บทวิเคราะห์ทางเทคนิค ที่เราเห็นทั่วไป มักจะมีข้อมูล ข่าวสาร ของหุ้นนั้น ๆ ประกอบด้วย เพื่อให้นักลงทุนมั่นใจ เข้าใจง่ายขึ้น แต่ที่ผมจะกล่าวถึง คือทางด้านเทคนิคอย่างเดียว ซึ่งเชื่อว่า ราคาได้สะท้อนทุกสิ่งทุกอย่างไว้หมดแล้ว
สิ่งสำคัญของกาวิเคราะห์ทางเทคนิค คือ แนวรับ-แนวต้าน รองลงมาก็ แนวโน้มของหุ้น ส่วนสิ่งสำคัญของการลงทุน คือ การตัดสินใจซื้อ - ขาย
การวิเคราะห์ทางเทคนิค มีหลายอย่าง อยู่ที่ความถนัด ความชอบของแต่ละบุคคล วิเคราะห์โดยใช้อินดิเคเตอร์ต่าง ๆ เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ RSI MACD วิเคราะห์โดยใช้ รูปแบบของกราฟ รูปแบบแท่งเทียน คลื่นเอลเลียต และการวิเคราะห์โดยใช้ เทรนไลน์ เป็นต้น ส่วนนอกเหนือจากนี้ ผมใช้แล้ว ไม่ค่อยชอบ ไม่ขอพูดถึงนะครับ
- Moving Averages เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ใช้หาต้นทุนของนักลงทุนช่วงเวลานั้น ๆ เพื่อหาจุดซื้อ -ขาย
คือเมื่อราคาหุ้นยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยได้ เป็นระยะเวลาหนึ่ง อาจจะ 1-3 วัน หรือ 2-3 % เป็นสัญญาณซื้อ ลูกศรสีเขียว
เมื่อราคาหุ้นต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย เป็นระยะเวลาหนึ่ง อาจจะ 1-3 วัน หรือ 2-3 % เป็นสัญญาณขาย ลูกศรสีเีแดง
จากภาพผมยกตัวอย่าง เป็น SMA 10 วัน เส้นเดียวนะครับ
Cr.ภาพประกอบจาก efinancethai

- RSI เป็นสัญญาณระยะ 14 วัน ไม่ได้ใช้เพื่อหา แนวรับ - ต้าน แต่ใช้เพื่อเตือนการเปลี่ยนแปลงของราคา (ซื้อมากเกินไป - ขายมากเกินไป Overbouht เมื่อ RSI มากกว่า 70% และ Oversold เมื่อ RSI ต่ำกว่า 30% (ไม่ขอยกภาพประกอบนะครับ)
- MACD เป็นสัญญาณระยะกลาง-ยาว เกิดจาก ความสัมพันธ์ของเส้นค่าเฉลี่ย (EMA) ระยะสั้น กับ ระยะยาว
ใช้ ดูว่า หุ้นนั้น อยู่ในแนวโน้ม ขึ้น - ลง จากภาพ MACD ที่ผมใช้คือ 12 25 (เส้นสีขาว) และ 9 (เส้นสีเหลือง) วัน ส่วนกราฟ ผมปรับเส้นค่าเฉลี่ย เป็น แบบ EMA 12 25 ให้ตรงกับ MACD แล้ว เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น )
สัญญาณ ซื้อ คือ เมื่อ MACD ยืนเหนือ 0 ลูกศร สีเขียว ซึ่ง มันก็คือ เส้น EMA 12 วัน ตัด EMA 25 วัน ขึ้นไป เหมือนกับทฤษฎี เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
สัญญาณ ขาย คือ เมื่อ MACD ต่ำกว่า 0 ลูกศร สีแดง ซึ่ง มันก็คือ เส้น EMA 25 วัน ตัด EMA 12 วัน ลงมา
