5ข้อเสียจากการรักษาสิวด้วยตัวเอง 📣📣

กระทู้สนทนา


#5ข้อเสียจากการรักษาสิวด้วยตัวเอง 📣📣

1. 📌 #อาจจะเป็นโรคคล้ายสิว แต่ไม่ใช่สิว   
       - มีโรคผิวหนังหลายชนิดที่มีผื่นหน้าตาคล้ายสิว เช่น ผื่นผิวหนังอักเสบรอบปาก (perioral dermatitis) ซึ่งหน้าตาคล้ายสิวอักเสบรอบปาก แต่การรักษาแตกต่างกัน 

2. 📌 #ยาที่ใช้อยู่ไม่ตรงกับชนิดของสิวที่เป็น 
       - เช่น เป็นสิวอุดตัน แต่ซื้อยาปฎิชีวนะ เช่น clinda M มาทา ซึ่งจะเหมาะกับสิวอักเสบมากกว่า 
       - หลายๆคน ทา clinda M อย่างเดียว โดยไม่ได้ทา Benzac ด้วย ทำให้เกิดการดื้อยา (ทาแรกสิวยุบ แต่ทาไปสักพักสิวไม่หาย 
       - benzac ใช้เดี่ยวๆ ได้ แต่ถ้าทา clinda M ต้องทา benzac ด้วยเพื่อลดการดื้อยา 

3. 📌 #ใช้ยาผิดวิธี เพราะขาดคำแนะนำจากแพทย์
       - ❌ ทายาปริมาณมากเกินไป ทาบ่อยเกินไป ทายาซ้ำซ้อน (ชื่อการค้าต่างกัน แต่เป็นยาเดียวกัน) 
       - ❌ ทายาผิดเวลา เช่น ยา epiduo, differin, retin A เป็นยาสำหรับทาตอนก่อนนอน วันละครั้ง แต่ทาผิด เอาไปทาเช้า เย็น ทาแล้วโดนแดดทำให้ผิวมีปัญหา 
      - ❌ ทายาแล้วนวดซ้ำ เหมือนทาครีมบำรุง ไม่ควรนวดยาทาสิวเพราะจะเกิดการระคายเคืองได้มากขึ้น
      - ❌ ทาแต่ยาสิว ไม่ทาครีมบำรุง ทำให้ผิวแห้งอักเสบระคายเคือง คนไข้มักจะเข้าใจผิดว่าเป็นอาการแพ้ยาทาสิว 
      - ❌ กินยาที่ห้ามกินคู่กัน เช่น กิน doxy พร้อมกับกิน isotretinoin อาจทำให้เกิดอาการปวดหัว จากความดันในกระโหลกศีรษะเพิ่มขึ้น

4. 📌 #ช่วงตั้งครรภ์ ยาทาหรือยากินรักษาสิว  ไม่เหมือนการรักษาสิวในคนทั่วไป ควรปรึกษาแพทย์ เพราะ #ยาทาบางชนิดไม่ควรใช้ หรือ #ยากินบางอย่างห้ามใช้เด็ดขาด

5. 📌 สิวอักเสบเรื้อรัง #สุดท้ายกลายเป็นแผลเป็นนูน พบบ่อย ตรงกรามและหน้าอก #หรือกลายเป็นหลุมสิว ซึ่ง #รักษายากและค่าใช้จ่ายในการรักษาแพงกว่าการรักษาสิวมาก 

#อ่านเรื่องสิวเพิ่มเติมได้ในโพสปักหมุด เพจ Dr. YUI คุยทุกเรื่องผิวได้เลยค่ะ
 
📌 สรุปถ้าเป็นสิว ที่ทายาเองแล้วไม่ดีขึ้น หรือเป็นเยอะ 
#ควรรีบปรึกษาหมอผิวหนังให้ช่วยดูแลดีกว่านะคะ 
Dr. Yui คุยทุกเรื่องผิว ❤️
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่