เรื่องง่ายๆ ที่ผู้หญิงต้องรู้จะได้ไม่โดนหลอกฟันค่าซ่อมรถ


เรื่องง่ายๆ ที่ผู้หญิงต้องรู้จะได้ไม่โดนหลอกฟัน ฟัน ฟัน ฟัน ฟัน ฟัน……...ผมหมายถึงฟันค่าซ่อมบำรุง ค่าดูแล ค่าเปลี่ยนอุปกรณ์ต่างๆนะครับ 555+ สิ่งที่ผมอยากนำมาแชร์นี้เป็นเรื่องจริงไม่อิงนิยายใดๆ ของเพื่อนผมเองเพื่อนสาวในกลุ่มนี้แหละ เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจมากเกี่ยวกับผู้หญิงและรถยนต์ รับรองเป็นประโยชน์กับสาวๆ แน่นอน จะสาวเล็ก สาววัยรุ่นตอนต้น สาววัยรุ่นตอนปลาย ได้หมดครับ มันมีประโยชน์จริงๆ
 
เรื่องมันมีอยู่ว่าเพื่อนผม(นามสมมติเอ) ทำงานเป็นเป็นเซลล์ ด้วยวิถีการเป็นเซลล์ต้องใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะหลัก เอก็ขับอย่างเดียว ลุยไปทุกที่ที่มีลูกค้า ไม่เคยเช็คสภาพรถยนต์ก่อนออกเดินทางเลยสักครั้ง จนกะทั่งวันหนึ่งไปทำงานต่างจังหวัด ยางรถยนต์แตกกระทันหัน ด้วยความที่ตกใจ และเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวทำอะไรก็ไม่ค่อยถูก เอโทรหาผมก่อนเลยครับ แล้วก็ กรี๊ด!!!  ผมเลยถามจะกรี๊ด เพื่อ!!!!  เอากับมันสิ สติหลุดไปชั่วขณะผมเลยบอกให้ใจเย็นๆ และผมก็เลยถามเอไปว่ายางอะไหล่มีหรือเปล่า เปลี่ยนยางอะไหล่เป็นมั้ย ยางรั่วหรือแตก คำตอบคือ ไม่รู้!!!! ไม่รู้ และไม่รู้ ตอนนั้นเอบอกว่าข้างทางบรรยากาศเริ่มมืด ไม่มีรถสวนมาสักคันเดียว ผมเลยบอกลองขับรถไปเรื่อยๆ ช้าๆ ตามทางหรือไม่ก็เปิด Google หาร้านในระแวกนั้น(เอ Search แล้วหาไม่เจอ) เลยขับรถไปเรื่อยๆ จนไปเจอร้านๆ นึง ก็เลยเข้าไป(แล้วเอแบตเตอรี่โทรศัพท์หมดไปตอนนี้) จนผ่านไป 1 สัปดาห์ผมมาเจอเออีกครั้งที่ร้านกาแฟก็เลยได้ถามถึงเรื่องราวว่าเป็นอย่างไร เอบอกผมว่าสรุปต้องเปลี่ยนยางทั้งหมด 4 เส้น และโน้นนี่นั่นมากมาย โดนไป 30,000 กว่าบาท แล้วเอก็เอารูปให้ดู ผมเห็นแล้วก็ตกใจเล็กน้อย ซึ่งถ้าให้เดาจากรูปน่าจะแค่ยางรั่วก็ทำแค่ปะยาง หรือถ้าต้องเปลี่ยนยางจรริงๆ ก็ราคาไม่น่าจะถึงตามที่เอบอก
 
