สารบัญ
https://pantip.com/topic/39358562
“ถ้ามีอะไรก็บอกกับป้าคนนี้ได้นะ? พอลเอ๋ย!” เจ้าของร้านอาหารเอ่ยปากขึ้นด้วยท่าทีใจดีหนักหนา ความสูงคือ 160 เซนติเมตร ส่วนอายุประมาณ 40 ปีเศษ ๆ
ผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลลายดอกไม้โชยเกสรทาบทับกับชุดกระโปรงชายบานโทนเขียวแก่ มันเข้ากับใบหน้าทรงหัวใจอวบ บริเวณใต้ขอบตาตกกระและผมยาวสาก ๆ ไร้การดูแลเฉดเหลืองทองที่มัดเป็นมวยอยู่ด้านหลังศีรษะเป็นอย่างดี เธอเท้าสองแขนอยู่บนเคาน์เตอร์ประจำร้าน โดยเอนร่างเข้าหาผู้ฟังครึ่งตัว ก้นเลยโด่งยกสูงขึ้น
ซึ่งภายในไม่มีลูกค้าหลงเหลืออยู่อีก เพราะกำลังจะถึงเวลาปิดทำการแล้ว มีเพียงเทียนไขตามเชิงกำแพงบางเล่มเท่านั้นที่ยังคงฉายแสงให้ทรรศนาสภาพแวดล้อมได้บ้าง ตามฝาผนังประดับงานเขียนต่าง ๆ ให้ดูดีมีสไตล์ อย่างลายเซ็นต์ฮีโร่หรือคนดัง รูปคู่สามีภรรยาทั้งสุขและทุกข์หลายอิริยาบถ ปาร์ตี้นักผจญภัยของพวกเขาเอง กะภาพสเก็ตแบนแห่งเหล่าคนกินแล้วชักดาบ พวกนี้เรียงเป็นตับทีเดียว
“ขอบคุณมาก ที่มอบอาหารมื้อใหญ่ให้แก่พวกเรา ท่านมามาส” อีกฝ่ายก็ตอบโต้อย่างสุภาพ เมื่อโค้งเศียรลงคราหนึ่ง ก่อนยื่นมือรับ ในอ้อมแขนเลยหอบถุงกระดาษซึ่งบรรจุเอาไว้ด้วยเนื้อย่างเสียบไม้อย่างแน่นขนัด เขาเป็นชายหนุ่มวัยประมาณ 20 ปีต้น ๆ
รูปร่างสมส่วนที่สูง 180 เซนติเมตร หากแต่ไม่มีแขนซ้าย ครั้นขาดไปเหนือข้อศอกจึงปรากฏแค่ชายเสื้อเปล่า ๆ ทว่ากลับมีรอยยิ้มเจิดจ้า ผมสั้นหนาเฉดน้ำเงินเข้ม ใบหน้าบากด้วยแถบแผลเป็นเฉียง ๆ เรียบสวยคล้ายรอยเพลิงไหม้ เริ่มจากขอบหน้าผากซ้ายลึกมากและค่อย ๆ ตื้นลงมาถึงกลางดั้งจมูก แต่งกายซอมซ่อด้วยเสื้อเชิ้ตสีฟ้าซีดเซียวกับกางเกงเอี๊ยมดำขายาวที่มีสายรั้งบ่าแค่ข้างเดียว อีกด้านนั้นรุ่ยร่ายตกลงชิดลำตัว มันมิอาจนับว่าเป็นผ้า
“ปึง!/คราวหน้าก็อย่ามาเหยียบที่นี่อีกล่ะ เจ้าขอทานเอ้ย!” เยื้องเข้าไปด้านในของเคาน์เตอร์ประจำร้าน ประตูกั้นทางบานคู่เล็ก ๆ ได้ถูกผลักออกอย่างอารมณ์เสีย เพราะมีชายแก่อายุกว่า 55 ปีก้าวออกมาและว่ากล่าวใส่ชายหนุ่มตรง ๆ ซึ่งเป็นสามีของสาวใหญ่ผู้ใจดีนั่นเอง
โครงสร้างโต ส่วนสูงเกือบสองเมตร ใบหน้าเหลี่ยมคม หนวดโค้งเหนือริมฝีปากคล้ายหางสุกร กล้ามเนื้อล่ำบึก โดยเฉพาะที่เห็นได้จากแขนเสื้อที่ถลกขึ้นมาตรงหัวไหล่ทั้งสองข้าง ปานป๊อบอายก็มิปาน รอยสักรูปเสากระโดงจึงถูกพบเจอ ตำแหน่งความรับผิดชอบภายในร้านคือเชฟทำอาหาร ทั้งหมวกทรงยาวกับชุดคนครัวซึ่งสวมบนร่าง แม้จะปุปะไปบ้าง โดยมีผ้าสีอื่นปะชุนอยู่ด้วย แต่ก็ขาวสะอาดสะอ้านถูกตามหลักอนามัย
“...” ทำให้พอลต้องกรอกดวงตาขึ้นบนโดยพลัน ส่วนสีหน้าเงียบงัน เพราะคุ้นเคยต่อการดูถูกอยู่แล้ว
