JJNY : เทรดวอร์-บาทแข็งทำส่งออกติดลบ กังวลปีหน้าแตะ29บ.ฯ/หอค้าไทยชงสมคิดปลุกศก.ฯ/เช็กสัญญาณการเงิน ศก.เผาจริงกำลังมาฯ

เทรดวอร์-บาทแข็งค่าทำส่งออกติดลบ ปีนี้สูญกว่า 3 แสนล้านบ. เอกชนกังวลปีหน้าแตะ 29 บาท/ดอลล์ วอนรัฐดูแลด่วน!
https://www.matichon.co.th/economy/news_1775113
 
 
เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน นายธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีอาวุโสวิชาการและงานวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงการเข้าร่วมสัมมนาหอการค้า 5 ภาค ที่จ.ลำปาง ว่า จากการรับฟังข้อมมูลจากหอการค้า 5 ภาค เห็นตรงกันว่าเศรษฐกิจมีสัญญาณชะลอตัว การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังไม่มีสัญญาณอย่างชัดเจน โดยมีปัจจัยลบในระยะสั้น อาทิ กำลังซื้อจากเกษตรกรหาย จากราคาสินค้าเกษตรปรับตัวลดลง และปัญหาค่าเงินบาทที่เพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปี 2562 จนถึงปัจจุบัน ที่ปรับขึ้นมาจากเดิมถึง 7% เป็นต้น ดังนั้น สิ่งที่ภาคเอกชนเสนอ คือ รัฐบาลต้องหาวิธีทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลง และต้องป้องกันไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งไปกว่านี้อีกด้วย

“สิ่งที่ภาคเอกชนยังมีความกังวลอยู่ คือในเรื่องของค่าเงินบาท หากรัฐบาลปล่อยให้หลุด 30 บาทต่อดอลลาร์ ไปอยู่ที่ 29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2563 จะส่งผลให้เศรษฐกิจไม่ฟื้นตัว และจะทำให้ทุกภาคมีภาวะที่ย่ำแย่ลง ซึ่งสิ่งที่เอกชนอยากให้มีการแก้ไข คือ ดูแลเรื่องค่าเงินบาทให้เคลื่อนตัวอยู่ในกรอบ 30.50 บาทต่อดอลลาร์ หรืออ่อนค่ากว่านั้น ขณะเดียวกันในส่วนของการทำงานของภาครัฐที่ทำให้เกิดการลงทุนอย่างรวดเร็ว หลังจากที่งบประมาณผ่านการอนุมัติในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 และมีการเบิกจ่าย ภาคเอกชนอยากให้นำมาใช้ในพื้นที่ต่างจังหวัด เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนในพื้นที่มากขึ้น” นายธนวรรธน์ กล่าว

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) ในปีนี้ มีความคิดเห็นร่วมกันว่า อาจจะโตไม่ถึง 3% และกังวลว่าเศรษฐกิจไทยจะโตต่ำกว่า 2.5% รวมทั้งภาคเอกชนยังมีข้อสรุปร่วมกันว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้ควรเติบโตอยู่ที่กรอบ 2.5-2.6% ส่วนสัญญาณการฟื้นตัวคาดว่ายังไม่ฟื้นตัวในปลายปีนี้แน่นอน ทั้งนี้ ทางภาคเอกชนหวังว่า ในปี 2563 ถ้าไม่มีเหตุการณ์ที่เป็นปัจจัยลบ เศรษฐกิจจะมีการฟื้นมาอยู่ที่กรอบ 3-3.5% ในช่วงกลางไตรมาสที่ 2/2563 แต่จากการสำรวจพบว่ามีเอกชนเพียง 51% เท่านั้น ที่มีมองว่าในปีหน้าเศรษฐกิจจะเติบโตถึง 3% ส่วน 49% มองว่าเศรษฐกิจไทยจะโตต่ำกว่า 2.5% จากปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ ที่ทำให้ภาคการส่งออกของไทยติดลบ 2% และมีแนวโน้มที่จะติดลบ 3-5% ในปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้เงินหายไปจากระบบเศรษฐกิจไทยประมาณ 3 แสนล้านบาท