ผมกับเอก็เลยนั่งคุยกันถึงประเด็นนี้ ว่าราคามันเกินเพราะอะไร มันมีราคากลางหรือไม่ และผู้หญิงต้องรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับรถยนต์ อุปกรณ์ และอะไหล่รถยนต์บางอย่าง รวมไปถึงการเลือกซื้อประกันรถยนต์  และเนื่องจากชิ้นส่วน อุปกรณ์ อะไหล่รถยนต์ ซ่อมบำรุงต่างๆ มีเยอะมาก นี่แค่ผมเกริ่นไปเพียงเล็กน้อยเอก็กุมขมับแล้วพูดขึ้นมาว่า “อยากมีแฟน” จะได้ให้แฟนขับ(แฟนคลับ) เอ เอ้ย!! มุขไม่ฮาพาตัวเองเครียดอีกละ แฟนเนี่ยถึงเวลามันก็มา แต่ตอนนี้มาๆ กลับมาที่เรื่องรถยนต์ก่อน นี่อาทิตย์หน้าก็ต้องไปต่างจังหวัด เตรียมตัวดีๆ เช็ครถยนต์รึยัง และที่ผมจะยกตัวอย่างไม่ใช่เป็นการกล่าวหาว่าร้านที่ให้บริการด้านซ่อมรถยนต์หรือเปลี่ยนยางไม่ดีโกงราคานะครับ ผมแค่อยากแบ่งปันความรู้ให้สาวๆ แค่นี้เอง ผมเลยสรุปสิ่งที่ผู้หญิงควรรู้และดูให้เป็นอาจจะยาวไปนิดแต่อ่านเถอะครับมีประโยชน์นะครับสาวๆ ทั้งหลาย
 
ยางรถยนต์  สำหรับผู้หญิงหรือใครที่ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องยางรถยนต์ให้ดูว่ารถที่เราใช้อยู่นั้นจำเป็นต้องเปลี่ยนยางเมื่อไหร่ แนะนำง่ายๆเลยคือ ควรเปลี่ยนยางทุกๆ 50,000 km หรือทุกๆ 3 ปี อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราใช้รถเยอะ ยางที่ใช้อยู่ปัจจุบันเปลี่ยนใหม่มา 2 ปี แต่วิ่งไปแล้ว 55,000 km ก็แนะนำเปลี่ยนแล้ว หรือถ้ารถเราวิ่งน้อย ยางที่ใช้อยู่วิ่งไปเพียง 25,000 km แต่อายุยางที่เปลี่ยนนับจากวันแรก 3 ปีกว่าแล้วก็แนะนำให้เปลี่ยนใหม่ดีกว่า พร้อมทั้งหมั่นตรวจเช็คลมยางให้อยู่ในระดับปกติตามที่รุ่นรถยนต์นั้นๆกำหนด อย่าปล่อยให้ลมอ่อนเกินไปหรือเติมลมยางแข็งจนเกินไป จะส่งผลต่อการขับขี่ได้ และควรสลับยางทุก 10,000 km เพราะยางล้อหน้ากับยางล้อหลังถ้าไม่มีการสลับ จะทำให้ดอกยางสึกไม่เท่ากัน ดังนั้นควรจะสลับยางตามกำหนดทุก 10,000 km เพื่อให้เราใช้ยางชุดนี้ได้ครบอายุและเต็มประสิทธิภาพ ราคาเริ่มต้นที่หลักพันจนถึงหลักหมื่นต่อเส้น (ขึ้นอยู่กับขนาดของยางที่ใส่และยี่ห้อที่เลือกใช้) 
 
แบตเตอรี่รถยนต์ การดูแลแบตเตอรี่รถยนต์ไม่ยากอย่างที่คิด เริ่มที่เราต้องรู้ก่อนว่าแบตเตอรี่ของรถเราเป็นแบบไหน ขอแยกง่ายเป็นแค่ 2 แบบคือ แบตเตอรี่แบบต้องเติมน้ำกลั่นกับแบตเตอรี่แบบแห้งไม่ต้องเติมน้ำกลั่น ซึ่งส่วนใหญ่รถในบ้านเราใช้แบตเตอรี่แบบต้องเติมน้ำกลั่น เราควรหมั่นตรวจเช็กน้ำกลั่นเป็นประจำทุก 1-2 สัปดาห์ โดยดูตรงขีดระดับน้ำด้านข้างตัวแบตเตอรี่ ไม่ควรเติมน้ำกลั่นเยอะจนเกินไป ราคาเริ่มต้นที่ลูกละพันกว่าบาทจนถึงหลายพันต่อแบตเตอรี่ 1 ลูก (ขึ้นอยู่กับรุ่นรถ ยี่ห้อและชนิดของแบตเตอรี่)
 