จะเห็นได้ว่า ถ้านักลงทุนระยะกลาง ใช้ MACD เป็นเครื่องมือ จะค่อนข้างดีมาก จากภาพ สัญญาณขายครั้งสุดท้าย (วงกลมสีแดง) MACD ยังไม่มีสัญญาณซื้อเลย บางตำราจะใช้ เป็น 12 26 9 ซึ่ง มันก็แทบไม่ต่างกันเลย
Cr.ภาพประกอบจาก efinancethai

- แพทเทิลของกราฟ คือ ส่วนหนึ่งของเทรนไลน์ ที่ เมื่อตีเส้นเทรนไลน์แล้ว ทำให้เกิดรูปแบบขึ้นเช่น ธงสามเหลี่ม ธงสี่เหลี่ม เป็นต้น
ซึ่งแพทเทิลเหล่านี้ เค้าตัดมาเพียงบางส่วนของเทรนไลน์ เพื่อให้เข้าใจง่าย ใช้ดู แนวรับ - ต้าน แนวโน้ม หุ้น
จากภาพ เทรนไลน์ คู่สีฟ้า เป็นแนวโน้มลง เทรนไลน์ คู่สีเหลือ เป็นแนวโน้มขึ้น เมื่อ สองแนวโน้ม ตัดกัน จึงเกิดเป็นรูปสามเหลี่ยม ตามลูกศร สีขาว เส้นสีเหลือง กับ ลูกศรสีขาวเส้นสีฟ้า
Cr.ภาพประกอบจาก efinancethai

- Candlestick รูปแบบแท่งเทียน ใช้ดูการเลี่ยนแนวโน้ม (การกลับตัวของหุ้น) จะเกิดที่จุดสูงสุด - ต่ำสุดของของหุ้น เช่น Hammer, Shooting Star , Doji แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหลังจากเกิดรูปแบบแล้ว ต้องตามด้วยแท่งเขียว แดง ยาว ๆ หรือเปิด GAP ถ้าไม่ตามมาด้วยแท่งเหล่านี้ ก็ถือว่าไม่ใช่ (ไม่ขอยกภาพประกอบนะครับ)
- คลื่นเอลเลียต ขาขึ้น (5 ระลอกคลื่น ) 1 2 3 4 5 ขาลง (3 ระลอกคลื่น ) a b c มักจะใช้ ฟิโบนาชี่ มาประกอบ เพื่อหาคลื่นลูกถัดไป หรือ นับคลื่น บน
เทรนไลน์ การนับคลื่นจะซับซ้อนนับยาก คลื่นย่อยเยอะ และใช้ระยะเวลานาน ผู้ใช้ส่วนใหญ่ อยากให้หุ้นเคลื่อนไหวไปตามคลื่นที่เรานับ ทำให้หาจุดตัดสินใจ ซื้อ -ขาย ยาก ผมพยายามจะหาภาพประกอบแล้ว แต่ผมหาคลื่นที่สมบูรณ์ไม่ได้น่ะ
- เทรนไลน์ เป็นเทคนิคที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ เค้าใช้กัน ใช้หา แนวรับ -แนวต้าน แนวโน้มของหุ้น
เส้นแนวโน้มขาขึ้น ลากจุดต่ำสุดสองจุด เป็นแนวรับ เส้นคู่ขนานของจุดสูงสุดระหว่างจุดต่ำสุดสองจุด เป็นแนวต้าน
เส้นแนวโน้มขาลง ลากจุดสูงสุดสองจุด เป็นแนวต้าน เส้นคู่ขนานของจุดต่ำสุดระหว่างจุดสูงสุดสองจุด เป็นแนวรับ
แค่เส้นไม่กี่เส้น ของเทรนไลน์ สามารถตีกรอบ แนวโน้มของหุ้นได้ครอบคลุม เกือบหมดเลยก็ว่าได้
จากภาพ เป็นเทรนไลน์ที่ผมสมมุติขึ้นนะครับ เมื่อเราเห็น เทรนไลน์ของกราฟ แล้ว จะเห็นว่ามีอยู่สามกรอบ กรอบสีฟ้า สีเหลือง และ สีขาว ซึ่งทั้งสามกรอบ จะเป็นแนวโน้มลง