“อ๊ากกก...!!!” แล้วเจ้าของเสียงด่าทอก็ต้องร้องลั่นในทันที
“คุณเนี่ยน่า! พูดจาไม่สร้างสรรค์เอาซะเลย” เนื่องด้วยมามาสได้ดีดตัวจากเคาน์เตอร์ เพื่อใช้ฟุตเวิร์คถอยหลังมาด้านข้างในชั่วอึดใจเดียว
เธอแทงข้อศอกซ้ายใส่ลิ้นปี่ของสามีเข้าไปเต็ม ๆ ก็เคยเป็นนักศิลปะการต่อสู้ซึ่งเกษียณตนเองก่อนเวลาอันควรนี่นา ทุนเดิมจึงยังพอโอ้อวดได้อยู่ ทำให้เป้าหมายถึงกับทรุดตัวลงมาคุกเข่ากับพื้นร้าน ใบหน้าบิดเบี้ยว ไม้มือกดพิกัดที่โดนกระแทกด้วยความเจ็บปวด
“ป้าต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะ” เธอกล่าวกับชายหนุ่มด้วยท่าทีแย่ ๆ เมื่อก้าวมารับหน้า มือประสานกันตรงบริเวณหน้าอก
“ฮา ๆ เฮียเขาแค่ปากตรงกับใจเท่านั้นน่ะ มันไม่เป็นอะไรหรอก โอ้! ข้าคงต้องขอตัวไปก่อน เดี๋ยวเซนจะท้องกิ่วจนกระเพาะทะลุกันพอดี” ทำให้พอลต้องหัวเราะอย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นก็โค้งศีรษะร่ำลา แล้วจึงรีบเดินออกจากประตูทางเข้า
“โอ้! จิตใจเข้มแข็งเหลือเกิน” มามาสเอ่ยออกจากปากแบบชื่นชม
“ฮึ่ม! คุณเองน่าจะเอาเป็นเยี่ยงอย่างบ้างนะ” จากนั้นก็หันมาแหงนหน้าลง แล้วมองสามีอย่างเย็นชา เนื่องจากเขายังฟื้นคืนสภาพมิได้เลย
“...” พอหลุดพ้นจากอาณาเขตให้ทานแล้ว พอลก็ยืนดูอยู่หน้าร้านสักช่วงครู่ อ้อมแขนรัดถุงกระดาษแน่นให้ตรงกลางเกือบจะเป็นองเอวสาว อารมณ์เรียบเฉยปานมองภาพเหมือนในงานศพของตนเอง
(สักวันหนึ่งนะ ข้าจะมาวางเพลิงเผาที่นี่ให้วอดวายให้ได้ คอยดูสิ คู่ผัวตัวเมียต้องกอดคอตายไปพร้อม ๆ กันแน่) เขานึกในใจอย่างเก็บกด พร้อมกับหรี่ตาลงแทบเป็นเส้นตรง
“สงสารรึ? จะไสส่งหรือ? สมัยที่ข้าเป็นนักผจญภัยระดับหน้า ไม่มีใครกล้ามาปฏิบัติต่อหน้าแบบนี้เลยสักคน” พอลสะบัดหน้าพึมพำเบา ๆ จนแทบไม่ได้ยิน สีหน้าบูดบึ้งแวบหนึ่ง ก่อนเลือนหายกลับมาเป็นปกติ ครั้นฉีกรอยยิ้มบนใบหน้าเสร็จ เขาก็มุ่งตรงสู่ที่พักโดยมิรอช้า
ระว่างทางตามถนนสายหลักซึ่งยังมีผู้คนเดินร่อนในงานตลาดนัด ณ ยามค่ำคืน เขารู้สึกถึงสายตาจากผู้คนรอบ ๆ ข้างอันหลากอารมณ์ลบ ๆ อยู่เนื่อย ๆ ทั้งยืนมองระยะไกล บ้างซุบซิบกันประดุจเห็นของแปลกเข้าให้ คนรู้จักมักคุ้นพอพานพบเข้า พวกเขาก็เร่งชิ่งหนีหน้าอย่างเร่งร้อน สายตาของบางรายสื่อความสมเพศ กะปะปนกับการเย้ยหยัน
“... อะ! แทบแย่แล้วไง” กระนั้นพอลกลับก้าวเดินฝ่าฟันไปได้ โดยแหงนหน้าขึ้นฟ้า 45 องศา เพราะจิตใจมิละอาย ก็เป็นเยี่ยงนี้แหละ ทำให้เกือบสะดุดขอบนูน ๆ ของแผ่นหินให้ล้มลงหัวทิ่มบนพื้นถนน พอผ่านมาอีกช่วงครู่ใหญ่ ๆ ก็ถึงจุดหมายสักที