เบรครถยนต์  เบรครถยนต์เป็นส่วนประกอบสำคัญมากในการขับขี่เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์กะทันหัน เบรคจะเป็นตัวช่วยให้รถหยุดก่อนจะเกิดอุบัติเหตุได้ การจะดูว่าผ้าเบรครถยนต์หมดหรือไม่อาจจะต้องถอดมาตรวจความหนาของผ้าเบรค ซึ่งคนทั่วไปที่ไม่มีความรู้อาจจะต้องเข้าไปศูนย์บริการหรืออู่ที่ไว้ใจ แต่จะแนะนำง่ายๆ คือ ใช้การฟังเสียง เมื่อเราเบรคแล้วมีเสียงผิดปกติ เช่น มีเสียงอื้ดๆ จี้ดๆ เหมือนเหล็กขูดกันทุกครั้งที่เบรค (บางคนอาจจะไม่ได้ยินเพราะเปิดวิทยุดังก็ได้นะ ดังนั้นขับรถเงียบๆ บ้างบางครั้ง ก็เป็นการสังเกตความผิดปกติได้ดีเลย) ให้สันนิษฐานไปเลยว่าผ้าเบรคใกล้จะหมด เพราะผ้าเบรครถยนต์จะมีเหล็กตัวเตือนก่อนที่ผ้าเบรคจะหมด หรือมีสัญลักษณ์รูปไฟเบรคมือขึ้นในขณะที่เรามั่นใจว่าไม่ได้ยกเบรคมือแสดงว่าน้ำมันเบรคลดต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดให้สันนิษฐานว่าเบรคหมด ดังนั้นเมื่อเราได้ยินเสียงผิดปกติหรือไฟเบรคมือขึ้นตอนขับปกติก็รีบนำรถไปตรวจสอบกับศูนย์บริการหรืออู่ที่ท่านไว้ใจได้เลย ราคาเริ่มตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพันต่อ 1 ชุด โดยที่1ชุดใช้ได้สองล้อคู่กัน เช่น เบรคหน้า 1 ชุดใช้ได้ 2 ล้อหน้า (ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นรถ)
 
น้ำมันเครื่อง การดูแลเครื่องยนต์ เบื้องต้นสุดก็คือการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะที่กำหนด ซึ่งเมื่อเราไปถ่ายน้ำมันเครื่องที่ศูนย์บริการหรืออู่รถยนต์ ก็จะมีใบกระดาษเล็กๆ เอาไว้แขวนหน้ารถเพื่อให้เจ้าของรถดูว่าต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องอีกครั้งตอนกี่กิโลเมตร ข้อแนะนำเพิ่มเติมก็คือบางครั้งเราใช้รถน้อยวิ่งไปไม่เยอะ ก็ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุก 6 เดือน ไม่ใช่ว่าขับไม่ถึงระยะกิโลก็ไม่ถ่าย จะครบระยะกิโลทีก็ปาไป 2 ปี แบบนี้ก็มีโอกาสทำให้เครื่องยนต์ภายในเสียหายหรือเสื่อมสภาพได้เร็วนะ ราคาตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักพัน (ขึ้นอยู่กับชนิด ยี่ห้อ และรุ่นรถ)
 