เราก็พิจารณากรอบที่เล็กที่สุดก่อน คือกรอบสีฟ้า เริ่มตั้งแต่ที่เค้าตีเทรนคือเดือน กันยายน ถึงปัจจุบัน เทรนไลน์เล็ก ๆ เท่านี้ก็ใช้เวลามากว่า 3 เดือนแล้ว ซึ่งเค้าตีเทรนให้เห็นว่าแนวต้านอยู่ที่ลูกศรสีเขียวชี้ที่จุดเส้นสีฟ้าบน แนวรับอยู่ที่ลูกศรสีแดง ชี้ที่จุดเส้นสีฟ้าล่าง ในกรอบสีฟ้านี้ ถ้าราคาหุ้นถึงเส้นสีฟ้าเส้นบน คือจุดขาย ลงมาเส้นสีฟ้าล่าง คือจุดซื้อ ซึ่งมันอาจจะลงถึงภายในวันเดียวหรืออีกสามสี่วันก็ได้ หรือ มันอาจจะดีดกลับ ขึ้นไปก็ได้ ตรงนี้ไ่ม่มีใครรู้ สิ่งที่เราจะทำได้คือ รอ หุ้นลงมาที่จุดรับ หรือ จุด ต้าน ค่อยตัดสินใจ ซื้อ หรือ ขาย ถ้ากรณี หลุด หรือ ทะลุ แนวรับกรอบสีฟ้าล่างแล้ว เราก็จะไปดูกรอบสีเหลือง สีขาว ต่อไป เคยรู้สึกรึป่าว ว่า ซื้อหุ้นทีไร ลงทุกที ขายทีไร ขึ้นทุกที ก็เพราะว่า จุดที่คุณซื้อ ขาย คือ แนวรับแนวต้านที่เค้าเปลี่ยนมือกันพอดี แต่ถ้าคุณขายแล้วลง ซื้อ แล้วขึ้นเลยคุณจะไม่รู้สึก เพราะคุณชนะ สมมุติเวลานี้ ในกรอบสีฟ้านี้ ราคาหุ้นอยู่ช่วงกลาง ๆ คุณอยากขาย หรือ อยากจะซื้อ คำตอบคือ ไม่กล้าทั้งสอง ที่มีอยู่ อยากจะขายแถวเส้นสีฟ้าบน ถ้าไม่มี อยากรอซื้อที่เส้นสีฟ้าล่าง ถ้าลงมาเส้นสีฟ้าล่าง แล้วซื้อ บังเอิญหุ้นหลุดเทรนไปเข้าสู่กรอบสีเหลืองล่าง นั่นแหละ ทำไมซื้อแล้วลงทุกที คุณซื้อถูกหลักมั้ย ถูกหลักครับ แต่หุ้นมันหลุด คุณก็ต้องทำตามหลักต่อไป คือขาย แล้วไปรอรับที่เส้นสีเหลืองล่างใหม่ หรือ ถ้าหลุดเส้นสีฟ้าล่างแล้วกลับมายืนได้ ค่อยซื้อคืน นี่แหละตามหลักเทคนิค แต่ทางปฏิบัติ น้อยคนที่จะทำได้
Cr.ภาพประกอบจาก efinancethai

มาถึงตรงนี้ เมื่อเราเห็นบทวิเคราะห์ หุ้นตัวนึงแล้ว แค่ถาพ ๆ เดียว เส้น ที่เค้าวาด อินดิเคเตอร์ที่เค้าใช้ เราก็จะแยกออกแล้ว ว่า เค้าใช้หลักอะไร เราก็เลือกเทคนิคที่เราชอบ ที่ตรงกับตัวเรา ได้ นำมาใช้ในการตัดสินใจ ซื้อ -ขาย
กราฟ 1 กราฟ วิเคราะห์ 1 ครั้ง กว่าจะถึงจุด ซื้อ -ขาย เปลี่ยนแนวโน้ม ใช้เวลาพอสมควรเลยนะครับ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องดูตัวเดิมทุกวัน หรือนั่งวิเคราะห์ใหม่ทุกวันก็ได้ครับเว้นแต่กรณีที่ มีแพนิค หู้นเปลี่ยนมือ แต่ส่วนมากก็มักจะเกิด ที่แนวรับ หรือแนวต้าน ซึ่งเมื่อราคาอยู่ตรงนั้นแล้ว นักลงทุนส่วนใหญ่ก็จะเฝ้าหุ้นของตัวเองอยู่แล้ว
กราฟยังใช้ได้ดีอยู่นะครับ ถึงหุ้นจะผันผวน ขึ้นวันลงวัน แต่มันก็ยังเคลื่อนไหวในกรอบของมัน เพราะราคาได้สะท้อนทุกสิ่งทุกอย่างไว้หมดแล้ว (รวมทั้งสะท้อนหลอกกินเม่าตรงไหนด้วย มั้ง ล้อเล่นครับ 5 5 5 )