ที่พักของเขาเป็นห้องแถวเล็ก ๆ ชั้นสองในโซนสลัมนอกเมือง ณ ย่านโคมแดงน่ะ มันอาจจะเก่าเก็บมอซอ แต่ก็พออาศัยนอนแก้ขัดได้ เมื่อโดนไล่จากแหล่งก่อน เขาเดินขึ้นบันไดมาแล้ว โดยหลีกเลี่ยงสี่โนมเมาเหล้าซึ่งเกะกะลู่ทาง แต่ละตนสูงไม่ถึงฟุต มือถือขวดสุราขนาดมาตราฐานกรอกปากบ้าง ทั้งเคาะบ่าเพื่อนอย่างคึกคะนอง พวกนี้กำลังเป่ายิ้งฉุบแก้เสื้อผ้ากันอยู่ตามขั้น เลยปรากฏแต่กางเกงในแนวบรีฟสีซีดขาว กะหมวกสีแดงทรงถุงเท้าครอบหัวอยู่
“ไอ้ขี้แพ้นี่เอง หึ ๆ มากระดกกับพวกข้าไหม?” หัวโจกเลยกล่าวด้วยความเหน็บแนม
“ฮา ๆ ๆ ๆ ๆ”x3 พวกลูกทีมจึงพากันหัวเราะเสริมอานุภาพ
“ถอยไปซะ เดี๋ยวข้าก็สวนกลับจริง ๆ ซะหรอก” พอลจึงหน้าโหดข่มขู่ แล้วรีบเดินผ่านอย่างระมัดระวัง
“...” จากนั้นก็เคลื่อนที่ผ่านระเบียงยาวไปเรื่อย ๆ ซึ่งตึกฝั่งตรงข้ามเป็นบ่อนพนัน อีกชั้นคือซ่องประเวณี
“ไม่! อาาา...!!!/อย่าทำเป็นดิ้นไปสิ เดี๋ยวก็เจ็บตัวฟรีหรอก ฮา ๆ/แทงเสีย ๆ เอ้า! ลงเงินเสี่ยงโชคกันได้แล้ว แต่ขอให้ซวยนะ” เสียงประกอบฉากเลยลอดกำแพงบาง ๆ แว่วให้ฟังแทบจะทุกเพลา ณ ยามก้าวเท้าออก
“เซน! พี่กลับมาแล้ว ทั้งยังได้อาหารของร้านดังแห่งเดิมตั้งเยอะแยะด้วย” เมื่อปรับอารมณ์จนร่าเริง พอหยุดลงกึ่งกลางของทางเดิน เขาจึงได้เปิดประตูเข้าไปในห้อง
ที่พักแห่งนี้เหมาะเจาะกับสภาพของผู้อาศัย อาณาเขต 4x5 เมตรโดยประมาณ เลยมีแค่สิ่งที่จำเป็นเท่านั้นจริง ๆ อาทิ สองหมอนเก่า ๆ ผ้าห่มขาดเพียงผืนเดียวและเตียงฟางติดพื้นชิดกำแพงด้านในสุด นอกเหนือจากนั้นเป็นเฟอร์นิเจอร์จิปาถะเส็งเคร็งอีกสามชิ้นข้าง ๆ จึงโล่งมิรำคาญสายตา
“เฮ้ย! อย่าทำอะไรบ้า ๆ แบบนั้น” พอเหลือบเห็นเหตุการณ์ภายในเพียงแวบเดียว ทั้ง ๆ ที่ระดับการมองเป็นแค่สลัว ๆ
เนื่องจากมีเพียงแสงจันทร์ที่ลอดผ่านรอยแตกของผนังห้องมาส่องโดนประปราย หน้าต่างก็ปิดเอาไว้อีก เขาถึงกับต้องละถุงกระดาษใส่อาหารในอ้อมอกทิ้งลงกับพื้นในบัดดล โดยเปล่งพลังเวทย์อันน้อยนิดที่ตนเองมีอยู่ตรงฝ่าเท้า เพื่อเตรียมทะยานตรงเข้าหาเพื่อนร่วมห้อง
“พี่พอล! นี่เป็นเรื่องของข้า ท่านไม่มีวันเข้าใจหรอก” อีกฝ่ายจึงเอ่ยปากตอบอย่างไร้วิญญาณ
สีหน้าและท่าทีก็หดหู่ได้ใจนัก ทั้งยังส่ายหน้าน้อย ๆ ด้วยความทุกข์ทนด้วย ขณะที่ยืนอยู่บนเก้าอี้ไม้ซึ่งมีขาเยื้องเฉียงมิตั้งตรง เลยโยกเยกน่าหวาดเสียวพอดู เส้นเชือกปอในมือกำลังคล้องคอของตนเอง โดยว่าจะฆ่าตัวตายให้หมดเรื่องหมดราวกันไป
ผู้คิดสั้นรายนี้อายุน้อยกว่าพอลประมาณแปดเดือนเศษ ความสูงพอ ๆ กัน ที่แตกต่างคือความเพรียวบางแบบเห็นชัดเจน อวัยวะครบครันและหล่อเหลากว่าแทบเทียบไม่ติด หน้าใสสไตล์เกาหลี เขาสวมชุดคลุมจอมเวทย์เต็มยศเป็นครั้งสุดท้าย ผ้าแพรลงอาคมโทนน้ำเงินซึ่งถึงตายก็มิยอมขายเอาเงินมายาไส้แน่ ผมสีเทาอ่อนยาวถึงแผ่นหลัง ถุงใต้นัยน์ตาสีครามดำคล่ำสุด ๆ เชียวล่ะ