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเรื่องสินค้าออนไลน์ และคาดว่าจะมีการนำเข้ามาจากประเทศจีนโดยตรง คิดเป็นมูลค่าประมาณ 5 หมื่นบาท ถึง 1แสนล้านบาท ในปีนี้ ส่งผลทำให้ภาคการส่งออกของไทยถูกทดแทนจากสินค้าจากต่างประเทศที่เข้ามาในระบบอีคอมเมิร์ซมากขึ้น ดังนั้น ภาคเอกชนต้องเร่วมมือกับภาครัฐ ในการผลักดันและหามาตราการป้องกัน เพื่อให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัว ในช่วงต้นปี 2563 ให้ได้
 

 
หอการค้าไทยชง 'สมคิด' ปลุกเศรษฐกิจ
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/856605
 
หอการค้าไทย ชงสมุดปกขาว “สมคิด”วันนี้ สร้างความพร้อม “ดิจิทัล อีโคโนมี” แก้ปัญหาสินค้าเกษตรตกต่ำ เร่งเครื่องท่องเที่ยวชุมชน เตือนสมาชิกปรับตัวรับมือ “ดิจิทัลดิสรัป” มาแรงเร็ว
 
หอการค้าไทยจัดสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศครั้งที่ 37 ในหัวข้อ “THAITAY In ACTION: ไทยเท่ ทำได้ ทำจริง” ระหว่างวันที่ 29 พ.ย.ถึง 1 ธ.ค.2562 ที่ จ.ลำปาง เพื่อสร้างความร่วมมือในระหว่างภาครัฐและเอกชนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
 
นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ปัจจุบันดิจิทัลดิสรัปชั่นเข้ามาแรงและรวดเร็วกว่าที่คิด ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง ต้องความความรวดเร็ว ประหยัด และเชื่อมโยงกับคนอื่น ซึ่งในปี 2562 เกิดปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ที่เห็นชัดคือภาคการส่งออกที่ลดลง เงินบาทแข็งค่า แต่ในขณะเดียวกันไทยก็ได้โอกาสจากสงครามการค้าทั้งการย้ายฐานการผลิตและการลงทุนทั้งจากจีนและสหรัฐ 
 
รวมถึง Sharing Economy หรือเศรษฐกิจบนพื้นฐานการแบ่งปันทั้งแกร็ป ไลน์แมน ทำให้สะดวกสบายและต้องทำให้เกิดการกระจายรายได้ อย่างไรก็ตามการที่ไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศ สูงเป็นอันดับ 2 ของโลกทำให้นักลงทุนมั่นใจเข้ามาลงทุนในประเทศมากขึ้น
 
นอกจากนี้ไทยยังเกิดเศรษฐกิจสีเขียว เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว (บีซีจี) เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี ทั้งด้านการแพทย์ สุขภาพความงาม การศึกษา การเงิน บันเทิง ด้านการขนส่งและการบิน การท่องเที่ยว 
 
ชงสมุดปกขาว “สมคิด” วันนี้
 
ส่วนการประชุมย่อยได้รับฟังความเห็นสมาชิกเพื่อสรุปความเห็น “THAITAY in ACTION” ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่จะทำเป็นสมุดปกขาวเสนอนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี วันนี้ (1 ธ.ค.)
 
นายธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ข้อเสนอแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ครอบคลุมธุรกิจของประเทศมีสัดส่วน 50% ของจีดีพี หรือมีมูลค่า 8 ล้านล้านบาท หากรัฐบาลนำไปปฏิบัติจะทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้น 4% ก็จะมีมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท สร้างรายได้ให้กับแรงงานเพิ่ม 8 ล้านคน ซึ่งสูงกว่าเม็ดเงินที่รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจและยกระดับเศรษฐกิจระยะยาว
 
“ข้อเสนอของภาคเอกชนจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่ม เช่น การยกเลิกแจ้งที่พักอาศัยชั่วครามของคนต่างด้าว (ตม.30) จะทำให้ชาวต่างชาติมาท่องเที่ยวมากขึ้น ซึ่งหากรัฐบาลทำได้ตามจะสร้างรายได้เพิ่มตั้งแต่หลักหมื่นล้านบาทจนถึงแสนล้านบาท”
 
