัวเองต่อไป ซึ่งไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้นะคะว่าเรารู้สึกยังไง ทุกครั้งก็เป็นตัวเราเองที่บ่ายเบี่ยงปฏิเสธจะพูดถึงอยู่เรื่อยไป แต่ในเวลานั้น มีแค่เขาคนเดียวที่เข้าใจและคอยรับฟังเราค่ะ
ทว่ายิ่งนานวันเข้า ทุกอย่างก็เริ่มแย่ลง
เราเริ่มมีปากเสียงมากขึ้นทุกวัน ถึงแม้พวกเราจะไม่เคยตะคอกใส่กันหรือด่ากันจนถึงขั้นใช้คำหยาบคายเลยก็ตาม และปกติก็ความรู้สึกเคืองก็จะหายกันไปเฉยๆในเวลาอันรวดเร็ว กลับมาคุยกันเหมือนเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เพราะเป็นแบบนี้แทบจะทุกวัน ความสัมพันธ์ของพวกเราก็เริ่มย่ำแย่ลงอย่างช้าๆ ประกอบกับความคิดที่แตกต่าง และจิตใจของเราที่แย่ลงไม่ต่างกัน ทำให้เราเริ่มเก็บมันไม่ไหวแล้ว ความเครียดในชีวิตและการเรียนในช่วงใกล้สอบเข้ามหาลัยมันรุมเร้าจนทนไม่ไหว.. เราเริ่มไม่มีเวลาให้ และอีกทั้งเธอคนนั้นมีเพื่อนใหม่ ทำให้เราสองคนเริ่มห่างกันไปเรื่อยๆ แถมทุกครั้งที่ได้คุยกันก็จะมีเรื่องเข้ามาทำให้ต้องทะเลาะกันอยู่เสมอ
จนถึงช่วงที่เราเข้ามหาลัยใหม่ๆ ปลายเดือนมิถุนายน ทุกอย่างก็จบลง.. พวกเราตัดสินใจแยกทางกันเพราะระยะห่าง แต่เธอคนนั้นก็ขอให้เราเป็นเพื่อนกันได้ไหม ยังคุยกันเหมือนเดิมได้หรือเปล่า
แน่นอนว่าเราทำใจไม่ได้ค่ะ เรายังรักเขาอยู่เต็มหัวใจ แต่ถ้าจะให้คุยกันในฐานะเพื่อนต่อไป เราทำไม่ได้จริงๆค่ะ
ทั้งความเสียใจและโกรธอยู่ลึกๆ เราจึงทำท่าทางเหมือนโกรธออกไป
“หวังว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีก”
“ลาขาด”
เราพิมพ์ตอบกลับไปแบบนั้นก่อนจะบล็อคทุกสิ่งทุกอย่างของเธอคนนั้น ลบทุกแชทลบทุกอย่างเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงคนนั้นจนเกือบหมด ทั้งที่ลึกๆรู้ดีอยู่แก่ใจว่าทำไปมีแต่ทำให้ทุกอย่างแย่ลง

และมันก็แย่ลงจริงๆ

หลังจากนั้น อาการของเราก็เริ่มแย่ลงฮวบฮาบ ตอนนั้นเรารู้สึกมืดแปดด้าน เหมือนแสงสว่างในชีวิตดับมอดลง ยอมรับเลยค่ะว่าตลอดทั้งชีวิต ไม่เคยรู้สึกอยากตายขนาดนั้นมาก่อนเลยค่ะ อยากตายจนพยายามแอบฆ่าตัวตายหลายครั้ง โดยการผูกคอ แต่เพราะอะไรไม่รู้ถึงได้ไม่สำเร็จซักที (เรื่องนี้ครอบครัวเราไม่มีใครรู้นะคะ เราไม่กล้าเล่า) ในที่สุดเราก็ทนไม่ไหวแล้ว ตัดสินใจรวบรวมความกล้าขอแม่ให้พาไปหาหมอ (ตอนนี้เราอาศัยอยู่กับคุณแม่ค่ะ)

~~~
นอกจากเรื่องของแฟนเก่าแล้ว ก็ยังมีเรื่องของมหาลัยและตัวเองค่ะ เราได้มหาลัยที่เรา’อคติ’ที่สุดในชีวิต มหาลัยเกือบไร้ชื่อ แต่ที่เลือกไว้เพราะครอบครัวเราไม่อยากให้ไปที่ไกลๆ เรากังวลมากเลยค่ะว่าจบไปไม่มีงานทำ.. แต่พูดได้เลยค่ะว่าเรื่องแฟนเก่าเป็นเรื่องที่สาหัสสำหรับเราจริงๆ ค่ะ เราเสียใจ ที่ตอนนี้มันกลายเป็นอดีตไปแล้ว ถ้าจะให้กลับไปคุยกับเขาเราก็ทำไม่ได้ เพราะก็เป็นเราเองที่สลัดเขาออกจากชีวิตและทิฐิที่ขวางคออยู่ มันทรมาณไปหมดจนไม่อยากอยู่แบกรับความรู้สึกแบบนี้อีกแล้วล่ะค่ะ กลั้นใจลืมยังไงก็ลืมไม่ลงจริงๆ

ในตอนแรก ทั้งครอบครัวเราไม่มีใครเข้าใจเราเลยค่ะ เขามองว่าเราเป็นเด็กเก็บตัว ไม่ค่อยเข้าสังคม ติดเกมติดโทรศัพท์ พวกเขาไม่รู้ว่าโรคซึมเศร้าคืออะไร เวลานั้น หลายครั้งพวกเขามักจะถามเราว่า ‘เศร้าทำไม? เป็นเด็กแท้ๆ มีอะไรให้เศร้า? ทำไมไม่โฟกัสที่การเรียน? คนอื่นที่ลำบากกว่าเรามีเยอะแยะ’
แต่ล่าสุดที่เราไปหาหมอ พวกเขาก็เริ่มเข้าใจเรามากขึ้น รู้ว่าโรคซึมเศร้าคืออะไร พวกเขาพยายามสุดความสามารถเพื่อให้เราไม่คิดมาก

ทว่าไม่รู้ทำไม เราถึงรู้สึกว่าเราไม่คู่ควรกับความรักที่พวกเขามีให้เราเลย

ก่อนหน้าที่ถึงพวกเขาจะไม่เข้าใจ ก็ยังให้ความรักความใส่ใจกับเราอยู่เสมอ แต่เรากลับเอาแต่ทำให้ทุกคนไม่สบายใจ ทำตัวเป็นภาระทั้งที่ควรจะเป็นความหวังให้พวกท่าน ในมุมมองของเราแล้ว เรามองว่าตัวเองไม่ต่างอะไรกับคนไร้ค่าคนนึง เป็นคนที่น่าผิดหวัง น่ารังเกียจที่สุด ไม่ควรค่ากับความรักที่ทุกคนมอบให้ น้ำหน้าอย่างเราไม่ควรเกิดมาแย่งอากาศหายใจคนอื่นด้วยซ้ำ.. แถมไม่มีอะไรการันตีว่าอนาคตมันจะดีขึ้น ดูอย่างปัจจุบันนี้สิคะ เศรษฐกิจสังคมเละเทะไปหมด เราไม่มีความฝัน และไม่เคยความหวังว่าคิดว่าอยู่ไปจะมีอะไรดีขึ้น

น่าจะตายๆ ไปซะก็ดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่