“เจ้าบ้าเอ้ย!” ทำให้พอลต้องกระโดดเข้าประชิดตัวอย่างว่องไว เมื่อระเบิดพลังบนพื้นแล้ว
“โอ้ยยย...!!!” หมัดขวาของแขนเพียงข้างเดียวได้ตะบันใส่ใบหน้าแบบจัง ๆ ทำให้การอัตวินิบาตกรรมของเซนถูกขัดขวางเอาไว้ก่อน
“โครม!”x3 อีกฝ่ายจึงกระเด็นไปตามแรงกระแทก
ดีนะที่เชือกไม่รัดจนกระดูกคอหักตาย พนักเก้าอี้ที่ยืนอยู่ชนกับช่วงขาให้ล้มลงควบคู่ ผู้โจมตีเองก็เข้าผสมโรงต่อซะด้วย จนตอนนี้ทั้งหมดกลิ้ง ๆ แล้วมาหยุดนอนปล้ำกอดกันอยู่บนพื้นห้อง ฝุ่นหนาตลบเสมือนหมอกลง ณ พลันที ก็อยู่กันตามประสาผู้ชายโสดแสนห่อเหี่ยว
“แค่ก! ๆ ทะ ท่านไม่มีสิทธิ์จะห้ามปรามนะ นี่คือชีวิตของข้า” พอสำลักเสร็จ เซนซึ่งนอนอยู่ใต้ร่างตะโกนออกมาด้วยความพิโรธ หัวเข่าซ้ายตั้งขึ้นกระแทกพนักเก้าอี้ให้กระเด็นออกด้านข้างก่อน จนหลุดจากม่านละออง เพื่อถีบหน้าท้องของพอลต่อด้วยอีกเท้าอย่างดุดัน
“อั่ก! เจ้าไม่เรี่ยวแรงพอจะต่อกรกับข้าหรอก เซน” เมื่ออยู่ใกล้เกินควรจึงหลบมิพ้น ทว่าความบอบช้ำที่ได้กลับไม่มากมายเท่าไรนัก เหยียดเป้าหมายมิไปน่ะ ซิกแพคแกร่งพอ ครั้นตั้งหลักมั่น ท่อนบนอยู่เหนือแถบผงที่ยังลอยค้างกลางอากาศ แขนขวาของพอลเลยเร่งคว้าจับหัวไหล่ของอีกฝ่าย โดยบังคับกะจับให้เซนต้องพลิกตัวตามพละกำลังอันเหนือกว่า
“ข้ามิคิดอยู่ต่ออีกแล้ว ทางท่านมาเกี่ยวอะไรด้วย?” แต่มือซ้ายของเซนเร่งพุ่งไปดันใบหน้าของผู้พี่เป็นการแก้เกมส์ที่ดี นิ้วโป้งสอดเข้าสู่โพรงจมูก ที่เหลือก็ปิดผนึกดวงตาขวาเอาไว้
ทว่าเขาซึ่งเคยเป็นจอมเวทย์มาก่อนไม่ปัญญาด้านกายภาพเลยสักนิด จึงต้องพ่ายแพ้ไปตามคาด พอรู้สึกตัววูบ หน้าอกเลยกระทบกับพื้นห้องเต็มเหนี่ยว ศีรษะก็ถูกอุ้งมือของพอลที่ละจากหัวไหล่มากดเอาไว้ให้แนบติดกัน ผู้อยู่ด้านบนได้นั่งคร่อมตรงแผ่นหลัง แล้วผนึกการเคลื่อนไหวด้วยน้ำหนักตัว จังหวะนี้เอง ที่ทัศนวิสัยเริ่มซาลงแล้ว
“ฮือ! ก็เพราะว่าเจ้าเป็นน้องชายของข้า ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ จะมิคิดยุ่งเกี่ยวด้วยเลย ดังนั้นจงดีใจเอาไว้ด้วยนะ” พอลจึงเอ่ยปากชี้แจงเหตุผลด้วยความจริงจัง
“แฮก! ๆ ๆ ท่านข่มเหงข้า พอล เรนด้า” เซนเลยต้องหอบหายใจอัดลงสู่ที่ราบในระยะประชิดอย่างเหนื่อยล้า หลังจากขัดขืนสุดกำลัง แต่สู้เรี่ยวแรงไม่ไหว
“ตึง! ๆ ๆ/ก็ใครให้เจ้าคิดกระทำโง่เขลาแบบนี้เล่า? เซน กีโดรน” พอลต้องตะคอกใส่สุดเสียง โดยจับศีรษะของอีกฝ่ายเคาะกับพื้นห้องเป็นจังหวะจะโคน ฝุ่นจึงเริ่มกระจายต่อนิด ๆ อีกรอบ ร่างท่อนบนเลยโยกตามการลงแรงไปด้วย
“บัดสีบัดเถลิงนัก ช่างไม่รู้กาลเทศะเอาซะเลย ของแบบนี้ต้องแอบ ๆ ทำสิ ถึงจะเร้าใจจริง” จู่ ๆ กลับปรากฏสำเนียงทักขึ้นมาแบบกะทันหัดที่หน้าประตูห้อง
