จาก
https://www.matichon.co.th/article/news_1768144
บัณเฑาะก์ 5 ประเภท
คำว่าบัณเฑาะก์ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระพุทธศาสนานั้น ท่านได้แยกเป็นประเภทออกไปอย่างชัดเจนว่ามีกี่ประเภท เพื่อให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของคนที่มีความผิดปกติจากเพศของตนเองในสมัยนั้น ซึ่งจะทำให้เรามองเห็นภาพคนที่มีความผิดปกติจากเพศในปัจจุบันนี้ได้ตรงกันอีกด้วย
ในพระวินัยปิฎก ท่านกล่าวไว้ไม่ใช่เฉพาะมนุษย์เราเท่านั้นที่เป็นบัณเฑาะก์ ยังได้กล่าวรวมไปถึงอมนุษย์และสัตว์เดรัจฉานด้วยโดยแบ่งเป็น 3 จำพวก คือ 1. มนุษย์บัณเฑาะก์ 2. อมนุษย์บัณเฑาะก์3. สัตว์เดรัจฉานบัณเฑาะก์ (วิ.มหา. 1/38/50)
บัณเฑาะก์ทั้ง 3 จำพวกนี้ มนุษย์บัณเฑาะก์ ก็คือมนุษย์ที่เป็นคนเราธรรมดานี้เองทั้งเพศชายและเพศหญิง อมนุษย์บัณเฑาะก์ ก็คือพวกที่ไม่ใช่มนุษย์ ได้แก่ พวกเทวดา เปรต อสุรกาย เป็นต้น และเดรัจฉานบัณเฑาะก์ ก็คือ พวกสัตว์ทุกชนิด ทั้งหมดนี้มีโอกาสเป็นบัณเฑาะก์ได้ทั้งนั้น
ในคัมภีร์อรรถกถาสมันตปาสาทิกา ภาคที่ 3 พระอรรถกถาจารย์ได้กล่าวถึงบัณเฑาะก์ไว้ 5ประเภท ปรากฏตามความในภาษาบาลีดังนี้ “ปณฺฑโก ภิกฺขเวติเอตฺถ อาสิตฺตปณฺฑโก อุสุยฺยปณฺฑโก โอปกฺกมิยปณฺฑโก ปกฺขปณฺฑโก นปุสกปณฺฑโกติปญฺจ ปณฺฑกา ฯ แปลถอดความเป็นภาษาไทยได้ว่า บัณเฑาะก์ มี5 ประเภท คือ
1. อาสิตตบัณเฑาะก์ ได้แก่ บัณเฑาะก์ที่ใช้ปากอมองคชาตของคนอื่น แล้วดื่มกินน้ำอสุจิ หรือให้น้ำอสุจิรดตัว บัณเฑาะก์ประเภทนี้จัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่าพวกรักร่วมเพศ ได้แก่
คนที่ฝ่ายโลกเรียกว่า กะเทย และเกย์นั่นเอง
2. อุสุยยบัณเฑาะก์ ได้แก่ บัณเฑาะก์ที่ชอบแอบดูอวัยวะของคนอื่น ทางการแพทย์ถือว่าเป็นพวกกามวิตถารประเภทหนึ่ง คือ มีความผิดปกติทางอารมณ์และแรงดันเพศ เป็นเหตุให้บุคคลต้องกระทำสิ่งใด สิ่งหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องเพศออกไปในลักษณะที่คนปกติเขาไม่ทำกัน เช่น มักชอบแอบดูคนอื่นเปลื้องเสื้อผ้า เปลือยกายอาบน้ำ เป็นต้น
3. ปักขบัณเฑาะก์ เป็นบัณเฑาะก์ที่ความผิดแปลกเป็นอย่างมาก คือ จะมีความเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายเป็นช่วง ๆ ท่านกล่าวว่า จะเป็นบัณเฑาะก์เฉพาะข้างแรม (กาฬปักข์) คือ จะเป็นช่วงเวลาที่มีความผิดปกติของร่างกายเกิดขึ้น อารมณ์เพศก็จะเกิดขึ้นด้วย แต่พอถึงข้างขึ้นก็จะหายไป