ปล. ภาพประกอบต่าง ๆ จาก efinancethai ที่ผมทำขึ้น เป็นการสมมุติ และอธิบายตามปัจจัยทางด้านเทคนิคที่ผมศึกษามานะครับ ไม่ใช่เป็นการวิเคราะห์หุ้น หรือชี้นำ
การอ่านบทวิเคาะห์ทางเทคนิค
สิ่งสำคัญของกาวิเคราะห์ทางเทคนิค คือ แนวรับ-แนวต้าน รองลงมาก็ แนวโน้มของหุ้น ส่วนสิ่งสำคัญของการลงทุน คือ การตัดสินใจซื้อ - ขาย
การวิเคราะห์ทางเทคนิค มีหลายอย่าง อยู่ที่ความถนัด ความชอบของแต่ละบุคคล วิเคราะห์โดยใช้อินดิเคเตอร์ต่าง ๆ เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ RSI MACD วิเคราะห์โดยใช้ รูปแบบของกราฟ รูปแบบแท่งเทียน คลื่นเอลเลียต และการวิเคราะห์โดยใช้ เทรนไลน์ เป็นต้น ส่วนนอกเหนือจากนี้ ผมใช้แล้ว ไม่ค่อยชอบ ไม่ขอพูดถึงนะครับ
- Moving Averages เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ใช้หาต้นทุนของนักลงทุนช่วงเวลานั้น ๆ เพื่อหาจุดซื้อ -ขาย
คือเมื่อราคาหุ้นยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยได้ เป็นระยะเวลาหนึ่ง อาจจะ 1-3 วัน หรือ 2-3 % เป็นสัญญาณซื้อ ลูกศรสีเขียว
เมื่อราคาหุ้นต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย เป็นระยะเวลาหนึ่ง อาจจะ 1-3 วัน หรือ 2-3 % เป็นสัญญาณขาย ลูกศรสีเีแดง
จากภาพผมยกตัวอย่าง เป็น SMA 10 วัน เส้นเดียวนะครับ
Cr.ภาพประกอบจาก efinancethai
- RSI เป็นสัญญาณระยะ 14 วัน ไม่ได้ใช้เพื่อหา แนวรับ - ต้าน แต่ใช้เพื่อเตือนการเปลี่ยนแปลงของราคา (ซื้อมากเกินไป - ขายมากเกินไป Overbouht เมื่อ RSI มากกว่า 70% และ Oversold เมื่อ RSI ต่ำกว่า 30% (ไม่ขอยกภาพประกอบนะครับ)
- MACD เป็นสัญญาณระยะกลาง-ยาว เกิดจาก ความสัมพันธ์ของเส้นค่าเฉลี่ย (EMA) ระยะสั้น กับ ระยะยาว
ใช้ ดูว่า หุ้นนั้น อยู่ในแนวโน้ม ขึ้น - ลง จากภาพ MACD ที่ผมใช้คือ 12 25 (เส้นสีขาว) และ 9 (เส้นสีเหลือง) วัน ส่วนกราฟ ผมปรับเส้นค่าเฉลี่ย เป็น แบบ EMA 12 25 ให้ตรงกับ MACD แล้ว เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น )
สัญญาณ ซื้อ คือ เมื่อ MACD ยืนเหนือ 0 ลูกศร สีเขียว ซึ่ง มันก็คือ เส้น EMA 12 วัน ตัด EMA 25 วัน ขึ้นไป เหมือนกับทฤษฎี เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
สัญญาณ ขาย คือ เมื่อ MACD ต่ำกว่า 0 ลูกศร สีแดง ซึ่ง มันก็คือ เส้น EMA 25 วัน ตัด EMA 12 วัน ลงมา
จะเห็นได้ว่า ถ้านักลงทุนระยะกลาง ใช้ MACD เป็นเครื่องมือ จะค่อนข้างดีมาก จากภาพ สัญญาณขายครั้งสุดท้าย (วงกลมสีแดง) MACD ยังไม่มีสัญญาณซื้อเลย บางตำราจะใช้ เป็น 12 26 9 ซึ่ง มันก็แทบไม่ต่างกันเลย
