[CR] บอกเล่ากึ่งรีวิว : ทำจมูกแบบสวยปัง ก่อนรับปริญญา กับศรัณย์คลินิก

ขอบพระคุณทุกคนที่หลงเข้ามาในกระทู้นี้ด้วย หัวกระทู้บอกชัดเจนอยู่แล้วว่าวันนี้เราจะมารีวิวการทำจมูกต้อนรับปริญญาของเราเองค้า เรียกว่าเรียนจบพร้อมจมูกใหม่เลย ถือว่าเป็นการศัลแบบเฟิร์สไทม์ในชีวิตของตัวเองด้วย เอาจริงๆ ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีความคิดเรื่องศัลยกรรมเข้ามาในหัวเลยค่ะ  เพราะตอนวัยรุ่นก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองขี้เหร่อะไร ก็คือว่ามีความมั่นหน้าอยู่ระดับหนึ่ง 555 แต่สุดท้ายก็ได้ตัดสินใจทำจมูกครั้งแรกเลย ก็เลยมารีวิวเก็บไว้เป็นความทรงจำหน่อย
แล้วก็ประกอบกับเพื่อนที่เอกพึ่งไปทำจมูกใหม่มา แล้วทำออกมาสวยมากกก แบบว่าหน้าเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย จากธรรมดาๆ กลายเป็นสายฝอไปเลยจ้า ด้วยความสนใจปนอิจฉานิดๆ เลยไปตะล่อมๆถามว่าทำจมูกมาเป็นไงบ้าง นางก็รีวิวมาให้เป็นชุดว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ หน้าสวยขึ้นแต่งหน้าง่าย ฟังๆไปแล้วเคลิ้ม อยากทำจมูกบ้าง และอีกอย่างเราใกล้จะเรียนจบแล้ว อยากให้หน้าออกมาดูสวยขึ้นกล้องแบบเพื่อนที่เอกบ้าง ขี้เกียจใช้แอปกับหามุมสวยให้ตัวเองแล้ว ก็เลยตัดสินใจได้ว่า โอเค ฉันจะทำจมูกให้ได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย จะได้สวยทันวันรับปริญญา 

ก็เป็นโชคดีของเราด้วยแหละที่มีเพื่อนในเอกทำจมูกมา เลยไม่ต้องไปเสียเวลาดูรีวิวในเน็ตหรือไปปรึกษาใคร มีอะไรก็ถามเอาจากเพื่อนได้เลย 5555 นางแนะนำให้ไปทำจมูกกับคลิกนิกหมอศรัณย์ เพราะนางก็ทำจมูกมากับที่นี่เหมือนกัน ซึ่งดูจากจากจมูกที่เพื่อนทำมามันสวยมากไง เราก็เลยเอาคลินิกนี้เลย แล้วหลังจากนั้นก็โทรไปอ้อนแม่ค่ะว่าอยากทำจมูก กล่อมอยู่นานจนแม่โอเคอนุมัติ พอแม่โอเคแล้วเราก็ติดต่อจองคิวกับหมอเลยค่ะ ไวยิ่งกว่าสินเชื่อเงินกู้ไปอีก

ไม่กี่วันหลังจากนั้นทางศรัณย์คลินิกก็นัดให้ไปหาแล้วค่ะ เราก็ได้เจอกับหมอศรัณย์ตัวเป็นๆ สักที ซึ่งหมอก็จะทำการตรวจจมูกเราก่อนเป็นอย่างแรกค่ะ ก็มีมาดูๆ จับๆ แตะๆ จมูกเรา แล้วก็ดูผ่านโปรแกรมอะไรสักอย่างที่เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน 555 แล้วหมอก็สรุปมาว่าจมูกเราไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนะ แค่ปลายจมูกใหญ่และสันเตี้ย เลยทำให้หน้าไม่มีมิติ ถ่ายรูปยาก ถ้าจะทำก็เสริมแค่ธรรมดาเอาก็ได้ ตรงนี้มีความแอบประทับใจหน่อยๆ เพราะคุณหมอเขาวิเคราะห์แบบตรงไปตรงมามากๆ ไม่มีการแนะนำแบบขายพิเศษเสริมเติมแต่งอะไร แล้วหมอก็นิสัยดีคุยสนุกด้วย คือชอบอ่ะ 5555