4. โอปักกมิยบัณเฑาะก์ เป็นกลุ่มบุคคลที่มีความพยายามที่เปลี่ยนเพศที่ตนเองเป็นอยู่ เพราะไม่ต้องการเพศเดิม หรืออีกประการหนึ่ง เป็นกลุ่มคนที่มีความตั้งใจที่จะไม่เอาเพศเดิมไว้ โดยการตอน (ให้ใช้การไม่ได้) หรือตัดทิ้ง เช่น พวกขันที คือ คนที่ถูกตัดหรือทำลายลูกอัณฑะออก ก่อนที่จะถึงวัยเจริญพันธุ์เพื่อไม่ให้มีลูก ดังนั้น ลักษณะทางเพศจึงไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาได้ทำให้ขาดการแตกเนื้อหนุ่ม จึงมีลักษณะคล้ายผู้หญิง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะเพศ ไม่มีการสร้างอสุจิและฮอร์โมนเพศ
5. นปุงสกบัณเฑาะก์ คือ คนที่เกิดมาแล้วไม่มีเพศปรากฏออกมาเลยว่าเป็นเพศชายหรือหญิงตั้งแต่กำเนิด มีแต่เพียงช่องสำหรับถ่ายปัสสาวะเท่านั้น (วิ.อ. 3/87)
จากข้อมูลที่ได้ศึกษาค้นคว้ารวบรวมมานี้ ก็สามารถที่จะอธิบายเชื่อมโยงปรากฏการณ์ของบัณเฑาะก์ในคัมภีร์พระพุทธศาสนากับบัณเฑาะก์กับฝ่ายโลกนั้นถือได้ว่าใกล้เคียงหรือบางประเภทก็ตรงกัน เพราะลักษณะอาการของบัณเฑาะก์ที่กล่าวไว้ในพระพุทธศาสนา ที่กล่าวไว้นานแล้วนั้น บัดนี้ก็ยังปรากฏมีให้เห็นในปัจจุบันนี้ได้อยู่เป็นจำนวนมาก และบัณเฑาะก์ทั้ง 5 ประเภทนี้ ถึงแม้ว่าดูจะมีพฤติกรรมออกไปในทางที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อพระธรรมวินัยได้ง่าย แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้บวชไปเสียทั้งหมด เพราะมีบัณเฑาะก์บางประเภทพระองค์ก็อนุญาตให้บวชได้ (แต่ท่านใช้คำว่าบรรพชา)
ดังข้อความที่ปรากฏในอรรถกถา สมันตปาสาทิกาภาคที่ 3 ว่า ในบัณเฑาะก์ 5 ชนิดนั้น อาสิตตบัณเฑาะก์ และ อุสุยยบัณเฑาะก์ ไม่ห้ามบรรพชา 3 ชนิดนอกนี้ห้าม แม้ในบัณเฑาะก์ 3 ชนิดนั้น สำหรับปักขะบัณเฑาะก์ ห้ามบรรพชาแก่เขาเฉพาะปักข์ที่เป็นบัณเฑาะก์เท่านั้น (วิ.อ. 3/88)
จากข้อความเบื้องต้นทำให้ทราบได้ว่า บัณเฑาะก์สองประเภทแรกสามารถที่จะบรรพชาเป็นสามเณรได้ตามพระวินัย
อ้างอิงจากวารสาร “ศึกษาศาสตร์ มมร” คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยปีที่ 4 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม –ธันวาคม 2559
บทความตรงนี้ จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า การที่มติชนบอกว่า "บัณเฑาะก์" ไม่ใช่กระเทยหรือพวกรักร่วมเพศนั้น ไม่ตรงกับที่มีบัญญัติไว้ในพระธรรมวินัยนะครับ
จริงอยู่ว่า อาสิตตบัณเฑาะก์ และ อุสุยยบัณเฑาะก์ นั้นท่านไม่ได้ห้ามบวช แต่ท่านใช้คำว่า “บรรพชา” นะครับ ไม่ใช่คำว่า “อุปสมบท” นะ
บรรพชา คือ บวชเณร
อุปสมบท คือ บวชพระ
ตรงนี้ผมจึงตีความว่า พระธรรมวินัยให้บวชเป็นสามเณร เพื่อขัดเกลาความเป็นบัณเฑาะก์ออกจากตัวตน ให้หมดสิ้นเสียก่อน จึงจะสามารถอุปสมบทเป็นภิกษุได้ หรืออีกนัยหนึ่งคือห้ามบัณเฑาะก์บวชเป็นพระนั่นเอง
ซึ่งก็ตรงกับพระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ ที่ห้ามบัณเฑาะก์อุปสมบทเป็นพระภิกษุ
http://84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=04&A=3481&Z=3608