นิยายแฟนตาซีเรื่อง Conflict Before The Beginning มันเกิดก่อนเริ่ม [ตอนที่ 8 บทบาทของคนขี้แพ้] ปรับปรุง
“ถ้ามีอะไรก็บอกกับป้าคนนี้ได้นะ? พอลเอ๋ย!” เจ้าของร้านอาหารเอ่ยปากขึ้นด้วยท่าทีใจดีหนักหนา ความสูงคือ 160 เซนติเมตร ส่วนอายุประมาณ 40 ปีเศษ ๆ
ผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลลายดอกไม้โชยเกสรทาบทับกับชุดกระโปรงชายบานโทนเขียวแก่ มันเข้ากับใบหน้าทรงหัวใจอวบ บริเวณใต้ขอบตาตกกระและผมยาวสาก ๆ ไร้การดูแลเฉดเหลืองทองที่มัดเป็นมวยอยู่ด้านหลังศีรษะเป็นอย่างดี เธอเท้าสองแขนอยู่บนเคาน์เตอร์ประจำร้าน โดยเอนร่างเข้าหาผู้ฟังครึ่งตัว ก้นเลยโด่งยกสูงขึ้น
ซึ่งภายในไม่มีลูกค้าหลงเหลืออยู่อีก เพราะกำลังจะถึงเวลาปิดทำการแล้ว มีเพียงเทียนไขตามเชิงกำแพงบางเล่มเท่านั้นที่ยังคงฉายแสงให้ทรรศนาสภาพแวดล้อมได้บ้าง ตามฝาผนังประดับงานเขียนต่าง ๆ ให้ดูดีมีสไตล์ อย่างลายเซ็นต์ฮีโร่หรือคนดัง รูปคู่สามีภรรยาทั้งสุขและทุกข์หลายอิริยาบถ ปาร์ตี้นักผจญภัยของพวกเขาเอง กะภาพสเก็ตแบนแห่งเหล่าคนกินแล้วชักดาบ พวกนี้เรียงเป็นตับทีเดียว
“ขอบคุณมาก ที่มอบอาหารมื้อใหญ่ให้แก่พวกเรา ท่านมามาส” อีกฝ่ายก็ตอบโต้อย่างสุภาพ เมื่อโค้งเศียรลงคราหนึ่ง ก่อนยื่นมือรับ ในอ้อมแขนเลยหอบถุงกระดาษซึ่งบรรจุเอาไว้ด้วยเนื้อย่างเสียบไม้อย่างแน่นขนัด เขาเป็นชายหนุ่มวัยประมาณ 20 ปีต้น ๆ
รูปร่างสมส่วนที่สูง 180 เซนติเมตร หากแต่ไม่มีแขนซ้าย ครั้นขาดไปเหนือข้อศอกจึงปรากฏแค่ชายเสื้อเปล่า ๆ ทว่ากลับมีรอยยิ้มเจิดจ้า ผมสั้นหนาเฉดน้ำเงินเข้ม ใบหน้าบากด้วยแถบแผลเป็นเฉียง ๆ เรียบสวยคล้ายรอยเพลิงไหม้ เริ่มจากขอบหน้าผากซ้ายลึกมากและค่อย ๆ ตื้นลงมาถึงกลางดั้งจมูก แต่งกายซอมซ่อด้วยเสื้อเชิ้ตสีฟ้าซีดเซียวกับกางเกงเอี๊ยมดำขายาวที่มีสายรั้งบ่าแค่ข้างเดียว อีกด้านนั้นรุ่ยร่ายตกลงชิดลำตัว มันมิอาจนับว่าเป็นผ้า
“ปึง!/คราวหน้าก็อย่ามาเหยียบที่นี่อีกล่ะ เจ้าขอทานเอ้ย!” เยื้องเข้าไปด้านในของเคาน์เตอร์ประจำร้าน ประตูกั้นทางบานคู่เล็ก ๆ ได้ถูกผลักออกอย่างอารมณ์เสีย เพราะมีชายแก่อายุกว่า 55 ปีก้าวออกมาและว่ากล่าวใส่ชายหนุ่มตรง ๆ ซึ่งเป็นสามีของสาวใหญ่ผู้ใจดีนั่นเอง
โครงสร้างโต ส่วนสูงเกือบสองเมตร ใบหน้าเหลี่ยมคม หนวดโค้งเหนือริมฝีปากคล้ายหางสุกร กล้ามเนื้อล่ำบึก โดยเฉพาะที่เห็นได้จากแขนเสื้อที่ถลกขึ้นมาตรงหัวไหล่ทั้งสองข้าง ปานป๊อบอายก็มิปาน รอยสักรูปเสากระโดงจึงถูกพบเจอ ตำแหน่งความรับผิดชอบภายในร้านคือเชฟทำอาหาร ทั้งหมวกทรงยาวกับชุดคนครัวซึ่งสวมบนร่าง แม้จะปุปะไปบ้าง โดยมีผ้าสีอื่นปะชุนอยู่ด้วย แต่ก็ขาวสะอาดสะอ้านถูกตามหลักอนามัย
“...” ทำให้พอลต้องกรอกดวงตาขึ้นบนโดยพลัน ส่วนสีหน้าเงียบงัน เพราะคุ้นเคยต่อการดูถูกอยู่แล้ว