แต่ตรวจจมูกเสร็จแล้วก็ยังไม่ได้ทำเลยนะคะ ต้องรอสักสองสามวันถึงจะได้วันทำจมูกมา เพราะหมอคิวฮอตมาก ยอมรับว่ามีความแพนิคเล็กน้อยถึงปานกลาง เพราะเราไปทำจมูกคนเดียวเลย ไม่มีใครไปเป็นเพื่อนด้วย แฟนไม่มี แม่ไม่ว่าง เพื่อนก็ยุ่ง  ก็มีความกลัวว่าแบบจะขับไปกลับไหวไหม จะเจ็บหรือเปล่า กลัวว่าจะวุ่นวายยุ่งยากด้วย แต่เอาจริงคือกลัวไปเองทั้งนั้น เพราะเราแทบไม่ต้องทำอะไรเลย พี่ๆ ที่คลินิกบริการดีมากกกก เหมือนเขารู้ว่าเราแพนิคนะ ก็มีการให้กำลังใจก่อนเข้าห้องผ่าจมูกด้วย ประทับใจมาก 555 นอกจากนี้ทำจมูกก็ไม่ได้เจ็บอย่างที่คิดนะ เพราะหมอเขาฉีดยาชาอยู่แล้ว แต่พอยาชาหมดฤทธิ์แล้วก็ยังไม่เจ็บนะ แค่ตึงๆ นิดหน่อย คือทำเสร็จก็ขับรถกลับบ้านได้เลย  จะเจ็บแค่ตอนที่เผลอไปแตะโดนเฉยๆ 555

ทำจมูกเสร็จแล้วก็ไม่มีอะไรมากค่ะ แค่รับยากินกลับไปกินที่บ้านต่อได้เลยค่ะ และจะมีการนัดตัดไหมอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า รวมถึงการนัดติดตามผลเรื่อยๆ จากหมออีกที  ตรงนี้ก็ให้เตรียมหมอนรองคอไว้ให้พร้อมค่ะ เพราะเราจะนอนหงายไปได้ไปยาวๆเลย ต้องนั่งนอนเอา แล้วก็มีน้ำเกลือเอาไว้ล้างแผลเช็ดบริเวณจมูก กับสำลีเอาไว้เช็ดหน้าแทนการล้างหน้าค่ะ เพราะเราจะล้างหน้าแบบปกติไม่ได้ ห้ามให้แผลโดนน้ำเด็ดขาด แต่งหน้าทาครีมก็ไม่ได้ เป็นช่วงที่โทรมมากกกกก เลยไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้เลยเพราะอาย 5555

แต่นอกจากอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องเตรียมไว้แล้ว ยังมีข้อห้ามที่ห้ามทำระหว่างพักฟื้นด้วย ก็มีห้ามออกกำลังกาย แล้วก็งดของแสลงต่างๆ ทั้งแอลกอฮอล์ งดของเผ็ดของดอง ของมันของทอดก็ไม่ได้อีก แล้วแต่ละอย่างที่ห้ามเนี่ยก็เป็นของอร่อยๆทั้งนั้นเลยจ้า ทรมานเว่อโหยหิวสุดๆ แต่เพื่อความสวยก็ต้องอดทนไปก่อนค่ะ เรางดทุกอย่างยาวไปจนกว่าจะแผลหายโน่นแหละถึงจะกลับมากินได้เหมือนเดิม จะได้หายไวๆด้วย ไม่อยากมีปัญหาให้ต้องมาแก้อีก ต้องเคร่งๆ หน่อยเพราะใกล้รับปริญญาแล้ว เดี๋ยวสวยไม่ทันงาน 5555

ส่วนตัวพอใจกับผลที่ได้มากค่ะ มันโด่งชัดเจนดี คนรอบตัวก็ชมว่าทำมาแล้วสวยขึ้น แล้วอีกอย่างหลังทำมาเราก็รู้สึกสนุกกับการแต่งหน้ามากขึ้นด้วย คือหน้าคมชัดขึ้น พอแต่งแนวอะไรมันก็ดีไปหมด กดเลิฟเลย  ก็ถือเป็นความโชคดีของเราด้วยนะ ที่ได้ทำกับคลินิกดี เลยไม่มีปัญหาอะไรกวนใจตามหลังให้ต้องมาแก้อีก เพราะเคยเห็นเคสหลุดๆ จากในเน็ตมาแล้วไงก็เลยกลัว 5555 ต้องขอบคุณเพื่อนในเอกคนนั้นด้วยที่มารีวิวให้ฟังและแนะนำคลินิกศัลดีๆ ให้ด้วย จริงๆ อยากพิมพ์ชื่อนะแต่นางเขิน เลยขอบคุณแค่นี้ไปล่ะกัน สำหรับใครที่อยากทำจมูกแต่ยังกลัวๆ ก็ขอบอกว่ามันไม่น่ากลัวขนาดนั้น ไม่ได้เจ็บไม่ได้ทรมานอะไรเลย ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับหมอที่ทำให้ด้วยหรือเปล่า แต่สำหรับเราคือสบายมาก ทรมานอย่างเดียวคือไม่ได้กินของที่ชอบอยู่ช่วงหนึ่งเท่านั้นเอง 5555 ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบน้ะ