เรื่องห้ามบัณเฑาะก์มิให้อุปสมบท
[๑๒๕] ก็โดยสมัยนั้นแล บัณเฑาะก์คนหนึ่งบวชในสำนักภิกษุ. เธอเข้าไปหาภิกษุหนุ่มๆ แล้วพูดชวนอย่างนี้ว่า มาเถิดท่านทั้งหลาย จงประทุษร้ายข้าพเจ้า. ภิกษุทั้งหลายพูดรุกรานว่า เจ้าบัณเฑาะก์จง
เจ้าบัณเฑาะก์จงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยเจ้า. เธอถูกพวกภิกษุพูดรุกราน จึงเข้าไปหาพวกสามเณรโค่งผู้มีร่างล่ำสัน แล้วพูดชวนอย่างนี้ว่า มาเถิดท่านทั้งหลาย จงประทุษร้ายข้าพเจ้า. พวกสามเณรพูดรุกรานว่า เจ้าบัณเฑาะก์จง
เจ้าบัณเฑาะก์จงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยเจ้า. เธอถูกพวกสามเณรพูดรุกราน จึงเข้าไปหาพวกคนเลี้ยงช้างคนเลี้ยงม้า แล้วพูดอย่างนี้ว่า มาเถิด ท่านทั้งหลาย จงประทุษร้ายข้าพเจ้า. พวกคนเลี้ยงช้างพวกคนเลี้ยงม้า ประทุษร้ายแล้วจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้เป็นบัณเฑาะก์ บรรดาพวกสมณะเหล่านี้ แม้พวกใดที่มิใช่บัณเฑาะก์ แม้พวกนั้นก็ประทุษร้ายบัณเฑาะก์ เมื่อเป็นเช่นนี้ พระสมณะเหล่านี้ก็ล้วนแต่ไม่ใช่เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์. ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกคนเลี้ยงช้าง พวกคนเลี้ยงม้า พากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ บัณเฑาะก์ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
ผมว่าในเมื่อพระธรรมวินัยได้ห้ามไว้อย่างชัดเจนเช่นนี้ ก็อย่าทำให้สังคมสับสนวุ่นวายเลยครับ อย่าดึงศาสนาเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องการเมืองเลย มันไม่ควรอย่างยิ่ง
หากศรัทธาในคำสอนก็จงปฏิบัติตามเสียเถอะครับ ถ้าอยากจะบวชจริงๆ นิกายอื่นที่ไม่ห้ามก็มี นิกายเซ็นของญี่ปุ่น หรือ ชินโตของจีน ก็เข้าใจว่าไม่ได้ห้ามไว้นะครับ ก็ไปตรงนั้นเถอะครับ
ศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ตีความกำปั้นทุบดินแบบนี้ ผมว่าไม่เหมาะนะ : ดาวดำผู้อหังการ
บัณเฑาะก์ 5 ประเภท
คำว่าบัณเฑาะก์ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระพุทธศาสนานั้น ท่านได้แยกเป็นประเภทออกไปอย่างชัดเจนว่ามีกี่ประเภท เพื่อให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของคนที่มีความผิดปกติจากเพศของตนเองในสมัยนั้น ซึ่งจะทำให้เรามองเห็นภาพคนที่มีความผิดปกติจากเพศในปัจจุบันนี้ได้ตรงกันอีกด้วย
ในพระวินัยปิฎก ท่านกล่าวไว้ไม่ใช่เฉพาะมนุษย์เราเท่านั้นที่เป็นบัณเฑาะก์ ยังได้กล่าวรวมไปถึงอมนุษย์และสัตว์เดรัจฉานด้วยโดยแบ่งเป็น 3 จำพวก คือ 1. มนุษย์บัณเฑาะก์ 2. อมนุษย์บัณเฑาะก์3. สัตว์เดรัจฉานบัณเฑาะก์ (วิ.มหา. 1/38/50)