“อ๊ากกก...!!!” แล้วเจ้าของเสียงด่าทอก็ต้องร้องลั่นในทันที
“คุณเนี่ยน่า! พูดจาไม่สร้างสรรค์เอาซะเลย” เนื่องด้วยมามาสได้ดีดตัวจากเคาน์เตอร์ เพื่อใช้ฟุตเวิร์คถอยหลังมาด้านข้างในชั่วอึดใจเดียว
เธอแทงข้อศอกซ้ายใส่ลิ้นปี่ของสามีเข้าไปเต็ม ๆ ก็เคยเป็นนักศิลปะการต่อสู้ซึ่งเกษียณตนเองก่อนเวลาอันควรนี่นา ทุนเดิมจึงยังพอโอ้อวดได้อยู่ ทำให้เป้าหมายถึงกับทรุดตัวลงมาคุกเข่ากับพื้นร้าน ใบหน้าบิดเบี้ยว ไม้มือกดพิกัดที่โดนกระแทกด้วยความเจ็บปวด
“ป้าต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะ” เธอกล่าวกับชายหนุ่มด้วยท่าทีแย่ ๆ เมื่อก้าวมารับหน้า มือประสานกันตรงบริเวณหน้าอก
“ฮา ๆ เฮียเขาแค่ปากตรงกับใจเท่านั้นน่ะ มันไม่เป็นอะไรหรอก โอ้! ข้าคงต้องขอตัวไปก่อน เดี๋ยวเซนจะท้องกิ่วจนกระเพาะทะลุกันพอดี” ทำให้พอลต้องหัวเราะอย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นก็โค้งศีรษะร่ำลา แล้วจึงรีบเดินออกจากประตูทางเข้า
“โอ้! จิตใจเข้มแข็งเหลือเกิน” มามาสเอ่ยออกจากปากแบบชื่นชม
“ฮึ่ม! คุณเองน่าจะเอาเป็นเยี่ยงอย่างบ้างนะ” จากนั้นก็หันมาแหงนหน้าลง แล้วมองสามีอย่างเย็นชา เนื่องจากเขายังฟื้นคืนสภาพมิได้เลย
“...” พอหลุดพ้นจากอาณาเขตให้ทานแล้ว พอลก็ยืนดูอยู่หน้าร้านสักช่วงครู่ อ้อมแขนรัดถุงกระดาษแน่นให้ตรงกลางเกือบจะเป็นองเอวสาว อารมณ์เรียบเฉยปานมองภาพเหมือนในงานศพของตนเอง
(สักวันหนึ่งนะ ข้าจะมาวางเพลิงเผาที่นี่ให้วอดวายให้ได้ คอยดูสิ คู่ผัวตัวเมียต้องกอดคอตายไปพร้อม ๆ กันแน่) เขานึกในใจอย่างเก็บกด พร้อมกับหรี่ตาลงแทบเป็นเส้นตรง
“สงสารรึ? จะไสส่งหรือ? สมัยที่ข้าเป็นนักผจญภัยระดับหน้า ไม่มีใครกล้ามาปฏิบัติต่อหน้าแบบนี้เลยสักคน” พอลสะบัดหน้าพึมพำเบา ๆ จนแทบไม่ได้ยิน สีหน้าบูดบึ้งแวบหนึ่ง ก่อนเลือนหายกลับมาเป็นปกติ ครั้นฉีกรอยยิ้มบนใบหน้าเสร็จ เขาก็มุ่งตรงสู่ที่พักโดยมิรอช้า
ระว่างทางตามถนนสายหลักซึ่งยังมีผู้คนเดินร่อนในงานตลาดนัด ณ ยามค่ำคืน เขารู้สึกถึงสายตาจากผู้คนรอบ ๆ ข้างอันหลากอารมณ์ลบ ๆ อยู่เนื่อย ๆ ทั้งยืนมองระยะไกล บ้างซุบซิบกันประดุจเห็นของแปลกเข้าให้ คนรู้จักมักคุ้นพอพานพบเข้า พวกเขาก็เร่งชิ่งหนีหน้าอย่างเร่งร้อน สายตาของบางรายสื่อความสมเพศ กะปะปนกับการเย้ยหยัน
“... อะ! แทบแย่แล้วไง” กระนั้นพอลกลับก้าวเดินฝ่าฟันไปได้ โดยแหงนหน้าขึ้นฟ้า 45 องศา เพราะจิตใจมิละอาย ก็เป็นเยี่ยงนี้แหละ ทำให้เกือบสะดุดขอบนูน ๆ ของแผ่นหินให้ล้มลงหัวทิ่มบนพื้นถนน พอผ่านมาอีกช่วงครู่ใหญ่ ๆ ก็ถึงจุดหมายสักที