Cr.ภาพประกอบจาก efinancethai
- แพทเทิลของกราฟ คือ ส่วนหนึ่งของเทรนไลน์ ที่ เมื่อตีเส้นเทรนไลน์แล้ว ทำให้เกิดรูปแบบขึ้นเช่น ธงสามเหลี่ม ธงสี่เหลี่ม เป็นต้น
ซึ่งแพทเทิลเหล่านี้ เค้าตัดมาเพียงบางส่วนของเทรนไลน์ เพื่อให้เข้าใจง่าย ใช้ดู แนวรับ - ต้าน แนวโน้ม หุ้น
จากภาพ เทรนไลน์ คู่สีฟ้า เป็นแนวโน้มลง เทรนไลน์ คู่สีเหลือ เป็นแนวโน้มขึ้น เมื่อ สองแนวโน้ม ตัดกัน จึงเกิดเป็นรูปสามเหลี่ยม ตามลูกศร สีขาว เส้นสีเหลือง กับ ลูกศรสีขาวเส้นสีฟ้า
Cr.ภาพประกอบจาก efinancethai
- Candlestick รูปแบบแท่งเทียน ใช้ดูการเลี่ยนแนวโน้ม (การกลับตัวของหุ้น) จะเกิดที่จุดสูงสุด - ต่ำสุดของของหุ้น เช่น Hammer, Shooting Star , Doji แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหลังจากเกิดรูปแบบแล้ว ต้องตามด้วยแท่งเขียว แดง ยาว ๆ หรือเปิด GAP ถ้าไม่ตามมาด้วยแท่งเหล่านี้ ก็ถือว่าไม่ใช่ (ไม่ขอยกภาพประกอบนะครับ)
- คลื่นเอลเลียต ขาขึ้น (5 ระลอกคลื่น ) 1 2 3 4 5 ขาลง (3 ระลอกคลื่น ) a b c มักจะใช้ ฟิโบนาชี่ มาประกอบ เพื่อหาคลื่นลูกถัดไป หรือ นับคลื่น บน
เทรนไลน์ การนับคลื่นจะซับซ้อนนับยาก คลื่นย่อยเยอะ และใช้ระยะเวลานาน ผู้ใช้ส่วนใหญ่ อยากให้หุ้นเคลื่อนไหวไปตามคลื่นที่เรานับ ทำให้หาจุดตัดสินใจ ซื้อ -ขาย ยาก ผมพยายามจะหาภาพประกอบแล้ว แต่ผมหาคลื่นที่สมบูรณ์ไม่ได้น่ะ
- เทรนไลน์ เป็นเทคนิคที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ เค้าใช้กัน ใช้หา แนวรับ -แนวต้าน แนวโน้มของหุ้น
เส้นแนวโน้มขาขึ้น ลากจุดต่ำสุดสองจุด เป็นแนวรับ เส้นคู่ขนานของจุดสูงสุดระหว่างจุดต่ำสุดสองจุด เป็นแนวต้าน
เส้นแนวโน้มขาลง ลากจุดสูงสุดสองจุด เป็นแนวต้าน เส้นคู่ขนานของจุดต่ำสุดระหว่างจุดสูงสุดสองจุด เป็นแนวรับ
แค่เส้นไม่กี่เส้น ของเทรนไลน์ สามารถตีกรอบ แนวโน้มของหุ้นได้ครอบคลุม เกือบหมดเลยก็ว่าได้
จากภาพ เป็นเทรนไลน์ที่ผมสมมุติขึ้นนะครับ เมื่อเราเห็น เทรนไลน์ของกราฟ แล้ว จะเห็นว่ามีอยู่สามกรอบ กรอบสีฟ้า สีเหลือง และ สีขาว ซึ่งทั้งสามกรอบ จะเป็นแนวโน้มลง