บัณเฑาะก์ทั้ง 3 จำพวกนี้ มนุษย์บัณเฑาะก์ ก็คือมนุษย์ที่เป็นคนเราธรรมดานี้เองทั้งเพศชายและเพศหญิง อมนุษย์บัณเฑาะก์ ก็คือพวกที่ไม่ใช่มนุษย์ ได้แก่ พวกเทวดา เปรต อสุรกาย เป็นต้น และเดรัจฉานบัณเฑาะก์ ก็คือ พวกสัตว์ทุกชนิด ทั้งหมดนี้มีโอกาสเป็นบัณเฑาะก์ได้ทั้งนั้น
ในคัมภีร์อรรถกถาสมันตปาสาทิกา ภาคที่ 3 พระอรรถกถาจารย์ได้กล่าวถึงบัณเฑาะก์ไว้ 5ประเภท ปรากฏตามความในภาษาบาลีดังนี้ “ปณฺฑโก ภิกฺขเวติเอตฺถ อาสิตฺตปณฺฑโก อุสุยฺยปณฺฑโก โอปกฺกมิยปณฺฑโก ปกฺขปณฺฑโก นปุสกปณฺฑโกติปญฺจ ปณฺฑกา ฯ แปลถอดความเป็นภาษาไทยได้ว่า บัณเฑาะก์ มี5 ประเภท คือ
1. อาสิตตบัณเฑาะก์ ได้แก่ บัณเฑาะก์ที่ใช้ปากอมองคชาตของคนอื่น แล้วดื่มกินน้ำอสุจิ หรือให้น้ำอสุจิรดตัว บัณเฑาะก์ประเภทนี้จัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่าพวกรักร่วมเพศ ได้แก่ คนที่ฝ่ายโลกเรียกว่า กะเทย และเกย์นั่นเอง
2. อุสุยยบัณเฑาะก์ ได้แก่ บัณเฑาะก์ที่ชอบแอบดูอวัยวะของคนอื่น ทางการแพทย์ถือว่าเป็นพวกกามวิตถารประเภทหนึ่ง คือ มีความผิดปกติทางอารมณ์และแรงดันเพศ เป็นเหตุให้บุคคลต้องกระทำสิ่งใด สิ่งหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องเพศออกไปในลักษณะที่คนปกติเขาไม่ทำกัน เช่น มักชอบแอบดูคนอื่นเปลื้องเสื้อผ้า เปลือยกายอาบน้ำ เป็นต้น
3. ปักขบัณเฑาะก์ เป็นบัณเฑาะก์ที่ความผิดแปลกเป็นอย่างมาก คือ จะมีความเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายเป็นช่วง ๆ ท่านกล่าวว่า จะเป็นบัณเฑาะก์เฉพาะข้างแรม (กาฬปักข์) คือ จะเป็นช่วงเวลาที่มีความผิดปกติของร่างกายเกิดขึ้น อารมณ์เพศก็จะเกิดขึ้นด้วย แต่พอถึงข้างขึ้นก็จะหายไป
4. โอปักกมิยบัณเฑาะก์ เป็นกลุ่มบุคคลที่มีความพยายามที่เปลี่ยนเพศที่ตนเองเป็นอยู่ เพราะไม่ต้องการเพศเดิม หรืออีกประการหนึ่ง เป็นกลุ่มคนที่มีความตั้งใจที่จะไม่เอาเพศเดิมไว้ โดยการตอน (ให้ใช้การไม่ได้) หรือตัดทิ้ง เช่น พวกขันที คือ คนที่ถูกตัดหรือทำลายลูกอัณฑะออก ก่อนที่จะถึงวัยเจริญพันธุ์เพื่อไม่ให้มีลูก ดังนั้น ลักษณะทางเพศจึงไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาได้ทำให้ขาดการแตกเนื้อหนุ่ม จึงมีลักษณะคล้ายผู้หญิง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะเพศ ไม่มีการสร้างอสุจิและฮอร์โมนเพศ
5. นปุงสกบัณเฑาะก์ คือ คนที่เกิดมาแล้วไม่มีเพศปรากฏออกมาเลยว่าเป็นเพศชายหรือหญิงตั้งแต่กำเนิด มีแต่เพียงช่องสำหรับถ่ายปัสสาวะเท่านั้น (วิ.อ. 3/87)