หม้อน้ำ แนะนำง่ายๆ ดังนี้ ควรเช็คแค่ระดับน้ำในหม้อพัดน้ำอย่างเดียวก็พอ (แนะนำเช็กในตอนเช้าหรือตอนเครื่องเย็น) รถทุกคันจะมีหม้อพักน้ำ ที่ไม่ใช่ที่ใส่น้ำใบปัดน้ำฝน (บางคนสับสนหรือจำสลับกัน) อาจจะดูได้ในคู่มือการใช้รถยนต์ที่ได้มาตอนซื้อรถ ว่าอยู่ตำแหน่งไหน  ให้ตรวจเช็กเพียงแค่ว่าระดับอยู่ในตำแหน่งที่เขียนว่า Max ไหม ถ้าไม่ถึงก็ให้เติมไปจนขีด Max ไม่ควรเติมเกิน ข้อสังเกตง่ายๆ อีกอย่างคือเมื่อเราตรวจเช็กน้ำในหม้อพักน้ำเป็นประจำคือ ถ้าน้ำในหม้อพักน้ำหายเป็นประจำ ต้องเติมทุกสัปดาห์ ให้สันนิษฐานเลยว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว ให้นำรถของท่านเข้าไปตรวจสอบกับศูนย์บริการหรืออู่ที่ท่านใช้งานได้เลย ราคาต่อการเปลี่ยน 1 ครั้งหลักพันถึงหลักหมื่น ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น ท่อน้ำ วาล์วน้ำ น้ำยาหล่อเย็น เป็นต้น ต้องให้ช่างรถยนต์ ประเมินให้ว่าควรเปลี่ยนจุดไหนบ้าง
 
           สิ่งสำคัญอีกอย่างที่สาวๆควรสังเกตให้เป็นคือ เซนเซอร์ตัวจับความผิดปกติที่จะฟ้องขึ้นมาที่หน้าจอรถยนต์ตอนสตาร์ทเครื่องก็ควรสังเกตหน้าจอรถยนต์อยู่เรื่อยๆ ตลอดการขับขี่นะครับ ว่ามีสัญลักษณ์อะไรที่ผิดปกติขึ้นมาหรือไม่จะได้เตรียมตัวและแก้ไขปัญหาได้ทันก่อนที่ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเล็กน้อยกลายเป็นมากกว่าที่ควรจะเป็น  ผมขอแนะนำและอธิบายสัญลักษณ์ต่างๆ ที่สำคัญเบื้องต้นดังนี้ 
           1. ไฟรูปเครื่อง  แสดงว่ามีความผิดปกติที่ระบบเครื่องยนต์ ซึ่งอาจจะมีอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งที่เกี่ยวกับระบบเครื่องยนต์เสีย แนะนำเอารถเข้าตรวจสอบที่ศูนย์บริการหรืออู่รถยนต์
           2. ไฟรูปน้ำมันเครื่อง แสดงว่าน้ำมันเครื่องต่ำกว่าปกติ ให้รีบนำรถเข้าศูนย์บริการหรืออู่รถยนต์ ถ้ากรณีอยู่ระหว่างทางไม่มีศูนย์บริการให้หาน้ำมันเครื่องแบบที่รถท่านใช้งานเติมลงไปให้ถึงขีดปกติก่อนแล้วค่อยขับต่อ
           3. ไฟรูปแบตเตอรี่  แสดงว่าไฟในแบตเตอรี่หมด ไม่สามารถสตาร์ทได้ ซึ่งอาจจะมาจากหลายสาเหตุ แนะนำให้ช่างรถยนต์มาตรวจสอบ
           4. ไฟเบรคมือ(รูปเครื่องหมายตกใจ) ในกรณีที่เราไม่ได้ยกเบรคมือขึ้น แสดงว่าน้ำมันเบรคลดต่ำลงกว่าปกติ แนะนำให้รีบนำรถยนต์เข้าตรวจสอบระบบเบรคต่างๆ
           5. ขีดความร้อนหรือสัญลักษณ์ความร้อนสีแดง รถในสมัยปัจจุบันบางรุ่นบางยี่ห้อไม่มีขีดแสดงความร้อนของหม้อน้ำแล้วจะมีเพียงสัญลักษณ์บอก ถ้ารถเราขีดความร้อนขึ้นมากกว่าปกติหรือขึ้นสัญลักษณ์รูปความร้อน ให้ค่อยๆหาที่จอดรถตามข้างทางหรือตามปั้มก็ได้แล้วรอจนเครื่องเย็นแล้วค่อยขับต่อ จากนั้นหาศูนย์บริการหรืออู่รถยนต์ที่ใกล้ที่สุดเข้าตรวจสอบทันที 
 