เราก็พิจารณากรอบที่เล็กที่สุดก่อน คือกรอบสีฟ้า เริ่มตั้งแต่ที่เค้าตีเทรนคือเดือน กันยายน ถึงปัจจุบัน เทรนไลน์เล็ก ๆ เท่านี้ก็ใช้เวลามากว่า 3 เดือนแล้ว ซึ่งเค้าตีเทรนให้เห็นว่าแนวต้านอยู่ที่ลูกศรสีเขียวชี้ที่จุดเส้นสีฟ้าบน แนวรับอยู่ที่ลูกศรสีแดง ชี้ที่จุดเส้นสีฟ้าล่าง ในกรอบสีฟ้านี้ ถ้าราคาหุ้นถึงเส้นสีฟ้าเส้นบน คือจุดขาย ลงมาเส้นสีฟ้าล่าง คือจุดซื้อ ซึ่งมันอาจจะลงถึงภายในวันเดียวหรืออีกสามสี่วันก็ได้ หรือ มันอาจจะดีดกลับ ขึ้นไปก็ได้ ตรงนี้ไ่ม่มีใครรู้ สิ่งที่เราจะทำได้คือ รอ หุ้นลงมาที่จุดรับ หรือ จุด ต้าน ค่อยตัดสินใจ ซื้อ หรือ ขาย ถ้ากรณี หลุด หรือ ทะลุ แนวรับกรอบสีฟ้าล่างแล้ว เราก็จะไปดูกรอบสีเหลือง สีขาว ต่อไป เคยรู้สึกรึป่าว ว่า ซื้อหุ้นทีไร ลงทุกที ขายทีไร ขึ้นทุกที ก็เพราะว่า จุดที่คุณซื้อ ขาย คือ แนวรับแนวต้านที่เค้าเปลี่ยนมือกันพอดี แต่ถ้าคุณขายแล้วลง ซื้อ แล้วขึ้นเลยคุณจะไม่รู้สึก เพราะคุณชนะ สมมุติเวลานี้ ในกรอบสีฟ้านี้ ราคาหุ้นอยู่ช่วงกลาง ๆ คุณอยากขาย หรือ อยากจะซื้อ คำตอบคือ ไม่กล้าทั้งสอง ที่มีอยู่ อยากจะขายแถวเส้นสีฟ้าบน ถ้าไม่มี อยากรอซื้อที่เส้นสีฟ้าล่าง ถ้าลงมาเส้นสีฟ้าล่าง แล้วซื้อ บังเอิญหุ้นหลุดเทรนไปเข้าสู่กรอบสีเหลืองล่าง นั่นแหละ ทำไมซื้อแล้วลงทุกที คุณซื้อถูกหลักมั้ย ถูกหลักครับ แต่หุ้นมันหลุด คุณก็ต้องทำตามหลักต่อไป คือขาย แล้วไปรอรับที่เส้นสีเหลืองล่างใหม่ หรือ ถ้าหลุดเส้นสีฟ้าล่างแล้วกลับมายืนได้ ค่อยซื้อคืน นี่แหละตามหลักเทคนิค แต่ทางปฏิบัติ น้อยคนที่จะทำได้
Cr.ภาพประกอบจาก efinancethai
มาถึงตรงนี้ เมื่อเราเห็นบทวิเคราะห์ หุ้นตัวนึงแล้ว แค่ถาพ ๆ เดียว เส้น ที่เค้าวาด อินดิเคเตอร์ที่เค้าใช้ เราก็จะแยกออกแล้ว ว่า เค้าใช้หลักอะไร เราก็เลือกเทคนิคที่เราชอบ ที่ตรงกับตัวเรา ได้ นำมาใช้ในการตัดสินใจ ซื้อ -ขาย
กราฟ 1 กราฟ วิเคราะห์ 1 ครั้ง กว่าจะถึงจุด ซื้อ -ขาย เปลี่ยนแนวโน้ม ใช้เวลาพอสมควรเลยนะครับ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องดูตัวเดิมทุกวัน หรือนั่งวิเคราะห์ใหม่ทุกวันก็ได้ครับเว้นแต่กรณีที่ มีแพนิค หู้นเปลี่ยนมือ แต่ส่วนมากก็มักจะเกิด ที่แนวรับ หรือแนวต้าน ซึ่งเมื่อราคาอยู่ตรงนั้นแล้ว นักลงทุนส่วนใหญ่ก็จะเฝ้าหุ้นของตัวเองอยู่แล้ว
กราฟยังใช้ได้ดีอยู่นะครับ ถึงหุ้นจะผันผวน ขึ้นวันลงวัน แต่มันก็ยังเคลื่อนไหวในกรอบของมัน เพราะราคาได้สะท้อนทุกสิ่งทุกอย่างไว้หมดแล้ว (รวมทั้งสะท้อนหลอกกินเม่าตรงไหนด้วย มั้ง ล้อเล่นครับ 5 5 5 )
ปล. ภาพประกอบต่าง ๆ จาก efinancethai ที่ผมทำขึ้น เป็นการสมมุติ และอธิบายตามปัจจัยทางด้านเทคนิคที่ผมศึกษามานะครับ ไม่ใช่เป็นการวิเคราะห์หุ้น หรือชี้นำ