จากข้อมูลที่ได้ศึกษาค้นคว้ารวบรวมมานี้ ก็สามารถที่จะอธิบายเชื่อมโยงปรากฏการณ์ของบัณเฑาะก์ในคัมภีร์พระพุทธศาสนากับบัณเฑาะก์กับฝ่ายโลกนั้นถือได้ว่าใกล้เคียงหรือบางประเภทก็ตรงกัน เพราะลักษณะอาการของบัณเฑาะก์ที่กล่าวไว้ในพระพุทธศาสนา ที่กล่าวไว้นานแล้วนั้น บัดนี้ก็ยังปรากฏมีให้เห็นในปัจจุบันนี้ได้อยู่เป็นจำนวนมาก และบัณเฑาะก์ทั้ง 5 ประเภทนี้ ถึงแม้ว่าดูจะมีพฤติกรรมออกไปในทางที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อพระธรรมวินัยได้ง่าย แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้บวชไปเสียทั้งหมด เพราะมีบัณเฑาะก์บางประเภทพระองค์ก็อนุญาตให้บวชได้ (แต่ท่านใช้คำว่าบรรพชา)
ดังข้อความที่ปรากฏในอรรถกถา สมันตปาสาทิกาภาคที่ 3 ว่า ในบัณเฑาะก์ 5 ชนิดนั้น อาสิตตบัณเฑาะก์ และ อุสุยยบัณเฑาะก์ ไม่ห้ามบรรพชา 3 ชนิดนอกนี้ห้าม แม้ในบัณเฑาะก์ 3 ชนิดนั้น สำหรับปักขะบัณเฑาะก์ ห้ามบรรพชาแก่เขาเฉพาะปักข์ที่เป็นบัณเฑาะก์เท่านั้น (วิ.อ. 3/88)
จากข้อความเบื้องต้นทำให้ทราบได้ว่า บัณเฑาะก์สองประเภทแรกสามารถที่จะบรรพชาเป็นสามเณรได้ตามพระวินัย
อ้างอิงจากวารสาร “ศึกษาศาสตร์ มมร” คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยปีที่ 4 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม –ธันวาคม 2559
บทความตรงนี้ จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า การที่มติชนบอกว่า "บัณเฑาะก์" ไม่ใช่กระเทยหรือพวกรักร่วมเพศนั้น ไม่ตรงกับที่มีบัญญัติไว้ในพระธรรมวินัยนะครับ
จริงอยู่ว่า อาสิตตบัณเฑาะก์ และ อุสุยยบัณเฑาะก์ นั้นท่านไม่ได้ห้ามบวช แต่ท่านใช้คำว่า “บรรพชา” นะครับ ไม่ใช่คำว่า “อุปสมบท” นะ
บรรพชา คือ บวชเณร
อุปสมบท คือ บวชพระ
ตรงนี้ผมจึงตีความว่า พระธรรมวินัยให้บวชเป็นสามเณร เพื่อขัดเกลาความเป็นบัณเฑาะก์ออกจากตัวตน ให้หมดสิ้นเสียก่อน จึงจะสามารถอุปสมบทเป็นภิกษุได้ หรืออีกนัยหนึ่งคือห้ามบัณเฑาะก์บวชเป็นพระนั่นเอง
ซึ่งก็ตรงกับพระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ ที่ห้ามบัณเฑาะก์อุปสมบทเป็นพระภิกษุ
http://84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=04&A=3481&Z=3608
เรื่องห้ามบัณเฑาะก์มิให้อุปสมบท
[๑๒๕] ก็โดยสมัยนั้นแล บัณเฑาะก์คนหนึ่งบวชในสำนักภิกษุ. เธอเข้าไปหาภิกษุหนุ่มๆ แล้วพูดชวนอย่างนี้ว่า มาเถิดท่านทั้งหลาย จงประทุษร้ายข้าพเจ้า. ภิกษุทั้งหลายพูดรุกรานว่า เจ้าบัณเฑาะก์จง
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ บัณเฑาะก์ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
ผมว่าในเมื่อพระธรรมวินัยได้ห้ามไว้อย่างชัดเจนเช่นนี้ ก็อย่าทำให้สังคมสับสนวุ่นวายเลยครับ อย่าดึงศาสนาเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องการเมืองเลย มันไม่ควรอย่างยิ่ง
หากศรัทธาในคำสอนก็จงปฏิบัติตามเสียเถอะครับ ถ้าอยากจะบวชจริงๆ นิกายอื่นที่ไม่ห้ามก็มี นิกายเซ็นของญี่ปุ่น หรือ ชินโตของจีน ก็เข้าใจว่าไม่ได้ห้ามไว้นะครับ ก็ไปตรงนั้นเถอะครับ