หรือเอาแบบง่ายที่สุดเลย เพราะจำไม่ไหวอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมด คือเมื่อซื้อรถยนต์มาแล้วแน่นอนว่าก็ต้องซื้อประกันรถยนต์ด้วยใช่ไหมครับ ในตอนเลือกประกันรถยนต์นี้แหละก็ต้องเลือกให้ดีว่าจะเอาซ่อมอู่หรือซ่อมห้าง ซ่อมอู่ก็คือหาอู่ที่ดีลกับประกัน ส่วนซ่อมห้างคือศูนย์บริการที่ดีลกับประกัน ข้อดีข้อเสียก็แตกต่างกันครับ เช่นด้านราคา หรือ ระยะเวลาที่ต้องรอซ่อม เป็นต้น (K-Expert เคยแชร์หัวข้อซ่อมอู่ซ่อมห้างแล้วผมเลยไม่ลงรายละเอียดเยอะนะครับ) การซ่อมอู่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า สามารถแยกออกได้เป็น 2 อย่างคือ อู่นอกเครือของบริษัทประกันรถยนต์ และอู่ในเครือของบริษัทประกันรถยนต์ ซึ่งความแตกต่างของ 2 แบบนี้ก็คือ อู่ในเครือไม่ต้องสำรองเงินจ่ายไปก่อน เพียงแค่ต้องเช็กให้ดีว่าอู่นี้คืออู่ในเครือของบริษัทประกันภัยที่คุณทำประกันเอาไว้ ส่วนอู่นอกเครือนั้นเราจะต้องสำรองเงินออกไปก่อน หลังจากนั้นจึงนำใบเสร็จไปเคลมเงินคืนจากบริษัทประกันทีหลัง ซึ่งอาจจะไม่ได้เต็มจำนวน
 
เมื่อไหร่ควรเข้าอู่/ศูนย์ จะได้ไม่โดนหลอกฟันราคา
 
ก็เมื่อพบว่ารถมีความผิดปกติดังกล่าวข้างต้น โดยขอแนะนำให้สาวๆ ควรดูอาการและเช็กราคาประมาณการคร่าวๆ ให้เป็นนะครับ ส่วนจะเข้าใช้บริการที่ ศูนย์หรืออู่ ก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจ หรือความไว้วางใจและฝีมือของช่างซ่อม เช่น จะเปลี่ยนยางรถยนต์เมื่อถึงระยะที่ต้องเปลี่ยน พอเข้าไปที่ ศูนย์/อู่ ช่างบอกว่าต้องเปลี่ยน ABC กับ DEF ด้วยเพราะมันพัง สาวๆ ก็ลองใช้วิจารณญานดูนะครับว่าที่มันต้องซ่อมต้องทำเพิ่มนะยังไหวมั้ย ถ้าเราพอดูเป็นคร่าวๆ ลองคุยกับช่างดูให้เขารู้ว่าเราก็ดูเป็นนะ(อย่ามาหลอกกัน) บางอย่างอาจจะไม่ต้องเปลี่ยนตอนนั้นก็ได้ หรือถ้ามันถึงเวลาต้องเปลี่ยนจริงๆ ก็ต้องเปลี่ยนต้องซ่อมเพื่อความปลอดภัยนะครับ ระวังจากที่ต้องเสียเงินแค่หลักพันอาจจะต้องเสียหลักหมื่น บางที่มีให้บริการผ่อนรายเดือนก็โชคดีไปครับ
 

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่