สร้างความพร้อมเศรษฐกิจดิจิทัล
 
นายสุรงค์ บูลกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า กลุ่มการค้าและการลงทุน ได้หารือเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยชะลอตัวส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า และ Brexit รวมถึงเงินบาทแข็งค่า การถูกตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) การลงทุนภาครัฐและภาคเอกชนที่โตในกรอบจำกัด รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐที่ช่วยประคองภาพรวมการใช้จ่ายครัวเรือน ตลอดจนความต่อเนื่องของการฟื้นตัวของภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2563 จึงยังเผชิญความไม่แน่นอน
 
ทั้งนี้  ปี 2563 ต้องขับเคลื่อนงานด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อยกระดับบุคคลการด้านการค้าและการลงทุน รวมทั้งเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการที่จะไปทำธุรกิจใน CLMV รวมถึงทักษะดิจิทัล อีโคโนมี จะต้องมีการพัฒนา TCC Digital Platform เชื่อมโยงระบบดิจิทัลของเครือข่ายหอการค้าข้อมูล Big Data ให้สามารถทำธุรกรรมผ่านแพลตฟอร์มกลางร่วมกัน 
 
รวมทั้งผลักดันการ National Digital Trade Platform ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าและบริการ ส่วนด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy โดยจะผลักดันให้สมาชิกดำเนินการ 3 เรื่อง คือ ลดพฤติกรรมการใช้ให้ลดลง, ส่งเสริม Share Economy และรีไซเคิล
 
เร่งแก้ผลผลิตเกษตรตกต่ำ
 
นายชูศักดิ์ ชื่นประโยชน์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า กลุ่มเกษตรและอาหาร ได้หารือการเป็น Core Value Chain ที่หอการค้าไทยให้ความสำคัญเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและลดความเหลื่อมล้ำมาตลอด โดยปัจจุบันมีเกษตรกร 7.9 ล้านครัวเรือน มีพื้นที่ 149 ล้านไร่ แรงงาน 11.88 ล้านคน มีสัดส่วนจีดีพี 8.12% โดยปีนี้จะส่งออกอาหาร 1.1 ล้านล้านบาท
 
อีกทั้ง ภาคเกษตรและอาหาร ยังประสบปัญหาประสิทธิภาพการผลิตและผลผลิตตกต่ำ ปัญหาความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานของธุรกิจเกษตร ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและแรงงานภาคเกษตรสูงอายุเพิ่มมากขึ้น โดยจะต่อยอดแนวทางที่ทำไว้ 4 เรื่อง คือ 
1. โครงการ 1 ไร่ ได้เงิน 1 ล้าน 
2. โครงการ 1 หอการค้า ดูแลอย่างน้อย 1 สหกรณ์ 
3. ปลูกพืชที่มีระดับราคาสูงและตรงความต้องการตลาด 
4. สร้างเครือข่ายเพื่อกระจายสินค้า
 
ชงรัฐหนุนท่องเที่ยวชุมชน
 
นายภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า กลุ่มภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ ได้หารือถึงปัจจุบันรายได้จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศมาก สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 3.1 ล้านล้านบาท ในปี 2561 อีกทั้งปัจจุบันนักท่องเที่ยวให้ความสนใจเรื่องการท่องเที่ยวที่สัมผัสวิถีชีวิตชุมชน จึงทำให้เกิดการท่องเที่ยวชุมชนมีบทบาทมากขึ้น
 
“ท่องเที่ยวชุมชนและท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นรากฐานสำคัญ ที่จะช่วยสร้างรายได้ กระจายรายได้ ลดความเหลื่อมล้า และเข้าถึงท้องถิ่นได้อย่างทั่วถึง หอการค้าไทย ก็ได้อาศัยเครือข่ายอันเข้มแข็งของหอการค้าจังหวัดที่มีอยู่ทั่วประเทศ เพื่อช่วยส่งเสริม พัฒนา และต่อยอดชุมชนที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยจัดหาต้นแบบท่องเที่ยวชุมชน ขนาดเล็ก กลาง ใหญ่"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่