ที่พักของเขาเป็นห้องแถวเล็ก ๆ ชั้นสองในโซนสลัมนอกเมือง ณ ย่านโคมแดงน่ะ มันอาจจะเก่าเก็บมอซอ แต่ก็พออาศัยนอนแก้ขัดได้ เมื่อโดนไล่จากแหล่งก่อน เขาเดินขึ้นบันไดมาแล้ว โดยหลีกเลี่ยงสี่โนมเมาเหล้าซึ่งเกะกะลู่ทาง แต่ละตนสูงไม่ถึงฟุต มือถือขวดสุราขนาดมาตราฐานกรอกปากบ้าง ทั้งเคาะบ่าเพื่อนอย่างคึกคะนอง พวกนี้กำลังเป่ายิ้งฉุบแก้เสื้อผ้ากันอยู่ตามขั้น เลยปรากฏแต่กางเกงในแนวบรีฟสีซีดขาว กะหมวกสีแดงทรงถุงเท้าครอบหัวอยู่
“ไอ้ขี้แพ้นี่เอง หึ ๆ มากระดกกับพวกข้าไหม?” หัวโจกเลยกล่าวด้วยความเหน็บแนม
“ฮา ๆ ๆ ๆ ๆ”x3 พวกลูกทีมจึงพากันหัวเราะเสริมอานุภาพ
“ถอยไปซะ เดี๋ยวข้าก็สวนกลับจริง ๆ ซะหรอก” พอลจึงหน้าโหดข่มขู่ แล้วรีบเดินผ่านอย่างระมัดระวัง
“...” จากนั้นก็เคลื่อนที่ผ่านระเบียงยาวไปเรื่อย ๆ ซึ่งตึกฝั่งตรงข้ามเป็นบ่อนพนัน อีกชั้นคือซ่องประเวณี
“ไม่! อาาา...!!!/อย่าทำเป็นดิ้นไปสิ เดี๋ยวก็เจ็บตัวฟรีหรอก ฮา ๆ/แทงเสีย ๆ เอ้า! ลงเงินเสี่ยงโชคกันได้แล้ว แต่ขอให้ซวยนะ” เสียงประกอบฉากเลยลอดกำแพงบาง ๆ แว่วให้ฟังแทบจะทุกเพลา ณ ยามก้าวเท้าออก
“เซน! พี่กลับมาแล้ว ทั้งยังได้อาหารของร้านดังแห่งเดิมตั้งเยอะแยะด้วย” เมื่อปรับอารมณ์จนร่าเริง พอหยุดลงกึ่งกลางของทางเดิน เขาจึงได้เปิดประตูเข้าไปในห้อง
ที่พักแห่งนี้เหมาะเจาะกับสภาพของผู้อาศัย อาณาเขต 4x5 เมตรโดยประมาณ เลยมีแค่สิ่งที่จำเป็นเท่านั้นจริง ๆ อาทิ สองหมอนเก่า ๆ ผ้าห่มขาดเพียงผืนเดียวและเตียงฟางติดพื้นชิดกำแพงด้านในสุด นอกเหนือจากนั้นเป็นเฟอร์นิเจอร์จิปาถะเส็งเคร็งอีกสามชิ้นข้าง ๆ จึงโล่งมิรำคาญสายตา
“เฮ้ย! อย่าทำอะไรบ้า ๆ แบบนั้น” พอเหลือบเห็นเหตุการณ์ภายในเพียงแวบเดียว ทั้ง ๆ ที่ระดับการมองเป็นแค่สลัว ๆ
เนื่องจากมีเพียงแสงจันทร์ที่ลอดผ่านรอยแตกของผนังห้องมาส่องโดนประปราย หน้าต่างก็ปิดเอาไว้อีก เขาถึงกับต้องละถุงกระดาษใส่อาหารในอ้อมอกทิ้งลงกับพื้นในบัดดล โดยเปล่งพลังเวทย์อันน้อยนิดที่ตนเองมีอยู่ตรงฝ่าเท้า เพื่อเตรียมทะยานตรงเข้าหาเพื่อนร่วมห้อง
“พี่พอล! นี่เป็นเรื่องของข้า ท่านไม่มีวันเข้าใจหรอก” อีกฝ่ายจึงเอ่ยปากตอบอย่างไร้วิญญาณ
สีหน้าและท่าทีก็หดหู่ได้ใจนัก ทั้งยังส่ายหน้าน้อย ๆ ด้วยความทุกข์ทนด้วย ขณะที่ยืนอยู่บนเก้าอี้ไม้ซึ่งมีขาเยื้องเฉียงมิตั้งตรง เลยโยกเยกน่าหวาดเสียวพอดู เส้นเชือกปอในมือกำลังคล้องคอของตนเอง โดยว่าจะฆ่าตัวตายให้หมดเรื่องหมดราวกันไป
ผู้คิดสั้นรายนี้อายุน้อยกว่าพอลประมาณแปดเดือนเศษ ความสูงพอ ๆ กัน ที่แตกต่างคือความเพรียวบางแบบเห็นชัดเจน อวัยวะครบครันและหล่อเหลากว่าแทบเทียบไม่ติด หน้าใสสไตล์เกาหลี เขาสวมชุดคลุมจอมเวทย์เต็มยศเป็นครั้งสุดท้าย ผ้าแพรลงอาคมโทนน้ำเงินซึ่งถึงตายก็มิยอมขายเอาเงินมายาไส้แน่ ผมสีเทาอ่อนยาวถึงแผ่นหลัง ถุงใต้นัยน์ตาสีครามดำคล่ำสุด ๆ เชียวล่ะ
“เจ้าบ้าเอ้ย!” ทำให้พอลต้องกระโดดเข้าประชิดตัวอย่างว่องไว เมื่อระเบิดพลังบนพื้นแล้ว
“โอ้ยยย...!!!” หมัดขวาของแขนเพียงข้างเดียวได้ตะบันใส่ใบหน้าแบบจัง ๆ ทำให้การอัตวินิบาตกรรมของเซนถูกขัดขวางเอาไว้ก่อน
“โครม!”x3 อีกฝ่ายจึงกระเด็นไปตามแรงกระแทก
ดีนะที่เชือกไม่รัดจนกระดูกคอหักตาย พนักเก้าอี้ที่ยืนอยู่ชนกับช่วงขาให้ล้มลงควบคู่ ผู้โจมตีเองก็เข้าผสมโรงต่อซะด้วย จนตอนนี้ทั้งหมดกลิ้ง ๆ แล้วมาหยุดนอนปล้ำกอดกันอยู่บนพื้นห้อง ฝุ่นหนาตลบเสมือนหมอกลง ณ พลันที ก็อยู่กันตามประสาผู้ชายโสดแสนห่อเหี่ยว
“แค่ก! ๆ ทะ ท่านไม่มีสิทธิ์จะห้ามปรามนะ นี่คือชีวิตของข้า” พอสำลักเสร็จ เซนซึ่งนอนอยู่ใต้ร่างตะโกนออกมาด้วยความพิโรธ หัวเข่าซ้ายตั้งขึ้นกระแทกพนักเก้าอี้ให้กระเด็นออกด้านข้างก่อน จนหลุดจากม่านละออง เพื่อถีบหน้าท้องของพอลต่อด้วยอีกเท้าอย่างดุดัน
“อั่ก! เจ้าไม่เรี่ยวแรงพอจะต่อกรกับข้าหรอก เซน” เมื่ออยู่ใกล้เกินควรจึงหลบมิพ้น ทว่าความบอบช้ำที่ได้กลับไม่มากมายเท่าไรนัก เหยียดเป้าหมายมิไปน่ะ ซิกแพคแกร่งพอ ครั้นตั้งหลักมั่น ท่อนบนอยู่เหนือแถบผงที่ยังลอยค้างกลางอากาศ แขนขวาของพอลเลยเร่งคว้าจับหัวไหล่ของอีกฝ่าย โดยบังคับกะจับให้เซนต้องพลิกตัวตามพละกำลังอันเหนือกว่า
“ข้ามิคิดอยู่ต่ออีกแล้ว ทางท่านมาเกี่ยวอะไรด้วย?” แต่มือซ้ายของเซนเร่งพุ่งไปดันใบหน้าของผู้พี่เป็นการแก้เกมส์ที่ดี นิ้วโป้งสอดเข้าสู่โพรงจมูก ที่เหลือก็ปิดผนึกดวงตาขวาเอาไว้
ทว่าเขาซึ่งเคยเป็นจอมเวทย์มาก่อนไม่ปัญญาด้านกายภาพเลยสักนิด จึงต้องพ่ายแพ้ไปตามคาด พอรู้สึกตัววูบ หน้าอกเลยกระทบกับพื้นห้องเต็มเหนี่ยว ศีรษะก็ถูกอุ้งมือของพอลที่ละจากหัวไหล่มากดเอาไว้ให้แนบติดกัน ผู้อยู่ด้านบนได้นั่งคร่อมตรงแผ่นหลัง แล้วผนึกการเคลื่อนไหวด้วยน้ำหนักตัว จังหวะนี้เอง ที่ทัศนวิสัยเริ่มซาลงแล้ว
“ฮือ! ก็เพราะว่าเจ้าเป็นน้องชายของข้า ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ จะมิคิดยุ่งเกี่ยวด้วยเลย ดังนั้นจงดีใจเอาไว้ด้วยนะ” พอลจึงเอ่ยปากชี้แจงเหตุผลด้วยความจริงจัง
“แฮก! ๆ ๆ ท่านข่มเหงข้า พอล เรนด้า” เซนเลยต้องหอบหายใจอัดลงสู่ที่ราบในระยะประชิดอย่างเหนื่อยล้า หลังจากขัดขืนสุดกำลัง แต่สู้เรี่ยวแรงไม่ไหว
“ตึง! ๆ ๆ/ก็ใครให้เจ้าคิดกระทำโง่เขลาแบบนี้เล่า? เซน กีโดรน” พอลต้องตะคอกใส่สุดเสียง โดยจับศีรษะของอีกฝ่ายเคาะกับพื้นห้องเป็นจังหวะจะโคน ฝุ่นจึงเริ่มกระจายต่อนิด ๆ อีกรอบ ร่างท่อนบนเลยโยกตามการลงแรงไปด้วย
“บัดสีบัดเถลิงนัก ช่างไม่รู้กาลเทศะเอาซะเลย ของแบบนี้ต้องแอบ ๆ ทำสิ ถึงจะเร้าใจจริง” จู่ ๆ กลับปรากฏสำเนียงทักขึ้นมาแบบกะทันหัดที่หน้าประตูห้อง